ตอนที่ 1...
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแล้วนะคะว่าบัณฑิตจบใหม่ได้แค่สองเดือนอย่างฉัน คนที่มีประสบการณ์ด้านการขาย เพียงแค่ทำงานพิเศษขายไก่ทอดและไอศกรีมในช่วงเปิดเทอม จะได้เป็นพนักงานขายคอนโดมิเนียมระดับ High Rise หรือเข้าใจง่ายๆ ว่าเป็นโครงการที่หรูหรา หมาเห่าโฮ่งๆ เพราะตื่นตระหนกตกใจกับราคาห้องพักที่เริ่มต้นยี่สิบห้าล้านบาท
The Luxe Resident ตั้งอยู่ในย่านที่ถูกขนานนามว่าเป็นที่พักอาศัยของเหล่าคนรวยที่แท้จริง รอบๆ รายล้อมไปด้วยห้างร้านทั้งเล็กและใหญ่ ตอบโจทย์คนที่อยากสะดวกสบายในการใช้ชีวิตเมืองกรุงสุดๆ และอีกไม่นานเกินรอ โครงเหล็กที่กำลังก่อตัวสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จะถูกเนรมิตรให้เพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกหลากหลาย คุ้มค่ากับราคาซื้อและค่าส่วนกลางประจำปี เพราะมีทั้งฟิตเนส สระว่ายน้ำ ห้องประชุม ห้องดูหนัง ห้องทำงานส่วนรวม ไหนจะสวนส่วนกลางและห้องฝากเลี้ยงเด็กเล็ก เรียกได้ว่าคุณสามารถทำทุกอย่างในพื้นที่ของโครงการได้ โดยแทบไม่ต้องขับรถไปไหนไกลเลยค่ะ
บอกตามตรงนะคะว่าฉันเองก็สับสน งุนงงจนศีรษะวิงเวียน งงจนสุดท้ายก็เลิกงง เพราะทันทีที่ส่งกระจกถามตัวเองว่า...
‘เป็นไปได้ยังไงวะ ฉันเนี่ยนะได้ขายคอนโดราคาหลายสิบล้าน’
ฉันก็ได้คำตอบแล้วค่ะว่าเป็นไปได้ยังไง ก็เพราะความสวยและความฉลาด ที่สวรรค์ให้เป็นของแถมตอนได้ลงมาเกิดในท้องแม่ยังไงล่ะคะ แต่แค่สองอย่างนั้นมันไม่พอหรอกค่ะ ต้องเป็นเพราะทักษะในการพูดภาษาอังกฤษของฉันที่ดีเลิศเกินมาตรฐานคนไทย ไหนจะวุฒิการศึกษาที่จบจากคณะภาษาอังกฤษเพื่อธุรกิจ และผลการเรียนเกียรตินิยมอับดันสองของฉันอีก โอ้โห! โพรไฟล์ดีขนาดนี้ ถ้าฉันมีหน้าที่คัดเลือกคนเข้าทำงาน ฉันก็รับตัวเองเข้าทำงานเหมือนกันแหละค่ะ เอ๊ะ! หรือว่าที่ฉันหลงตัวเองขนาดนี้ จริงๆ แล้วจบเอกมโน โทมั่นหน้ากันแน่คะ
และฉันไม่ได้โม้นะคะ ฉันได้ทำงานนี้จริงๆ หลักฐานยืนยันคำพูดของฉันก็คือการขายคอนโดมิเนียมราคาสูงเฉียดฟ้าได้สามห้องภายในหนึ่งเดือนแรกของการทำงาน ถ้าไม่เชื่อก็ถามพี่ปรางดูได้เลยค่ะ คำพูดของพี่ปรางน่าเชื่อถือและยืนยันได้แน่นอนว่าฉันพูดจริง เพราะพี่ปรางเป็นหัวหน้าพนักงานขายของที่นี่ และถ้ายังไม่เชื่อ ก็ลองถามพี่ปรางดูสิคะว่าลูกค้าคนแรกของฉันคือสาวโสดสายเปย์ ที่ซื้อห้องราคายี่สิบห้าล้านให้พระเอกลิเก ลูกค้าคนที่สองของฉันคู่รักไฮโซ มีธุรกิจพันล้าน ที่ซื้อห้องราคาสี่สิบล้าน และลูกค้าคนล่าสุดของฉันคือพระเอกสุดหล่อ ซูเปอร์สตาร์อันดับต้นๆ ของประเทศไทย ที่ซื้อห้องราคาสามสิบห้าล้านบาท แต่เขาไม่ได้ควงนางเอกคู่ขวัญมาดูห้องพักนะคะ เขาควงแฟนสาวนอกวงการมาดูต่างหาก นี่ถ้าแฟนคลับรู้ คงใจสลาย หายมโนกันไปสักพัก แต่เรื่องความเป็นส่วนตัวของลูกค้า ทางเราจะเก็บเป็นความลับ ไม่ออกมาแฉหรือซุบซิบหรอกค่ะ
“พี่ปรางคะ?”
“มีอะไรเหรอมะนาว”
ปรางสิตา หัวหน้าพนักงานขายประจำโครงการ เงยหน้ามาถาม มิรันดาด้วยรอยยิ้ม เธอถูกชะตากับเด็กคนนี้ตั้งแต่แรกพบ สัญชาตญาณการเป็นนักขายบอกว่าต้องรับเด็กคนนี้เข้าทำงาน เพราะด้วยไหวพริบ การรู้จักกาลเทศะ น้ำเสียงในการพูดคุยและหน้าตาที่ดึงดูด รวมถึงผลการเรียนและทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษ ที่สามารถนำมาใช้กับลูกค้าชาวต่างชาติได้ เธอมั่นใจว่าพนักงานขายคนใหม่จะเข้าหาลูกค้าทุกเพศ ทุกวัยได้สบายๆ หลังจากสัมภาษณ์งานจึงนำเรื่องไปปรึกษาหารือเจ้านาย เมื่อได้รับความเห็นชอบ ก็ติดต่อให้มิรันดาเริ่มงานได้เลย
และผลลัพธ์ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เพราะเข้าทำงานเพียงแค่หนึ่งเดือน เด็กปั้นก็ทำรายได้ไม่น้อย ส่วนแบ่งจากการขายห้องละหนึ่งหมื่นห้าพันบาท ดูเหมือนจะน้อยไปสำหรับเด็กจบใหม่และคนที่มีประสบการณ์การขายคอนโดน้อยกว่าพนักงานคนอื่นด้วยซ้ำ
“ที่จริงคุณวินเค้าสนใจห้องเพนต์เฮาส์ราคาห้าสิบล้านที่ชั้นยี่สิบห้าค่ะ”
“คุณวิน... พระเอกคนเมื่อกี้ใช่ไหม”
“จริงค่ะ เขาบอกว่าตั้งใจจะมาดูห้องนั้นโดยเฉพาะ แต่นาวแจ้งว่ามีลูกค้าท่านอื่นวางเงินจองไว้แล้ว เลยแนะนำห้องแบบเดียวกันในชั้นยี่สิบเจ็ดให้แทนค่ะ”
“ลูกค้าโอเคกับห้องชั้นยี่สิบเจ็ดอยู่ใช่ไหม ไม่อย่างนั้นคงไม่เซ็นสัญญาจอง”
“ใช่ค่ะ แต่คุณวินบอกว่าเสียดายที่ไม่ได้ชั้นยี่สิบห้า เขาเลยบอกนาวไว้ว่า ถ้าลูกค้าชั้นยี่สิบห้าเปลี่ยนใจ ให้แจ้งเขาทันทีค่ะ”
“คงจะไม่ได้เปลี่ยนแล้วละนาว”
“ลูกค้าซื้อเงินสดเหรอคะ” มิรันดานึกสงสัย ลูกค้าบางท่านทำการจองแล้วต้องกู้เงินจากธนาคารมาจ่ายส่วนที่เหลือ บางท่านจองและจ่ายส่วนที่เหลือเมื่อสร้างเสร็จเป็นเงินสด
“จ่ายเป็นเงินสดแน่นอนอยู่แล้ว เพราะเจ้าของห้องเป็นผู้บริหารของบริษัทที่ลงทุนสร้างที่นี่ แล้วยังเป็นคนดูแลงานทั้งหมดของ The Luxe Resident ด้วย”
“สรุปง่ายๆ ว่าคนที่จองห้องนั้นไปแล้ว คือเจ้าของโครงการใช่ไหมคะ”
“เออใช่! มะนาวยังไม่เคยเจอคุณพลเลยใช่ไหม”
“ค่ะ ตั้งแต่มาทำงานยังไม่เคยเจอผู้บริหารคนไหนเลย”
“เดี๋ยวก็ได้เจอ แต่วันไหนก็ไม่รู้นะ ช่วงนี้คุณพลกำลังเคลียร์งานเอกสารที่บริษัท อีกสักพักจะลงมาคุมงานที่นี่เต็มตัว คล้ายๆ ว่าทำงานเป็นผู้จัดการโครงการ มะนาวอยากรู้ไหมว่าหน้าเป็นยังไง พี่มีรูปนะ ดูไหม”
“ค่ะ” มิรันดารีบเข้าไปใกล้ปรางสิตา หากบังเอิญเจอจะได้ยกมือไหว้ได้ทัน
“คนนี้ไง”
“คนนี้เหรอคะ”
“คนนี้แหละ”
“นี่คือคุณพล... คนที่เป็นเจ้าของที่นี่เหรอคะ” มิรันดาถามให้แน่ใจว่าผู้ชายที่มีออร่าความรวยเปล่งประกายที่สุดในรูปที่ถ่ายร่วมกับพนักงานอีกหลายสิบชีวิตคนนี้ คือเจ้านายที่เธอยังไม่เคยพบหน้า
“ใช่...ผมเอง”
เสียงที่เหมือนจะคุ้นหู แต่โสตประสาทของมิรันดายังไม่กล้าฟันธงว่าเคยได้ยินมาก่อนจริงหรือเปล่าดังขึ้น ความสงสัยตามสัญชาตญาณสั่งให้เธอหันหลังไปมองยังประตูทางเข้าสำนักขาย และหากการทำงานของดวงตายังทำงานดีอยู่ เขาคือผู้ชายคนเดียวกับในรูปอย่างจริงแท้แน่นอน
เขาส่งยิ้มที่เต็มไปด้วยมิตรไมตรีมาให้มิรันดา ก่อนเอ่ยคำที่ปรางสิตาได้ยินแล้วขมวดคิ้วเพราะไม่เข้าใจความหมาย แต่เป็นคำที่ทำให้มิรันดามืออ่อนแรงจนปากกาที่ถือไว้หล่นลงพื้น ขาตั้งฉากกับพื้นโลกต่อไปไม่ไหว วิงเวียนคล้ายจะเป็นลม จนต้องทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้อย่างหมดเรี่ยวแรง
“เจอกันเร็วกว่าที่ผมคิดไว้อีกนะครับ สงสัยชาตินี้กับชาติหน้าจะห่างจากกันแค่... หนึ่งเดือน”
พีรพลยังคงยิ้มเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือส่งสายตาของผู้ชนะให้ มิรันดา
“คนนี้ใช่ไหมครับ คนที่พี่ปรางบอกว่าทำงานเดือนเดียวก็ขายได้สามห้องแล้ว”
“ใช่ค่ะคุณพล ขออนุญาตแนะนำให้ทราบอย่างเป็นทางการนะคะ”
เมื่อเขาพยักหน้าอนุญาต และมิรันดาก้มลงไปเก็บปากกาขึ้นมาแล้ว ปรางสิตาก็พูดต่อในทันที
“เซลส์คนใหม่ของเราชื่อน้องมะนาวค่ะ มะนาว นี่คุณพีรพลนะ คุณพลเป็นเจ้าของโครงการจ้ะ”
“สวัสดีค่ะ” มิรันดายกมือไหว้อย่างมีมารยาท แต่สบตาเขาแค่สองวินาที เธอก็มองไปทางอื่น
“สวัสดีครับคุณ...มะนาว” เขาเน้นเสียงที่ชื่อเล่นของเธอ ก่อนจะหันไปคุยกับปรางสิตา
“พี่ปรางครับ”
“คะ?”
“จะมีลูกค้านัดเข้ามาดูโครงการอีกไหมครับ”
“วันนี้ไม่มีแล้วค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นผมรบกวนใช้ออฟฟิศ ทำความรู้จักกับพนักงานขายคนใหม่สักครู่ได้ไหมครับ”
“ได้ค่ะ” เจ้านายขออะไรก็ให้ได้อยู่แล้ว แต่ไม่รู้อะไรรั้งขาไม่ให้เดินออกไปสักที กว่าจะก้าวเท้าไปที่ประตูได้ ต้องถูกพีรพลเชิญออกด้วยสายตาถึงสองครั้งเลยทีเดียว
“ขอบคุณครับ”
“ค่ะ” เธอยิ้มรับคำขอบคุณ ก่อนจะเดินออกไปพร้อมคำถามมากมายในหัว
“นั่งสิ” พีรพลใช้เท้าเขี่ยขาเก้าอี้ ก่อนจะลากเก้าอี้อีกตัวมานั่งตรงข้ามมิรันดา แต่เธอก็ไม่นั่ง ทำเพียงแค่ก้าวถอยหลัง เพื่อให้ห่างจากเขาเท่านั้น
“นั่ง” เขาเขี่ยขาเก้าอี้อีกครั้ง
สำหรับมิรันดา มันเป็นการเตะเก้าอี้มาหาเธอซะมากกว่า แล้วไอ้ท่านั่งกอดอก ทำหน้าวางอำนาจนี่ก็น่าหมั่นไส้ชะมัด ถ้าไม่ติดว่าตอนนี้เขามีศักดิ์เป็นเจ้านาย จะต่อยล้างแค้นสักหมัด
“ไม่นั่งค่ะ”
“นั่งเถอะ อยากคุยด้วย” เขาส่งยิ้มหวานไปให้ แต่เมื่อเธอยังดื้อดึงไม่ยอมนั่ง แถมยังเดินถอยหลังไปเรื่อยๆ พีรพลจึงตัดสินใจเดินไปยืนใกล้ๆ ไม่นั่งก็ไม่นั่ง ยืนคุยให้เมื่อยก็ไม่เป็นปัญหา ขายังแข็งแรง หัวเขาไม่ได้ปวด แต่พอขยับเข้าไปใกล้เรื่อยๆ ใกล้ซะจนตัวเธอจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันกับผนัง เธอก็ลากเก้าอี้ตัวที่เขาเตะมานั่งซะงั้น
“นั่งแล้วค่ะ มีอะไรจะคุยกับฉันเหรอคะ”
“เยอะแยะ คำถามแรกเลยแล้วกัน”
“ค่ะ”
“ชื่อมะนาวเหรอ”
“ค่ะ”
“ชื่อจริง?”
“มิรันดา มงคลหิรัญค่ะ”
“อายุ?”
“ยี่สิบสองปีค่ะ”
“แล้ววันไหนจะอายุยี่สิบสามปี”
“วันที่ 19 มีนาคมค่ะ”
“เรียนอะไรมา”
“ภาษาอังกฤษเพื่อธุรกิจค่ะ”
“เกรดเฉลี่ยสะสมสี่ปี?”
“3.61 ค่ะ”
“ประสบการณ์การขายคอนโดมีไหม”
“ไม่มีค่ะ”
“ไม่เคยขายเลย?”
“ค่ะ”
“แล้วเคยขายอะไรมาบ้าง”
“เคยขายไก่ทอดกับไอศกรีมช่วงปิดเทอมค่ะ”
“ทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษอยู่ในระดับไหน”
“พูดคุยกับเจ้าของภาษาได้ค่ะ”
“ฝึกภาษาอังกฤษมาจากไหน”
“พ่อเลี้ยงค่ะ”
“แล้วพ่อผมได้เลี้ยงคุณหรือเปล่า”
มิรันดาถอนหายใจ รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเขาไม่ได้อยากรู้ประวัติส่วนตัวเท่าไหร่ เขาแกล้งถามเพื่อคำถามมากมาย แล้วสุดท้ายก็จะถามในสิ่งที่อยากรู้จริงๆ แต่ไม่คิดว่าเขาจะได้ถามเร็วขนาดนี้
“ตอบคำถามครับ”
“พ่อคุณจะเลี้ยงฉันทำไมคะ ฉันไม่ใช่เมียน้อยพ่อคุณอย่างที่คุณเข้าใจนะคะ”
“แล้วที่ผมเห็นวันนั้นคืออะไร”
“มันไม่มีอะไรเลยค่ะ วันนั้นฉันเพิ่งสัมภาษณ์งานกับพี่ปรางเสร็จ เลยแวะไปเดินที่ห้างก่อนกลับบ้าน ฉันเห็นพ่อคุณกำลังจะล้มก็เลยเข้าไปช่วย พาพ่อคุณไปนั่ง ไปซื้อน้ำเย็นๆ มาให้กิน ซื้อยาดมมาให้ดมเพราะพ่อคุณบอกว่าเวียนหัว”
“แล้วที่พ่อผมจับหน้าอกคุณล่ะ”
“พ่อคุณไม่ได้จับค่ะ แล้วก็ไม่ต้องมองหน้าอกฉันด้วย!” มิรันดาโยนปากกาใส่เขาเพื่อเรียกสติ ไม่สนด้วยว่าเขาจะมีสถานะเป็นเจ้านายหรือยิ่งใหญ่แค่ไหนในห้องนี้ การมองแบบนี้มันไร้มารยาทสิ้นดี
แต่ขอโทษนะคะ ทำไมปฏิกิริยาการรับรู้ของเขาเร็วอะไรขนาดนั้น ตามองหน้าฉันอยู่ แต่มือยกมารับปากกา ก่อนที่จะโดนหน้าทันได้ยังไงกัน
“ผมไม่เชื่อ” พีรพลส่ายหัว พร้อมโยนปากกากลับไปให้เธอ ภาพที่เคยเห็น ยังชัดเจนอยู่ในหัว
หนึ่งเดือนก่อน