“น้องมะนาว”
“ขา?” มิรันดาใจดีสู้เสือ ยิ้มเข้าไว้ แม้คนเพื่อนร่วมงานในตำแหน่งพนักงานขายอีกสองคนจะดูไม่น่าไว้วางใจเท่าไหร่นัก เดินมาถึงออฟฟิศไม่ถึงหนึ่งนาทีก็ถูกกักขังหน่วงเหนี่ยวด้วยมือที่เล็บสีสวยใช้ได้เลย
“พอดีวันเสาร์กับอาทิตย์นี้เป็นวันทำงานของพี่สองคน แต่พี่อยากขอให้สลับวันหยุดกับน้องมะนาวได้ไหมคะ”
“หมายถึง...ให้ถึงแลกวันหยุดกันเหรอคะ”
“ใช่จ้ะ พอดีวันเสาร์นี้พี่อยากอยู่ห้องจองตั๋วคอนเสิร์ต แล้ววันอาทิตย์ก็เป็นวันหยุดของพี่ด้วย พี่เลยอยากหยุดสองวันติดกันเลยค่ะ นะๆ แลกวันหยุดกับพี่แป๋มหน่อยนะมะนาว”
มิรันดาเข้าใจเหตุผล การซื้อตั๋วคอนเสิร์ต ไม่ใช่ว่ามีเงินอย่างเดียว ต้องจองที่นั่งให้ทันและต้องใช้สมาธิกับดวงในการซื้อด้วย
“ส่วนวันหยุดของพี่คือวันเสาร์ แต่เสาร์กับอาทิตย์นี้ แฟนพี่ได้ออกจากค่ายทหาร พี่อยากอยู่กับแฟน นานๆ จะได้อยู่กันสักที เลยอยากหยุดสองวันเหมือนกันค่ะ มะนาวแลกวันหยุดกับพี่แก้มหน่อยนะ”
“ค่ะ ได้ค่ะ เดี๋ยวมะนาวมาทำงานแทนค่ะ”
“ขอบคุณมากเลยนะมะนาว น่ารักที่สุดเลย”
“ค่ะ”
“อย่าเปลี่ยนใจนะมะนาว”
“ค่ะ แต่พี่แป๋มกับพี่แก้ม ห้ามลืมนะคะว่าติดค้างวันหยุดกับมะนาวคนละวัน”
“รับทราบจ้ะ งั้นเดี๋ยวพี่ไปบอกพี่ปรางก่อนนะ ขอบใจจริงๆ มะนาว”
“ค่ะ” มิรันดายิ้มรับคำขอบคุณ ทำงานเจ็ดวันก็ไม่เป็นไร ไม่ได้เหนื่อยอะไรอยู่แล้ว ที่สำคัญเธอเป็นน้องใหม่ ไม่อยากทำตัวไร้น้ำใจกับรุ่นพี่ แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องดีใจอะไรขนาดนั้น ปกติงานก็ไม่ได้หนักหนาหรือวุ่นวายเท่าไหร่เลยนะ
ทว่าเมื่อถึงวันเสาร์ มิรันดาก็ได้คำตอบแล้วล่ะว่าทำไมพี่แป๋มกับพี่แก้มถึงดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่ ก็เพราะอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ผู้บริหารระดับสูงจะเข้ามาตรวจงานที่โครงการไงล่ะ
“พร้อมไหมมะนาว”
“พร้อมค่ะพี่ปราง” เธอตอบกลับปรางสิตาที่เพิ่งจัดวางเอกสารให้สวยงามเป็นครั้งที่สามเห็นจะได้ แปลกใจหน่อยๆ ที่ปกติแล้วพี่ปรางจะมีสมาธิในการทำงาน ไม่ทำตัวลุกลี้ลุกลน แต่ตอนนี้นั่งไม่ติดเก้าอี้ ไหนบอกว่าเคยเจอผู้บริหารคนนี้บ่อยๆ ตอนทำงานงานที่สำนักงานใหญ่ แต่ทำไมถึงอยู่ไม่นิ่งเลยเล่า
“มะนาว”
“คะ?”
“พี่เคยบอกหรือยังว่าคุณพิพัฒน์โหดมาก”
“...ยังค่ะ”
“ขอโทษที่ลืมบอก พอต้องเจอนายใหญ่ทีไร พี่สติแตกตลอดเลย” ปรางสิตาทำหน้าเศร้า อีกไม่กี่วินาทีน้ำตาต้องไหลออกมาแน่ แต่ความเศร้าเคล้าความกังวลก็ถูกคั่นกลางด้วยการมาเยือนของพิพัฒน์
“อ้าว! หนูคนนั้นนิ!”
“สะ... สะ... สวัสดีค่ะ” มิรันดายกมือไหว้ทันทีที่เมื่อมองผ่านพีรพลไปเห็นคุณลุงคนที่เคยช่วยเหลือ อย่าบอกนะว่านี่คือผู้บริหารระดับสูงที่พี่ปรางพูดถึง
“รู้จักกันมาก่อนอีกแล้วเหรอ”
ปรางสิตาคิดในใจ อดสงสัยไม่ได้ คราวก่อนน้องสาวเจอกับพีรพล เหตุการณ์ก็ไม่ต่างกับตอนเจอพิพัฒน์ตอนนี้เลย
“เอามือลงเถอะ ฉันไม่ใช่พระ ไม่ต้องพนมมือตอนคุยกันก็ได้” พิพัฒน์หัวเราะอย่างเอ็นดู
“ค่ะ เชิญนั่งก่อนนะคะ เดี๋ยวหนูยกน้ำมาเสิร์ฟค่ะ”
“ไม่เป็นไรมะนาว เดี๋ยวพี่จัดการเอง” ปรางสิตาเอ่ยปาก ดูท่าแล้วนายใหญ่คงมีเรื่องอยากคุยกับพนักงานขายคนใหม่มากกว่า
“หนูก็นั่งก่อนสิ” พิพัฒน์บอกมิรันดาที่ยืนเก้ๆ กังๆ นั่งลงเสียที แต่เธอยังลังเล ไม่กล้าทำตามคำสั่ง เพราะมีพสายตาของลูกชายเขาคอยมอง
“นั่งเถอะ ไม่ต้องเกรงใจใครทั้งนั้น” เขาบอกให้เธอสบายใจ เมื่อรู้ว่าสาเหตุที่เธอไม่กล้านั่งนั้นเป็นเพราะใคร
“ขออนุญาตนะคะ” เธอก้มหัวอย่างนอบน้อม มีมารยาทถูกใจพิพัฒน์ แต่สำหรับพีรพล นี่เป็นมารยาหญิงชัดๆ
“ทำงานที่นี่เหรอ วันนั้นไม่ทันสังเกตซะด้วยว่าใส่เสื้อโครงการ” เขาชี้ไปที่ชุดยูนิฟอร์มของพนักงานขาย ที่ถูกออกแบบให้เรียบหรู ดูดีเหมาะกับโครงการ
“วันนั้นเพิ่งสัมภาษณ์งานกับพี่ปรางเสร็จค่ะ”
“อ๋อ แล้วเซลส์คนอื่นๆ ไปไหนหมดล่ะ นี่น้องใหม่อยู่คนเดียวเหรอปราง” เขาถามปรางสิตาที่เดินออกมาจากครัว โดยที่มิรันดารีบเข้าไปช่วยเสิร์ฟน้ำอย่างรวดเร็ว เธอเกรงใจพี่ปรางจะแย่ หน้าที่ยกน้ำมาเสิร์ฟ ควรจะเป็นตัวเองมากกว่า
“เซลส์อีกสองคน ลาหยุดไว้ล่วงหน้าตั้งแต่อาทิตย์ก่อนแล้วค่ะ ปรางไม่รู้ว่าคุณพิพัฒน์จะเข้ามาวันนี้ เลยอนุมัติให้ลาได้ค่ะ”
“ไม่เป็นไรๆ แล้วเป็นยังไงบ้างปราง ที่นี่ลงตัวหรือยัง”
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีค่ะ ปรางสอนเรื่องที่ควรรู้ทุกอย่างและประเมินงานน้องๆ แล้ว ทุกคนทำได้ดีค่ะ”
“แปลทุกอย่างเรียบร้อยดี เหลือแค่ผู้จัดการโครงการ” เขาพูดจบก็หันไปมองลูกชาย แต่ก็ผ่านไปหลายวินาทีกว่าพีรพลจะรู้ตัวว่าพ่อจะคุยด้วย เพราะกำลังจดจ่อกับการจับผิดใครบางคน
“จะเข้ามาดูแลที่นี่เต็มตัววันไหนล่ะพล”
“วันจันทร์ที่จะถึงนี้ครับ”
“ดี มีปัญหาอะไรหน้างาน จะได้ตัดสินใจได้ทันที ไม่ต้องลำบากให้ปรางเป็นคนกลาง”
“ครับ”
ปรางสิตาได้ยินแล้วสบายใจ ทุกวันนี้นอกจากเป็นพนักงานขาย ยังมีอาชีพเสริมเป็นนกฮูก คอยส่งข่าวให้พีรพลกับวิศวกรก่อสร้างอยู่บ่อยครั้ง แต่สำหรับมิรันดา ลางสังหรณ์บอกว่าตั้งแต่วันจันทร์หน้าเป็นต้นไป คงจะต้องรูดซิปปากให้แน่น เพื่อไม่ให้เผลอต่อว่าเขาแบบตอนเจอกันครั้งแรก
“สรุปว่าโดยภาพรวมก็ไม่มีอะไรน่ากังวล พลดูแลในส่วนของการก่อสร้างให้เป็นไปตามแผน ปรางวางระบบด้านการขาย ซึ่งทำได้ดีอยู่แล้ว แต่อย่าลืมว่าต้องทำยอดขายให้ได้ตามเป้าที่วางไว้นะ ถ้าขายสองร้อยห้องหมดภายในสองปี ก็รอรับโบนัสพิเศษกันได้เลย”
คำพูดของพิพัฒน์ทำให้ปรางสิตาและมิรันดามีรอยยิ้ม แต่สำหรับพีรพล เขาค่อนข้างไม่พอใจ เพราะงานหนักเหมือนจะตกอยู่ที่เขาคนเดียว ทว่าเสี้ยววินาทีความคิดก็เปลี่ยนไป ไม่น่าใช่เพราะงานหนักที่ทำให้หงุดหงิด ปกติทำงานเยอะอยู่แล้ว แต่น่าจะเป็นเพราะไม่ชอบใจสายตาที่พ่อมองมิรันดาเสียมากกว่า
“เอาละ”
ผู้อาวุโสที่สุดในห้อง เอ่ยคำที่ทำให้ทุกคนต้องหยุดเดิน หลังจากเขาตรวจงานในสำนักงานขายจนครบทุกอย่างแล้ว
“คนอื่นออกไปได้ ส่วนมะนาว อยู่คุยกันก่อน” ปลายนิ้วชี้ไปที่ มิรันดา ทำเอาหญิงสาวเลิ่กลั่ก วางตัวไม่ถูก เพราะถูกปรางสิตากับ พีรพลมองมาอย่างไม่ปิดบัง แต่ในฐานะลูกจ้าง เธอจะทำอะไรได้นอกจากยืนอยู่ที่เดิมและปล่อยให้ทั้งคู่เดินจากไป
คราวนี้พิพัฒน์ไม่ต้องบอกให้มิรันดานั่งลง เพียงแค่ปรายตามองไปที่เก้าอี้เท่านั้น
“ไม่ต้องทำหน้าเครียด ฉันไม่ได้จะต่อว่าเรื่องงานหรอก”
“ค่ะ” ได้ยินแบบนี้ก็โล่งอก แต่ความสงสัยยังไม่หายไป เหตุใดจึงต้องคุยกันเป็นการส่วนตัว
“วันนั้นฉันยังไม่ได้ขอบคุณเลย ขอบคุณมากนะที่ช่วยเหลือคนแก่ ไม่ได้หนูช่วยไว้ ตอนนั้นคงแย่เหมือนกัน แก่แล้วเลยเวียนหัว หน้ามืดบ่อยๆ”
“ค่ะ ถ้าเป็นคนอื่นผ่านมาก็ช่วยคุณพิพัฒน์ไว้เหมือนที่หนูทำค่ะ”
“ขอบใจที่ไม่เห็นคนแก่เป็นภาระนะ”
“ค่ะ” มิรันดายิ้มตอบ ใจจริงไม่ได้คิดอะไรมาก ไม่ได้ช่วยเพื่อคำขอบคุณหรือสิ่งใด แต่พอได้ยินก็รู้สึกดีไม่น้อย
“ยังมีอีกเรื่องที่ฉันยังไม่ได้พูด”
“เรื่องอะไรเหรอคะ”
“เรื่องลูกชายฉันน่ะ” เขามองออกไปนอกห้องกระจก ก่อนจะหันกลับมาคุยกับมิรันดาต่อ
“ขอโทษด้วยนะที่ทำให้พลเข้าใจผิด ขอโทษที่ลูกชายปากไม่ค่อยดี แต่บอกพลแล้วละว่าเข้าใจผิด”
“ขอบคุณค่ะ”
“ขอบใจนะ ไม่คุยเรื่องเครียดๆ แล้วดีกว่า งั้นขอถามหน่อยนะ ว่าเป็นใครมาจากไหน ทำไมถึงมาทำงานที่นี่ได้ล่ะ”
มิรันดาเล่าประวัติตัวเองสั้นๆ อย่างที่เคยตอบคำถามของพีรพล แต่สบายใจที่ได้คุยกับคนพ่อ มากกว่าคนลูกร้อยเท่า
เมื่อคนพ่อกลับไป คนลูกอย่างพีรพลไม่ได้กลับไปด้วย เขามีนัดกับวิศวกรเพื่ออัปเดตความคืบหน้าในการก่อสร้างที่ไซต์งานด้านหลังสำนักงานขาย ณ เวลานี้ก็ไม่มีลูกค้ามาเยี่ยมชมโครงการ เพราะใกล้จะห้าโมงเย็นแล้ว นี่จึงเป็นโอกาสดีที่เธอจะถามปรางสิตาให้คลายสงสัย
“พี่ปรางคะ”
“จ๋า?”
“คุณพิพัฒน์เขาดุจริงๆ เหรอคะ” มิรันดาแปลกใจ แม้จะประหม่าที่ได้เจอกันในช่วงแรกๆ แต่ตลอดเวลาที่คุยกัน เธอไม่รู้สึกเลยว่าเขาดุตามคำบอกเล่า
“ดุสิ แต่วันนี้แปลกมากเลยนะ ดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ”
“หรือว่าดุแค่ตอนทำงาน แต่พี่ปรางทำงานเก่งมาก เลยไม่โดนดุ” เธอคิดว่าเป็นเพราะเหตุผลนี้นะ เมื่อตอนเขาเดินตรวจงาน ดูเอกสารต่างๆ เวลามีอะไรสงสัย ปรางสิตาก็ตอบคำถามได้หมด
“ก็อาจจะมีส่วน แต่ที่พี่แน่ใจว่าดุ เพราะมีคนเมาท์กันมาน่ะสิ”
“เมาท์เหรอคะ!”
“ใช่ มาใกล้สิๆ เดี๋ยวพี่เล่าให้ฟัง” ปรางสิตาหันซ้าย แลขวา มองจนมั่นใจว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ๆ จึงเล่าเรื่องพิพัฒน์อย่างออกรส คนฟังอย่าง มิรันดาก็ตาลุกวาวด้วยความตื่นเต้น แต่ยังเล่าไม่ถึงไหน เพราะคล้ายจะมีอีกสามพันเรื่องให้เธอฟัง พีรพลก็เข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน
“นินทาผมอยู่หรือเปล่าครับ”
“เปล่าค่ะ!” สองสาวตอบพร้อมกัน ซึ่งแม้จะไม่ค่อยน่าเชื่อ แต่เขาก็ไม่เก็บมาใส่ใจ
“มะนาว”
“คะ?”
“มาหาผม”
“ค่ะ” มิรันดาตอบรับ ก่อนจะหันไปมองปรางสิตาว่าเธอทำอะไรผิดหรือเปล่า ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่รู้เรื่อง หัวจึงส่ายไปมาโดยอัตโนมัติ
“ปิดประตูให้สนิท” พีรพลเห็นว่าเธอตั้งใจแง้มประตูห้องที่ถูกตกแต่งให้เป็นห้องทำงานสำหรับผู้จัดการโครงการ
“พ่อผมคุยอะไรกับคุณ”
“ท่านขอบคุณที่ช่วยวันนั้นค่ะ”
“คุยกันตั้งนาน มีแค่นี้เหรอ”
“เปล่าค่ะ ท่านขอโทษที่มีส่วนทำให้คุณพลเข้าใจผิดค่ะ”
“ผมจะขอโทษคุณอยู่เหมือนกัน ขอโทษนะครับ”
มิรันดาทำตัวไม่ถูก คราวก่อนเหมือนในสมองของเขาไม่มีคำว่า ขอโทษอยู่ในหมวดหมู่คำศัพท์ภาษาไทย แต่วันนี้กลับพูดได้อย่างไม่เคอะเขิน แบบนี้คงแปลว่าจริงๆ แล้วคุณพีรพลก็น่าจะเป็นคนมีมารยาทอยู่บ้างสินะ
“แล้วคุยกับพ่อผมว่าอะไรอีกบ้าง”
“ท่านก็ถามว่าฉันเป็นใครมาจากไหน เหมือนตอนที่คุณถามค่ะ”
“แค่นี้เหรอ”
“ค่ะ ก่อนแยกกัน ท่านก็แค่บอกว่าให้ตั้งใจทำงาน”
“แล้วพ่อผมน่ากลัวไหม”
“ไม่นะคะ”
“ไม่เหรอ?”
“ค่ะ”
“ไม่เลยสักนิด”
“ค่ะ”
เขาเริ่มนั่งไม่ติดเก้าอี้ พนักงานคนไหนๆ ก็บอกว่าพ่อน่ากลัวตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ ผู้หญิงที่บอกว่าพ่อไม่น่ากลัวก็เป็นคนที่พ่อสนใจเท่านั้น ท่านจะซ่อนความโหดเอาไว้ เพื่อให้พวกเธอกล้าเข้าหา
“ฝากเรียกพี่ปรางมาเข้าหาผมด้วยนะ”
“ค่ะ” เธอตอบพร้อมรอยยิ้ม แต่ไม่แน่ใจว่าออกจากห้องได้แล้ว หรือเขาจะพูดอะไรต่อ เพราะเจ้านายมองหน้าเหมือนยังมีเรื่องจะพูดอีก
“ไปตามพี่ปรางสิครับ”
“ค่ะ”
พีรพลมองตามหลังเธอไป มองจนแน่ใจว่าประตูปิดสนิท ทว่าคนที่เดินจากไปแล้วยังทิ้งภาพดวงตาบ้องแบ๊วและรอยยิ้มแสนน่ารักเมื่อครู่ไว้ในห้อง จนเขาต้องลุกมาเดินทำสมาธิ
เย็นไว้ไอ้พล เย็นไว้... ทำเหมือนไม่เคยเจอคนสวยไปได้
ก๊อก ก๊อก
“เชิญครับ” เขากลับมายืนด้วยท่าทางปกติ รักษามาดผู้บริหารเอาไว้
“ขออนุญาตค่ะ”
“มีอะไรครับ” เขาไม่ได้ถามกวนประสาท แต่คนที่เดินเข้ามาไม่ใช่ปรางสิตา
“พี่ปรางกลับบ้านไปแล้วค่ะ”
“กลับบ้าน!”
“ค่ะ”
“อ๋อ ผมลืมไป พี่ปรางบอกผมแล้วว่าวันนี้ขอเลิกงานเร็ว”
“ค่ะ”
“แล้ว...”
“คะ?” อีกครั้งที่เธอถามด้วยรอยยิ้ม แต่สดใสกว่าเมื่อครู่หลายเท่าตัว
“คุณต้องอยู่ปิดสำนักงานขายเหรอ”
“ค่ะ”
พีรพลเงียบไป กำลังคิดว่าตอนนี้น่าจะเป็นเวลากี่โมง ตอนกลับเข้ามาที่นี่เกือบห้าโมงเย็น ถ้าประมาณการไม่ผิด ตอนนี้ไม่น่าเกินห้าโมงครึ่ง
“ผมหิว”
เซลส์สาวกะพริบตาปริบๆ เอาไงดีล่ะ พี่ปรางไม่ได้สอนซะด้วยสิ ว่าถ้าเจ้านายหิวต้องทำยังไง งั้นขอดูแลแบบที่ทำกับลูกค้าก็แล้วกัน
“รับของว่างไหมคะ ในครัวมีมารากองกับน้ำผลไม้ค่ะ”
“รับ”
“ค่ะ รอสักครู่นะคะ”
“ขอบคุณครับ” เขายิ้มน้อยๆ ตามหลังคำขอบคุณ ก่อนจะพยายามสะกิดจิตตัวเองว่ามิรันดาเป็นแค่ผู้หญิงหน้าตาดีเหมือนผู้หญิงอีกหลายคนที่เคยเจอ
...แต่มันก็ไม่ช่วยให้ภาพความสวยที่โดนใจตั้งแต่แรกเจอตอนนั้นหายไปจากความทรงจำได้เลย
สามเดือนก่อน
ผมมีปัญหาเรื่องธุรกิจ และต้องการคำแนะนำจากผู้รู้อย่างอาจารย์ภากรที่ใครๆ นับหน้าถือตา แต่สำหรับผม มันคือไอ้กร เพื่อนรักที่ใช้ชีวิตด้วยกันมายี่สิบกว่าปี และด้วยความที่มันไม่ค่อยมีเวลาว่าง ผมเองก็ขี้เกียจรอจนถึงวันเสาร์อาทิตย์ เลยตัดสินใจขับรถไปหามันที่มหาวิทยาลัยตอนพักเที่ยง
ระหว่างนั่งคุยกันอยู่หน้าอาคารเรียนรวมของคณะที่มันเป็นอาจารย์สอนอยู่ ผมเห็นนักศึกษาคนหนึ่งจากไกลๆ แต่ระยะทางไม่มีปัญหากับความสวยที่พุ่งชนสองตาผมเข้าเต็มๆ เธอค่อยๆ เดินมาใกล้ จากที่เห็นไกลๆ ว่าสวย มองใกล้ๆ สวยคูณล้านเท่าไปเลย และเวลาไม่กี่วินาทีที่เธอเดินผ่านผมไป โลกของผมหยุดหมุน ผมไม่ได้ยินเลยว่าไอ้กรกำลังพูดอะไร กว่าจะได้สติก็โดนมันใช้รองเท้าสกปรกๆ ของมันเตะขาไปสองที
หลังจากคุยธุระเสร็จ ความสวยของเธอยังวนเวียนอยู่ในความคิด คิดไปไกลในขณะที่รถติดถึงขั้นว่า ถ้าหากได้เป็นแฟนกัน พอเธอเรียนจบ เธอคงมาช่วยผมดูแลธุรกิจคอนโดหมื่นล้านของผมได้ ผมเพ้ออยู่หลายวัน เพราะโดนความสวยครอบงำ เพ้อถึงขั้นแกล้งนัดเจอไอ้กรที่มหาวิทยาลัยอีก แต่ก็ไม่เห็นคนสวยของผม เวลาผ่านมาสักพัก เลยบอกตัวเองให้เลิกทำตัวเป็นวัยรุ่นนักรัก เพราะคงไม่มีโอกาสได้เจออีกแล้ว หรือถ้าบังเอิญเจอกัน เธออาจจะมีแฟนแล้วก็ได้
พอได้มาเจอเธอในสถานการณ์ไม่ชอบมาพากล ผมเลยหงุดหงิดเป็นบ้า แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าเธอพูดจริง ผมเชื่อแล้วว่าเธอไม่เป็นเด็กเสี่ย ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพ่อผม แต่ผมยังไม่รู้ว่าผู้หญิงที่กำลังเดินมาพร้อมอาหารว่าง เธอมีแฟนหรือยัง...
“เห็นพี่ปรางบอกว่าอาทิตย์ต้องทำงานเจ็ดวัน แฟนไม่ว่าเหรอ” พีรพลถามพร้อมหยิบมาการองเข้าปาก เคี้ยวตุ้ยๆ พลางอ่านที่กล่องว่าซื้อมาจากไหน
“ไม่มีแฟนค่ะ”
“ไม่มีแฟนก็ดีนะ” เขาเก็บความดีใจซ่อนไว้ลึกสุดๆ
อย่ายิ้มไอ้พล ต่อว่าเขาไว้เยอะ เก๊กมาก็นาน รักษาความเท่เอาไว้ก่อนเว้ย
“เซลส์คนที่คุณเข้ามาทำงานแทน รู้ไหมว่าเขาลาออกเพราะอะไร”
“ไม่ทราบค่ะ” มิรันดาไม่ได้อยากรู้ แต่เหมือนเขาอยากเล่า งั้นถามต่อก็แล้วกัน “เขาลาออกทำไมเหรอคะ”
“เพราะแฟนไม่ชอบ บอกว่าทำงานนี้เหมือนเป็นเด็กนั่งดริ๊ง ต้องคอยเอาใจลูกค้า”
“ค่ะ”
“แล้วนี่แป๋มกับแก้มเขาขอแลกวันหยุดกับคุณใช่ไหม”
“ค่ะ”
“เขาได้บอกว่าไหมว่าจะไปไหน มีธุระอะไร”
มิรันดาเงียบไป ไม่แน่ใจว่าควรพูดหรือไม่
“แป๋มจะจองตั๋วคอนเสิร์ต แก้มจะอยู่กับแฟนใช่ไหม”
“ค่ะ” เธอตอบสั้นๆ เขาคงรู้มาจากพี่ปรางหรือไม่ก็ทราบเองมาก่อนหน้านี้แล้ว
“ขอบคุณสำหรับของว่างนะ ผมกลับละ” พีรพลพูดจบก็ดื่มน้ำผลไม้เย็นๆ จนหมดแก้ว บ้าจริงเว้ย! นี่เป็นน้ำส้มที่อร่อยที่สุดในชีวิตตั้งแต่เคยกินมาเลยมั้งเนี่ย
“สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีครับ ฝากปิดไฟด้วยนะ” มือชี้ไปที่สวิสซ์ไฟ มืออีกข้างหยิบมาการองที่เหลืออีกชิ้น ก่อนจะเดินออกไปอย่างอารมณ์ดี
มิรันดามองประตูที่ค่อยๆ ปิดลง พร้อมกันกับที่คิ้วย่นเข้าหากันมากขึ้นเรื่อยๆ
“บ้าเปล่าวะ”
เธอถามลมฟ้าอากาศ ไม่ได้หวังจะได้คำตอบ แค่ตามอารมณ์เดี๋ยวดี เดี๋ยวดุของพีรพลไม่ทันก็เท่านั้น