“ไอ้เหี้ยอาจารย์ภากร มึงมาช้า”
“โอ้โห! กินเบียร์ไปแค่ครึ่งขวด หมาก็ออกจากปากมึงแล้วเหรอไอ้พล” เจ้าของชื่อถึงกับอ้าปากค้าง ทันทีที่เดินมาถึงก็โดนทักทายด้วยคำหวานซะแล้ว
“มึงกินอะไรมายัง”
“ยังสิวะ ประชุมเสร็จก็ขับรถมาหามึงเลย จะเอาเวลาที่ไหนไปกินข้าว”
“กูถามนิดเดียว มึงตอบซะยาว”
พีรพลยกมือเรียกพนักงาน และไม่นานภากรก็เลือกเมนูอาหารได้ ระหว่างรอจึงมีเวลาจิบเบียร์ ฟังเสียงดนตรีและคุยกับเพื่อนซี้ ที่รู้จักกันมานานกว่าครึ่งชีวิต
“มึงมีอะไรพล นัดกูมาแบบนี้ ไม่ได้นัดมากินข้าวเฉยๆ ชัวร์”
“ใช่! มึงนี่ฉลาดสมกับเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย”
“สรุปว่ามีอะไร” ภากรอยากจะอ้วก เพื่อนสนิทพูดแบบนี้ ได้ยินแล้วเหมือนเป็นการประชดซะมากกว่า
“มึงมีนักเรียนชื่อมะนาวไหม”
“มะนาว?”
“นางสาวมิรันดา มงคลหิรัญ”
“อ๋อ! มิรันดา รู้จัก มึงพูดแค่ชื่อเล่นกูเลยไม่แน่ใจ ทำไมวะ”
“เรียนเก่งไหม”
“เก่งสิ ไม่ใช่เรียนเก่งอย่างเดียวนะ ทำงานละเอียดด้วย ส่งงานมาแต่ละอย่าง แทบไม่ต้องสั่งแก้ อาจารย์ในคณะชมบ่อยๆ เป็นเด็กเรียน แต่ไม่ทิ้งกิจกรรม แต่กูว่าเป็นเด็กทุนก็แบบนี้แหละมึง ต้องตั้งใจเรียนเป็นพิเศษ ถ้าแต่ละเทอมเกรดไม่ถึง 3.00 จะไม่ได้ทุนเรียนต่อ”
“ต้องเลิกเรียนเลยเหรอ”
“ไม่ใช่ ยังเรียนต่อได้ แต่ต้องจ่ายค่าเทอมเอง เป็นกู กูก็จะตั้งใจเรียนแบบนี้นะ ค่าเทอมก็ไม่ใช่ถูกๆ เทอมละเกือบแสน”
“แล้ว...”
“อย่าเพิ่งถาม มึงตอบกูก่อนว่าถามทำไม ไปรู้จักกันได้ยังไง” ภากรจิบเบียร์พร้อมมองเพื่อนด้วยสายตากรุ้มกริ่ม
“มองเหี้ยอะไร”
“สไตล์มึงเลยนิ”
“เออสิ!”
“อ้าว! คิดว่าจะปฏิเสธ” คนถามคาดไม่ถึง ปกติเพื่อนปากแข็งไม่แพ้หิน แต่ถึงจะปฏิเสธ เขาก็รู้แน่ว่าเพื่อนโกหก เพราะครั้งแรกที่ได้เห็น มิรันดาในฐานะอาจารย์กับลูกศิษย์ก็นึกถึงพีรพลทันที
ไอ้พลมันชอบผู้หญิงที่จะสวยก็ไม่สวย จะน่ารักก็ไม่ได้รัก แบบว่าทั้งสวยและน่ารักผสมรวมกันอยู่ในคนคนเดียว ยกตัวอย่างเช่นตอนทำหน้านิ่งๆ เป็นคนสวย พอยิ้มก็กลายเป็นคนน่ารัก น่ากอด มันไม่ชอบผู้หญิงตาตี่หรือหมวยมากๆ เพราะเกิดมาในครอบครัวคนจีน เห็นลูกพี่ลูกน้องตาเล็กๆ จนเบื่อ และอดีตลูกศิษย์ของผมก็ตาโตกำลังดี ลองได้ทำหน้าอ้อนเพื่อนผม มันยอมทุกอย่างแน่นอน และที่สำคัญมันชอบผู้หญิงเรียนเก่ง ทำงานเก่ง เพราะบ่งบอกว่านิสัยพื้นฐานของเธอคนนั้นมีความรับผิดชอบในหน้าที่ของตัวเองครับ
“กูเห็นตั้งแต่วันที่ไปหามึงที่มหาลัยแล้ว”
“ตั้งแต่สามเดือนก่อนเหรอวะ ที่มึงไปปรึกษาเรื่องงาน?”
“เออ! ตั้งแต่ตอนนั้นแหละ อยากเดินไปขอเบอร์ แต่อะไรๆ ก็ไม่เหมาะสมไปหมด แล้วเขาก็ไม่รู้จักกูด้วย อยู่ดีๆ จะไปทำแบบนั้นได้ยังไง”
“ก็ถูกของมึง มึงก็รู้กาลเทศะนิ”
“อ้าว! กูก็ได้รับการอบรมสั่งสอนมานะครับเพื่อน”
“แล้วตกลงยังไง มึงเจอลูกศิษย์กูได้ยังไง” ภากรถามก่อนจะตักอาหารที่ถูกยกมาเสิร์ฟเมื่อครู่เข้าปาก
“กูเจอเธออยู่กับพ่อกู”
“เหี้ย! อย่าบอกกูนะว่า...”
“มึงคิดเหมือนกูใช่ไหมกร”
“มึงคิดว่าอะไรล่ะ”
“ก็คิดว่าลูกศิษย์มึงเป็นเมียน้อยพ่อกูไง”
“เออ กูคิดแบบนั้นแหละ”
“นั่นไง!” ผมนี่ตีเข่าฉาด เห็นไหมครับ ขนาดไอ้กรไม่ได้เห็นเหตุการณ์ ยังคิดไม่ต่างจากผมเลย
“แล้วเป็นแบบที่คิดจริงๆ เหรอวะ” ภากรไม่ตกใจเท่าไหร่
ตั้งแต่แม่ของเพื่อนจากโลกนี้ไปเมื่อหลายปีก่อน พิพัฒน์ก็แก้เหงาด้วยการเลี้ยงดูปูเสื่อนักศึกษาหลายคน ตัวเขาเองก็ได้ยินและได้เห็นความสัมพันธ์แบบนี้มาเยอะ และไม่ได้ดูถูกหรือรังเกียจฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด แค่คาดไม่ถึงเท่านั้นว่าจะเป็นคนคุ้นเคยอย่างมิรันดา
“ไม่จริง กูถามเธอละ”
“ถามต่อหน้าพ่อมึงเลยเหรอ”
“อือ”
“คงจะยอมรับหรอกมั้ง เด็กพ่อมึงแต่ละคน เขารู้ไม่ใช่เหรอว่ามึงดุ มึงหวงพ่อยิ่งกว่าแม่มึงอีกนะ ใครจะกล้ายอมรับวะ”
“กูถามตอนอื่นด้วย”
“ตอนไหน?”
“เมื่อตอนบ่ายที่โครงการ”
“โครงการคอนโดหมื่นล้านของมึงเหรอ”
“ใช่ มึงเป็นคนบอกให้เธอมาสมัครงานที่นี่ไม่ใช่เหรอ”
ภากรหัวเราะชอบใจ “เออ กูเป็นคนแนะนำ มึงจำวันที่กูเจอพ่อมึงที่สนามกอล์ฟได้ไหม”
“ไม่ได้”
“กวนตีน!”
“เออ วันนั้นแล้วยังไง”
“พ่อมึงบอกว่าถ้ามีเด็กเก่งๆ ก็บอกให้ลองมาสมัครงานหน่อย กูเลยบอกลูกศิษย์ไปสามสี่คน มะนาวก็เป็นหนึ่งในนั้น กูเห็นว่าภาษาอังกฤษใช้ได้ รูปร่างหน้าตา ความรู้ ทักษะ เหมาะจะขายคอนโดแพงๆ แต่ไม่คิดว่าจะไปสมัครจริงๆ”
“แล้วมึงจะขำอะไรขนาดนี้”
“กูตลกที่มึงกล้ารับทำงาน มึงรับเพราะมึงชอบใช่ไหม กล้าฝากยอดขายไว้กับเด็กจบใหม่ได้ไงวะ”
“กูไม่ได้รับ ฝ่ายขายเป็นคนรับ”
“แล้วขายได้สักห้องยังล่ะ”
“ขายได้แล้ว เดือนเดียวขายได้สามห้องเลยด้วย”
“เหยดเข้! สงสัยอาจารย์สอนมาดี”
“โยงเข้าตัวเองเลยนะมึง”
“นิดนึงเพื่อน แต่ได้ยินแบบนี้แล้วกูภูมิใจนะ ได้เห็นลูกศิษย์มีหน้าที่การงานที่ดี ฝ่ายขายมึงก็ตาถึงว่ะ สุดยอด” ภากรชนแก้วกับพีรพล ก่อนจะถามคำถามที่เพื่อนยังตอบไม่ชัดเจน
“แล้วมึงเจอมะนาววันนี้ มึงก็ถามอีกรอบเหรอว่าเป็นเมียน้อยพ่อมึงหรือเปล่า”
“ประมาณนั้น เธอก็ยืนยันว่าไม่ได้เป็น แต่ก่อนหน้านี้ก็แกล้งๆ ถามประวัติส่วนตัวด้วย”
“แล้วได้ถามไหมว่ามีแฟนยัง”
“ไม่!”
“โธ่เอ๊ย! มึงเลิกเจ้าชู้แล้วเหรอวะ ร้ายๆ อย่างมึงต้องมีลูกเล่น รู้จักหลอกล่อถามคำถามนี้สิ”
“ยังมีเวลาให้กูถามอีกเยอะ และที่กูยังไม่ถาม เพราะกูต้องถามพ่อให้ชัวร์ก่อนว่าไม่ใช่เด็กพ่อกูจริงหรือเปล่า เธอเข้ามาช่วยพ่อกูที่กำลังจะเป็นลมจริงไหม”
“คือ... มึงหมายความว่า ตอนมึงเจอมะนาวครั้งแรก เธอกับพ่อมึงอยู่ด้วยกัน แต่มะนาวบอกว่าพ่อมึงจะเป็นลมเหรอ”
“เออ นี่แหละที่คาใจ กูเลยเชื่อไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าไม่ได้เป็นเมียน้อย”
“จริงๆ จะเรียกว่าเป็นเมียน้อยก็ไม่ถูก มึงห้ามลืมว่าตอนนี้พ่อมึงโสด แต่กูเข้าใจมึงนะไอ้พล พ่อมึงแข็งแรงจนวัยรุ่นบางคนยังอาย ยิ่งแก่ยิ่งหล่อ กล้ามท้องก็มี ไหนจะรวยอีก แล้ว...ทำไมมึงไม่ถามพ่อมึงให้จบๆ ไปเลยวะ”
“ไม่กล้าถาม กลัวพ่อตอบว่าใช่ ตอนนี้พ่อกูไปสัมมนานักธุรกิจอาวุโสอะไรสักอย่างที่เชียงใหม่ ยังไม่มีโอกาสให้ถามเลย”
“แต่จะว่าไป...มันมีความเป็นไปได้อยู่นะ”
“เป็นไปยังไงไอ้กร” คนถามหยุดทุกอย่าง หยุดกินข้าว หยุดดื่มเบียร์ แต่ไม่หยุดหายใจ เพราะต้องมีชีวิตอยู่เพื่อฟังความคิดเห็นจากเพื่อน
“มึงลองคิดดูนะ บริษัทมึงทำคอนโดขายมาแล้วหลายโครงการ ขายถูกบ้าง ขายแพงบ้าง แต่ไม่เคยรับคนขาดประสบการณ์การขายคอนโดหรือบ้านเข้าทำงานมาก่อน และยิ่งโครงการใหญ่ขนาดนี้ ห้องราคาเริ่มต้นยี่สิบล้าน ยิ่งต้องใช้คนที่มีประสบการณ์เอาไว้หว่านล้อมลูกค้า ทำไมกล้ารับเด็กที่เพิ่งเรียนจบไม่กี่เดือนเข้าทำงาน แล้วที่มึงบอกว่าขายได้สามห้องภายในหนึ่งเดือน มึงรู้หรือเปล่าว่าขายให้ใครบ้าง ถ้าให้กูเดา เผลอๆ อาจจะเป็นคนรู้จักของพ่อมึงด้วยซ้ำ งานนี้สงสัยลูกศิษย์กูจะได้ค่าส่วนแบ่งเป็นล้าน”
“เครียดเลยกู” พีรพลถอนหายใจ เห็นด้วยกับสิ่งที่ภากรพูดจนอดสงสัยตามไม่ได้ แล้วแบบนี้จะทำยังไงดีวะ ชอบมาก อยากจีบ แต่ถ้าเป็นเด็กพ่อจริงๆ ลูกคนนี้คงต้องยอมถอย แต่อีกใจก็คิดว่าไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะรับคนขาดประสบการณ์ เพราะปรางสิตาสามารถฝึกฝนให้เก่งได้อยู่แล้ว
“พ่อ...”
“เห็นหน้าพ่อแล้วต้องตกใจขนาดนั้นเลยเหรอ” พิพัฒน์ถามลูกชายที่ทำหน้าแปลกใจเมื่อเห็นเขาอยู่ในบ้าน ก่อนจะวางเวทยกน้ำหนักลงบนพื้น เมื่อลูกชายเดินเข้ามาใกล้ๆ
“ตกใจครับ คิดว่าจะกลับพรุ่งนี้เช้า” พีรพลยอมรับ ไม่คิดว่าเดินเข้ามาในบ้านแล้วจะเจอใคร พอเห็นพ่อเลยสะดุ้งเล็กน้อย
“เปลี่ยนใจน่ะ อยู่โรงแรมก็ไม่รู้จะทำอะไร แก่แล้ว คิดถึงบ้าน”
“แล้วเป็นยังไงบ้างครับ อบรมสนุกไหม”
“น่าเบื่อ ไม่ค่อยได้ความรู้ แต่ก็ถือซะว่าได้เจอเพื่อนร่วมวงการ แล้วพลล่ะ ไปไหนมาถึงกลับบ้านเอาป่านนี้” เขาปรายตามองนาฬิกา ตอนนี้เกือบห้าทุ่มแล้ว
“ไปกินข้าวกับกรมาครับ”
“กร? อาจารย์กรเหรอ”
“ครับ”
“กรสบายดีไหม จบปริญญาเอกหรือยัง”
“เห็นบอกว่าปลายนี้น่าจะจบแล้วครับ”
“แล้วที่โครงการใหม่เป็นยังไงบ้าง The Luxe Resident มียอดจองกี่ห้องแล้ว”
“เกือบยี่สิบห้องแล้วครับ”
“ถือว่ายอดขายใช้ได้เลยนะ รักษายอดขายแบบนี้ไว้ได้เรื่อยๆ คงจะขายหมดตั้งแต่ยังสร้างไม่เสร็จ”
“ต้องให้เครดิตพนักงานขายครับ ทำงานกันเก่งมาก”
“พ่อลืมไปเลย ได้ข่าวว่ารับพนักงานขายใหม่ เป็นยังไงบ้าง ทำงานดีไหม”
พีรพลยิ้มในใจเมื่อพ่อพูดถึงมิรันดา จะได้หลอกถามเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งคู่เสียที
“ทำงานดีมากครับ เดือนเดียวขายได้สามห้องแล้ว”
“สามห้อง!”
“ใช่ครับ พี่ปรางดีใจมากเลยนะครับที่ตัดสินใจรับเข้าทำงาน”
“พลเคยเจอตัวจริงหรือยังล่ะ เก่งสมคำร่ำลือหรือโชคช่วย”
“เพิ่งเจอตอนบ่ายครับ บังเอิญมากที่เธอเป็นคนเดียวกันกับที่ช่วยพ่อวันนั้น”
“วันไหน...” พิพัฒน์ทำหน้างง เธอคนนั้นคือเธอคนไหน?
“คนที่ช่วยพ่อ...”
“เด็กคนนั้นเหรอ!”
“ครับ คนที่ช่วยพาพ่อไปนั่งพักที่ร้านกาแฟ”
พิพัฒน์ยิ้มระรื่น นี่เป็นเรื่องราวที่ดีที่สุดที่ได้ยินในวันนี้เลยละ
“บังเอิญจริงๆ ด้วย แบบนี้ว่างๆ ต้องเข้าไปขอบคุณด้วยตัวเองสักหน่อยแล้ว”
“แล้วพ่อเหนื่อยไหมครับ ไม่ได้แอบเป็นลมแล้วไม่ยอมบอกผมใช่ไหม”
“พ่อไม่เป็นอะไรหรอกพล พลไปนอนเถอะ”
พีรพลได้ยินแล้วไม่สบายใจ เพราะยิ่งพ่อแข็งแรง ยิ่งตัดใจเชื่อไม่ได้ว่าพ่อกับมิรันดาไม่ได้เป็นอะไรกัน แต่ถ้าพ่อป่วยจนเข้าโรงพยาบาล เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ใจของทั้งคู่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดี
“พล”
“ครับ” เขาหันกลับมา ก่อนที่ขาจะก้าวขึ้นบันได
“พลว่าเธอเป็นยังไงบ้าง”
“เธอไหนครับ”
“เธอคนที่พลเจอเมื่อตอนบ่าย”
“พ่อหมายถึงเรื่องไหนล่ะครับ”
“ทุกเรื่อง”
“เรื่องอื่นผมเฉยๆ แต่เรื่องงาน เธอเก่งดีครับ”
“พ่อว่าเธอน่ารักดีนะ” พิพัฒน์เดินมาแตะบ่าลูกชาย ส่งยิ้มน้อยๆ แทนคำว่าฝันดี และเป็นฝ่ายเดินขึ้นบันไดไปก่อน เขาเดินไปยิ้มไป ทิ้งให้ลูกชายหัวเสียจนต้องเตะราวบันไดระบายความเซ็ง
เอ่อ... เมื่อกี้เตะเบาๆ นะครับ ผมไม่โง่ทำตัวเองเจ็บตัวหรอกน่า...