แฟรงค์ คารุสโซ่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา ไม่ใช่ แฟรงค์ คารุสโซ่เมื่อสามปีก่อนเลย ให้ตายเถอะ! เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าหนุ่มหล่อ เจ้าสเน่ห์ในวันวานจะกลายเป็นหนุ่มเซอร์ติดดินได้ขนาดนี้
“รถของนายจอดตรงไหนพีท” แฟรงค์เดินมาหยุดอยู่กลางลานจอดรถ เขารู้จักและสนิทกับพีรวิทย์เมื่อสิบปีก่อน ตอนที่เขาเดินทางมาเที่ยวเมืองไทยพร้อมกับครอบครัว ครอบครัวเขากับครอบครัวพีรวิทย์ก็ไปมาหาสู่กันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เมื่อไรที่เขามาเที่ยวเมืองไทย พีรวิทย์จะคอยดูแลเทคแคร์เขากับครอบครัว หากพีรวิทย์และครอบครัวเดินทางไปเที่ยวฟลอริดา เขาก็จะดูแลและคอยเทคแคร์ครอบครัวของพีรวิทย์
“เดินอีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว”
พีรวิทย์บอกแล้วเดินนำหน้าเพื่อนสนิทไปที่รถ
“นายจะมาพักผ่อนที่เมืองไทยกี่วัน”
“ไม่มีกำหนด” แฟรงค์ตอบ ตัวเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะอยู่เมืองไทยนานแค่ไหน หลังจากจบภารกิจลับที่อัฟกานิสถาน เขาก็ได้วันลาพักร้อนยาวในครั้งนี้ เพราะต้องรักษาอาการบาดเจ็บจากการทำภารกิจลับ หากเขาไม่สามารถรักษาดวงตาให้กลับมามองเห็นได้ปกติ เขาอาจต้องลาออกจากราชการ
พีรวิทย์ชะงักเท้า หยุดเดินแล้วหันกลับมามองแฟรงค์อย่างแปลกใจ หลายปีที่ผ่านมาแฟรงค์ไม่เคยลาพักร้อนสักครั้ง เวลาทั้งหมดแฟรงค์ยกให้กับงานแทบทั้งหมด น้อยครั้งที่แฟรงค์จะใช้เวลาไปกับเรื่องส่วนตัว
“เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของนะแฟรงค์”
“ฉันต้องรักษาดวงตาให้หายเป็นปกติ การพักร้อนครั้งนี้ของฉันก็คือการรักษาดวงตา”
แฟรงค์อธิบาย ขณะถอดแว่นกันแดดยี่ห้อดังออก ภารกิจลับที่เขาไปทำในครั้งนี้ ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บไม่น้อย เขากับลูกน้องต้องปะทะกับกองกำลังติดอาวุธในอัฟกานิสถานอยู่บ่อยครั้ง แม้จะปะทะกันหลายครั้ง แต่ทุกครั้งเขากับลูกน้องก็ปลอดภัยทุกคน จนครั้งสุดท้ายที่เข้าปะทะกัน กลุ่มหัวรุนแรงเปลี่ยนจากใช้อาวุธธรรมดาเป็นอาวุธสงคราม ทำให้เขากับลูกน้องบาดเจ็บสาหัสหลายคนและต้องเสียลูกน้องฝีมือดีไปถึงห้าคน เป็นโชคดีที่เขาถูกส่งไปรักษาตัวทัน หากช้าเพียงครึ่งชั่วโมง เขาก็คงตายไปในสนามรบพร้อมกับลูกน้องไปแล้วืจากการบาดเจ็บในครั้งนี้ทำให้เขาต้องพักรักษาตัวเกือบปี ถึงบาดแผลภายนอกจะหายเป็นปกติ ทว่าดวงตาของเขากลับไม่เป็นเช่นนั้น จำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัดอีกครั้ง แต่ดันมาเกิดเรื่องเสียก่อน เขาเลยไม่ได้เข้าไปผ่าตัดตามที่หมอสั่ง พอนึกถึงสาเหตุที่ทำให้เขาต้องหลบไปเลียแผลใจถึงเมืองไทย ความโกรธก็พุ่งทะยานจนแน่นอก
“แฟรงค์”พีรวิทย์เรียกเพื่อนอย่างเป็นห่วง รู้สึกเสียวสันหลังวาบเมื่อเห็นสายตาเกรี้ยวกราดกับสีหน้าเยือกเย็นราวกับน้ำแข็งที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าหล่อคมสันของแฟรงค์
“แฟรงค์ นายได้ยินที่ฉันเรียกหรือเปล่า?”
“ได้ยิน” แฟรงค์ตอบ พยายาม
“นายเป็นอะไรหรือเปล่าแฟรงค์ มีปัญหาอะไรปรึกษาฉันได้นะ”
“ไม่มีหรอก ไปกันเถอะ” แฟรงค์ตัดบทแล้วชวนพีรวิทย์กลับ ณ เวลานี้เขาไม่พร้อมที่จะพูดอะไรให้ใครฟัง ไม่ว่าจะเป็นบิดามารดาหรือแม้แต่บรรดาเพื่อนสนิท รอให้เขาทำใจได้มากกว่านี้ แล้วจะเล่าให้ทุกคนฟังอย่างละเอียด โดยไม่ปิดบังเลย
“ก็ได้ แต่พร้อมเมื่อไรก็อย่าลืมเล่าให้ฉันฟังด้วยล่ะ” พีรวิทย์บอกอย่างตัดใจ แล้วเดินนำแฟรงค์ไปยังรถสปอร์ตคันหรูที่เขาจอดเอาไว้ เรื่องที่เกิดในชีวิตของแฟรงค์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คงหนักหนาสาหัสไม่น้อย ไม่เช่นนั้นเพื่อนเขาคงไม่มีสภาพเช่นนี้
“อืมม์” เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะพร้อมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาให้ฟังยังไงดี เพราะตัวเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเริ่มเล่าหรือเรียบเรียงออกมาเป็นคำพูด แล้วอธิบายให้พีรวิทย์เข้าใจในครั้งเดียวได้อย่างไร
‘เฮ้อ...’ แฟรงค์ถอนหายใจออกมาอย่างเครียดๆ ขณะเดินตามพีรวิทย์ไปขึ้นรถแล้วขับออกจากลานจอดรถของสนามบิน
////////
ณ โรงแรม พาราไดซ์ แกรนด์ โฮเทล
หลังจากตัดสายอาหนุ่ม ภัทริยาก็ขับรถบุกมาหาเขาที่โรงแรมด้วยอารมณ์คุกรุ่น คุยกันยังไม่ทันจะรู้เรื่องก็มาตัดสายเธอเสียแล้ว คิดหรือว่าเธอจะยอมปล่อยให้เขาตัดสายเธอไปแบบนี้
ภัทริยาเดินหน้าตึงออกมาจากลิฟต์ ตรงเข้าไปหาเลขาหน้าห้องของผู้เป็นอาด้วยกริยาก้าวร้าว ถ้อยคำที่เปร่งออกมาจากปากอิ่ม ทำให้ชายสูงวัยที่เดินออกมาจากห้องทำงานถึงกับขมวดคิ้วมุ่น
“อาพีทไปไหน โทร. หาอาพีทเดี๋ยวนี้ บอกว่าฉันต้องการพบด่วน”
“ดิฉันคงโทร. ไปหาท่านรองไม่ได้หรอกค่ะ” เธอจะโทร. ไปหาท่านรองได้อย่างไรกัน ในเมื่อท่านรองไม่ได้เอาโทรศัพท์มือถือที่เธอใช้ติดต่อเป็นประจำไปด้วย ส่วนโทรศัพท์อีกเครื่องที่ผู้เป็นนายใช้ในเรื่องส่วนตัว เธอก็ไม่มีเบอร์
“ทำไมเธอถึงโทร.หาอาพีทให้ฉันไม่ได้”
“เพราะท่านรองไม่ได้เอาโทรศัพท์ไปไงค่ะคุณภัทร”
“คุณเป็นเลขาส่วนตัวภาษาอะไร เจ้านายไปไหนก็ไม่รู้” ภัทริยาโวยวายเสียงกร้าว มองเลขาหน้าห้องของอาหนุ่มอย่างไม่พอใจ ทำงานสับเพร่าแบบนี้ควรพิจารณาตัวเอง ด้วยการลาออกไปซะไม่ใช่มายืนเถียงกับเธอฉอดๆ ถ้าเธอเป็นเจ้าของโรงแรม เชื่อเถอะว่าเธอคงไล่ผู้หญิงคนนี้ออกไปนานแล้ว
“ขอโทษนะคะคุณภัทริยา ดิฉันเป็นเลขาส่วนตัวของคุณพีทก็จริง แต่ดิฉันก็ไม่เคยยุ่งเรื่องส่วนตัวของคุณพีท ดิฉันมาทำงานนะคะ ไม่ได้มาเช็คประวัติหรือตรวจสอบชีวิตประจำวันของคุณพีท”
“คุณเบญจมาศ!”
“ค่ะคุณภัทร” เลขาสาวขานรับขณะสบตามองสาวสาวแต่นิสัยเสียอย่างอ่อนใจ ทุกคนในโรงแรมต่างก็เอือมระอากับหลานสาวคนเล็กของเจ้านายหนุ่ม ทุกครั้งที่สาวน้อยคนนี้โผล่เข้ามาในโรงแรม ความวุ่นวายก็จะบังเกิดขึ้นในทันที
“มีเรื่องอะไรกัน”
ภัทริยากับเบญจมาศชะงักบทสนทนาไป เมื่อได้ยินเสียงของประธานใหญ่ของโรงแรมดังขึ้น ทั้งสองรีบหันไปมองที่มาของเสียง แล้วพบใบหน้าเรียบตึงกับสายตาเย็นยะเยือกมองมาที่พวกเธอ
“สวัสดีค่ะท่านประธาน”
เบญจมาศยกมือไหว้ท่านประธานใหญ่ ก้มหน้าลงเล็กน้อย รู้สึกหวั่นใจนิดๆ เพราะไม่รู้ว่าผู้เป็นนายมายืนฟังบทสนทนาของเธอกับหลานสาวตัวร้ายของท่านนานแค่ไหน เธอมั่นใจว่าเกือบสิบปีที่ผ่านมา เธอไม่เคยทำงานผิดพลาดสักครั้ง และที่สำคัญเธอไม่เคยเข้ายุ่งหรือวุ่นวายกับเรื่องส่วนตัวของท่านรองหนุ่มเลย เพราะสมัครเข้ามาทำงาน ไม่ใช่ยุ่งเรื่องของเจ้านาย
“คุณลุงต้องช่วยภัทรนะคะ”
“แล้วภัทรจะให้ลุงช่วยเรื่องอะไรล่ะ” คุณพีระถามหลานสาว มองเลขาส่วนตัวของน้องชายอย่างเห็นใจ ท่านได้ยินบทสนทนาเกือบทั้งหมดที่ทั้งสองคุยกัน ท่านรู้สึกพอใจเสียด้วยซ้ำกับคำตอบของเบญจมาศ คิดถูกแล้วที่รับเบญจมาศเข้ามาเป็นเลขาส่วนตัวให้พีรวิทย์ เพราะ...สิบปีที่ผ่านมาเบจมาศทำงานได้ดี ไม่มีขาดตกบกพร่อง
“คุณลุงต้องไล่เลขาคนนี้ของอาพีทออกนะคะ เป็นเลขาภาษาอะไร ถึงไม่รู้ว่าเจ้านายออกไปไหน”
“ลุงคงไล่เลขาส่วนตัวของพีทออกไปไม่ได้หรอกหนูภัทร”
“ทำไมล่ะคะคุณลุง” ภัทริยาถาม ไม่พอใจกับคำตอบของผู้เป็นลุงอย่างแรง
“ทำไมถึงไล่ผู้หญิงคนนี้ออกไม่ได้ค่ะคุณลุง”
“เพราะเบญจมาศ ไม่ได้ทำอะไรผิด อาพีทของหนูภัทรออกไปทำธุระ แล้วหนูภัทรจะให้ลุงไล่เบญจมาศออกจากงานได้ยังไงกันล่ะ”
“แต่...”
“พอเถอะหนูภัทร”
“ก็ได้ค่ะคุณลุง ภัทรไม่เอาเรื่องเลขาส่วนตัวของอาพีทก็ได้ แต่คุณลุงต้องช่วยอะไรภัทรอย่างหนึ่งได้ไหมค่ะ” ในเมื่ออาหนุ่มไม่อยู่ เธอขอให้ผู้เป็นลุงช่วยเหลือก็ได้ บางทีถ้าขอร้องให้คุณลุงพีระช่วยพูดกับคุณลุงเทิดเรื่องที่เธออยากทำงานที่บริษัทของโชติกา อาจจะมีเปอร์เซ็นต์มากกว่า
“หนูภัทรมีเรื่องอะไรอยากให้ลุงช่วย” คุณพีระถามขณะสังเกตสีหน้าของหลานสาวไปด้วย ทุกครั้งที่ภัทริยาขอร้องให้ท่านช่วย ก็มักจะมีปัญหาตามมาเสมอ
“เอ่อ...คือ…”
“เข้าไปคุยกันในห้องทำงานของลุงดีกว่า”
“ก็ดีค่ะ” ภัทริยาพยักหน้าตอบ เธอเห็นด้วยกับความคิดของผู้เป็นลุง เพราะเรื่องที่เธอต้องการให้ท่านช่วย จะให้คนอื่นรู้ไม่ได้เด็ดขาด
“คุณมาศ” คุณพีระหันมาเรียกเลขาส่วนตัวของลูกชาย
“ค่ะท่านประธาน”
“คุณพีรวิทย์กลับมาเมื่อไร บอกให้ไปพบผมที่ห้องทำงานด้วย”
“ได้ค่ะท่านประธาน” เบญจมาศรับคำ มองท่านประธานใหญ่กับหลานสาวเดินหายเข้าไปในห้องทำงานแล้วนั่งลงทำงานของตัวเองต่อ แต่ก็ไม่วายเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นนายใหญ่แห่งโรงแรมพาราไดน์ แกรนด์ โฮเทลอีกครั้ง ก่อนจะถอนหายใจและพึมพำเบาๆ อย่างโล่งอกที่ไม่ต้องทะเลาะกับภัทริยา
‘ท่านประธานกับท่านรองต่างก็นิสัยดีและเป็นสุภาพบุรุษ แต่ทำไมหลานสาวถึงนิสัยเสีย ร้ายกาจและเอาแต่ใจนักนะ’
“โชคดีนะที่ท่านประธานกับท่านรองไม่รับคุณภัทรเข้ามาทำงานด้วย ไม่งั้นโรงแรมคงลุกเป็นไฟ”
////////
...โปรดติดตามตอนต่อไป...