ราชนาวีเสน่หา EP.05

1680 Words
3 ชั่วโมงผ่านไป รวิพรเลิกคิ้ว หน้าตาบูบี้เล็กน้อยที่เห็นเพื่อนสนิทมากับน้องชายของปาลินี แต่จะว่าไปน้องชายของปาลินีก็รูปร่างและหน้าตาดีทีเดียว เป็นดารา นายแบบได้สบายเลย โชติกาเดินมาหยุดอยู่ที่โต๊ะอาหารที่เพื่อนสนิทนั่งอยู่ ดวงตาคู่งามฉายแววแปลกใจเต็มเปี่ยมที่เห็นสายตาที่เพื่อนมองปองธรรม “เลิกจ้องน้องชายฉันได้แล้วพร” “ป่ะ...เปล่า ฉันเปล่าจ้องน้องชายของแกนะใบเตย” รวิพรปฏิเสธคำกล่าวหาของเพื่อนสนิทหน้าแดงก่ำ ก่อนตัดสินใจหลบสายตารู้ทันคู่นั้น ‘ไอ้เพื่อนบ้า ทำไมต้องพูดซะเสียงดังขนาดนั้นด้วยเนี่ย’ “แน่ใจ๋” โชติกาถามย้ำขณะกลั้นเสียงหัวเราะอย่างสุดความสามารถ ก็เห็นๆ อยู่ว่าจ้องน้องชายของเธอตาแทบถลน แต่ยังกล้าปฏิเสธอีก นี่ถ้าปองธรรมอายุเท่าหรือแก่กว่าพวกเธอล่ะก็ รับรองได้เลยว่าไอ้เพื่อนบ้านี่ต้องหาวิธีจีบน้องชายของเธอแน่นอน ทั้งรูปร่างและหน้าตาปองธรรมคือสเป็คของรวิพร “แน่ใจสิ” รวิพรตอบเสียงสะบัด “หึๆ” โชติกาหัวเราะแล้วหยักคิ้วอย่างหยอกเย้า ปองธรรมเดินเข้ามาในร้านอาหารหลังจากโชติกาเดินเข้ามาได้ไม่ถึงสิบนาที เพราะเขาต้องหาที่จอดรถ แต่พอเดินเข้ามาในร้าน เขาก็ต้องแปลกใจเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากโต๊ะที่เขากำลังเดินเข้าไปหา “ขอโทษที่มาช้านะครับ พอดีผมหาที่จอดรถอยู่” “มาเป็นไร คุณป้องจะนั่งข้างฉันหรือข้างเพื่อนฉันก็ได้” โชติกาตอบด้วยรอยยิ้มที่ยังระบายอยู่เต็มหน้า ขณะเหลือบมองเพื่อนสนิทที่พยายามเบนสายตาออกจากปองธรรม “ครับ” ชายหนุ่มตอบแล้วเดินมานั่งเก้าอี้ตัวที่ตั้งข้างโชติกา ขณะส่งยิ้มให้สาวหน้าหวาน ซึ่งหันหน้าไปมองนอกร้าน “ป้อง นี่รวิพรเพื่อนสนิทของฉัน” “ยินดีที่ได้รู้จักนะครับคุณรวิพร” “ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะคุณป้อง” รวิพรยิ้มให้น้องชายของเพื่อนสนิทพร้อมกับแอบพิจารณาหน้าตาและพฤติกรรมของชายหนุ่มไปในตัว ตอนที่เขาเดินเข้ามาในร้าน เธอมองไกลๆ ก็คิดว่าเขารูปร่างและหน้าตาดีอยู่แล้ว พอได้เห็นใกล้ๆ แบบนี้ก็ยิ่งหล่อ เสียดายที่อายุน้อยกว่าเธอ ถ้าห่างกันแค่ปีหรือสองปีก็พอทำใจ ลงมือจีบได้ แต่น้องชายของโชติกาอ่อนกว่าเธอเกือบหกปี “ครับคุณพร ยินดีที่ได้รู้จักเป็นอย่างยิ่ง” ปองธรรมยิ้มรับคำพูดของเพื่อนสนิทโชติกา สายตาคู่คมมองใบหน้าสวยหวานแล้วยิ้ม นี่ถ้าเขาไม่รู้ว่าสาวหน้าหวานคนนี้เป็นเพื่อนของโชติกา เขาคงคิดว่าเธอกับเขาคงรุ่นราวคราวเดียวกัน เพราะหน้าตาไม่ได้บอกเลยว่าเธออายุใกล้จะสามสิบแล้ว “ป้อง” โชติกาเรียกปองธรรม เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มจ้องหน้าเพื่อนสนิทของเธอนานเกินไป ก็ไม่แปลกหรอกที่จะจ้องมองจนตาเยิ้มแบบนั้น ถึงรวิพรจะอายุเท่าเธอ แต่หน้าตาดูอ่อนกว่าอายุเยอะทีเดียว “ครับคุณใบเตย” ปองธรรมหันมาตอบ แล้วส่งยิ้มเก้อๆ ให้โชติกา “ฉันหิวแล้ว สั่งอาหารเพิ่มกันเลยไหม” โชติกาชวนปองธรรมสั่งอาหาร ถ้ายังเอาแต่นั่งจ้องหน้ากันแบบนี้ เห็นทีอาหารมื้อนี้คงยืดยาวไปถึงเที่ยงคืนแน่ “ครับ” “พรล่ะ อยากทานอะไรก็สั่งเลยนะ มื้อนี้ฉันเลี้ยงเอง” “ฉันสั่งไปแล้ว ใบเตยอยากทานอะไรก็สั่งเลย คุณป้องอยากทานอะไรก็สั่งได้เลยนะคะ เพราะมื้อนี้ใบเตยเป็นเจ้ามือ” “คุณพรกับคุณใบเตยสั่งอะไรมา ผมก็ทานได้ทั้งนั้นแหละครับ” “ป้องเค้าไม่เรื่องมากเรื่องการกินหรอกพร” โชติกาหันมาอธิบาย ไม่รู้ว่าเธอคิดไปเองหรือเปล่า เพราะสายตาที่ปองธรรมใช้มองเพื่อนสนิทของเธอ มันดูลึกซึ้งยังไงก็ไม่รู้? “เหรอ?” รวิพรถาม “ครับ ผมไม่เรื่องมากเรื่องกินหรอกครับ คุณใบเตยกับคุณพรสั่งอะไรมา ผมก็ทานได้ทั้งนั้น” ปองธรรมบอกด้วยรอยยิ้มอบอุ่น “คุณป้องทานเผ็ดได้ไหมค่ะ” “ได้ครับ” หลังจากปองธรรมตอบ โชติกาก็เรียกบริกรมาสั่งอาหารเพิ่ม ขณะที่รออาหารมาเสิร์ฟโชติกาก็นั่งเงียบ ฟังบทสนทนาระหว่างปองธรรมกับเพื่อนสนิท แล้วก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ นานแค่ไหนแล้วที่เธอไม่ได้เห็นรอยยิ้มของรวิพร ตั้งแต่เลิกรากับว่าที่คู่หมั้นไปเมื่อสามปีก่อน รวิพรก็กลายเป็นคนเงียบขรึม เก็บเนื้อเก็บตัว ไม่ยอมออกไปเที่ยวไหนอีกเลย บางทีปองธรรมอาจทำให้รอยยิ้มและชีวิตของเพื่อนเธอกลับมาสดใสและร่าเริงขึ้นอีกครั้งก็ได้ เกือบสองชั่วโมงที่โชติกา รวิพรและปองธรรมนั่งทานอาหารและคุยกันเรื่องงานและท่องเที่ยวที่พวกเขาสนใจ ก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้าน //////// เช้าวันรุ่งขึ้น...เสียงกรีดร้องดังขึ้นภายในคฤหาสน์ขจรเดชตั้งแต่เช้า ทำให้คุณเทิดกับภรรยาต้องวิ่งออกมาดูหน้าตึก และก็เห็นลูกสาวยื่นกรี๊ด ร้องโวยวายใส่น้องชายด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย “บอกฉันมาเดี๋ยวนี้นะไอ้ป้อง ทำไมแกถึงเอารถของนังใบเตยมาขับ” “คุณใบเตยให้ผมขับกลับมาเมื่อคืน แล้วหยุดเรียกคุณใบเตยแบบนั้นได้ไหมครับพี่นี ใครมาได้ยินเข้า มันจะไม่ดีกับตัวพี่นีเอง” “แค่นังนั่นให้แกเข้าไปทำงานที่บริษัท แกถึงกับเข้าข้างมันแล้วเหรอไอ้ป้อง คนที่แกควรเข้าข้างก็คือฉัน ไม่ใช่นังใบเตย” “ผมไม่อยากทะเลาะกับพี่นี ผมขอตัวก่อน เดี๋ยวผมจะไปทำงานสาย อีกอย่างผมก็ไม่มีเวลามาฟังเรื่องไร้สาระ” “ไอ้ป้อง” ปาลินีตวาดใส่น้องชายอย่างเกรี้ยวกราด “หยุดร้องโวยวายเสียทีเถอะครับพี่นี ไม่อายสาวใช้บ้างหรือไงครับ” “ทำไมฉันต้องอาย ฉันไม่ได้ขอพวกมันกินเสียหน่อย” “ถ้าพี่นีไม่อายสาวใช้ พี่นีก็ควรอาย...คุณลุงบ้าง” ปองธรรมบอกเสียงกังวลเล็กน้อยเมื่อเห็นบิดาของโชติกาเดินออกมาจากตัวตึกพร้อมกับมารดา ก็หวั่นใจขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าท่านได้ยินบทสนทนาของเขากับพี่สาวทั้งหมดหรือไม่ ถ้าไม่หมดก็ดีไป แต่ถ้าท่านได้ยินทั้งหมด เรื่องคงไม่จบลงง่ายๆ เป็นแน่ ปาลินีหน้าซีดเผือดเมื่อฟังน้องชายพูดจบ ใบหน้าสวยเฉี่ยวหันกลับไปมองด้านหลัง ก็พบว่าบิดาเลี้ยงและมารดายืนอยู่ สีหน้าของบิดาเลี้ยงดูเรียบสนิท แววตาลุ่มลึกจนไม่สามารถรู้ได้เลยว่าท่านคิดอย่างไร “คุณลุงกับคุณแม่มายืนตรงนี้เมื่อไรค่ะ” “ก็นานพอดู” คุณเทิดตอบน้ำเสียงเรียบ จนยากที่จะจับความรู้สึกได้ คุณนลินีพูดไม่ออก เพราะเธอได้ยินทุกประโยคที่ลูกสาวพูดออกมา และแน่นอนว่าผู้เป็นสามีก็ได้ยิน เธอจึงไม่รู้จะตอบลูกสาวออกไปอย่างไร ยิ่งเห็นสีหน้าและสายตาเยียบเย็นจากผู้เป็นสามี ก็ยิ่งรู้สึกกังวล ขณะที่ปองธรรมกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ เมื่อเห็นสีหน้าและสายตาของเจ้าของคฤหาสน์ขจรเดช เขาไม่รู้ว่าตอนนี้ท่านกำลังคิดอะไรอยู่ มีเพียงสายตาเท่านั้นที่บ่งบอกให้รู้ว่าท่านรู้สึกไม่พอใจกับคำพูดของพี่สาวเขา “ไปทำงานเถอะป้อง ยัยใบเตยคงรอเธอแล้ว” “ครับคุณลุง” ปองธรรมตอบแล้วยกมือไหว้ “ส่วนหนูนี ไปพบฉันที่ห้องทำงาน” คุณเทิดหันมาสั่งลูกเลี้ยงแล้วเดินกลับเข้าไปในตัวตึกอีกครั้ง ปล่อยให้ภรรยายืนหน้าซีดอยู่หน้าตึก ท่านไม่คิดมาก่อนเลยว่าลูกเลี้ยงจะเกลียดลูกสาวเพียงคนเดียวของท่านมากมายเพียงนี้ “ผมขอตัวก่อนนะครับคุณแม่” ปองธรรมบอกผู้เป็นมารดา ขณะยกมือไหว้แล้วเหลือบมองใบหน้าสวยเฉี่ยวที่บัดนี้ซีดเผือดอย่างหนักใจ ไม่รู้ว่าหลังจากนี้คุณลุงเทิดจะลงโทษพี่สาวของเขาอย่างไรบ้าง ดูจากอาการและท่าทางของท่าน เขารู้ว่าสิ่งที่พี่สาวต้องเจอ คงสาหัสทีเดียว “ก็ไปสิย่ะ” คุณนลินีตอบลูกชายเสียงสะบัด เธอเองก็ไม่ค่อยพอใจนักที่ลูกชายของน้องสามีเก่าได้ดีกว่าลูกสาวของเธอ คนที่โชติกาควรรักและเอ็นดูควรเป็นปาลินีไม่ใช่ปองธรรม เธอคิดผิดจริงๆ ที่ตัดสินใจรับปองธรรมมาเป็นลูก หลังจากที่น้องสามีกับภรรยาเสียชีวิตไปเมื่อยี่สิบปีก่อน “เราเข้าไปข้างในกันเถอะหนูนี ปล่อยให้คุณพ่อรอนานไม่ดีนะ” “ค่ะคุณแม่”ปองธรรมหยุดเดินแล้วหันกลับมามองมารดาอย่างน้อยใจ ทำไมท่านถึงไม่พูดดีหรือมอบความรักให้เขาบ้าง? เพราะไม่ว่าเขาจะพยายามทำดีแค่ไหน มารดาก็ไม่เคยรัก คอยแต่ดุด่า ตำหนิและหาว่าเขาทะเยอทะยานจนเกินตัว ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเพราะอะไรท่านถึงทำแบบนั้น หรือความจริงแล้ว เขาเป็นเด็กกำพร้าที่บิดามารดาขอมาเลี้ยงอย่างที่ปาลินีเคยบอก ‘หรือเราจะเป็นเด็กกำพร้าอย่างที่พี่นีพูดจริงๆ’ แล้วรำพันอยู่ในใจอย่างเจ็บปวด มองจนมารดากับพี่สาวเดินหายเข้าไปในตัวตึก จึงตัดสินใจเดินไปขึ้นรถแล้วขับออกจากคฤหาสน์ขจรเดช เพื่อไปรับโชติกาที่คอนโดมิเนียมก่อนไปบริษัท //////// ...โปรดติดตามตอนต่อไป...
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD