หนึ่งเดือนก่อน
“บ่ายโมงมาหาพ่อที่ร้านกาแฟด้วยนะ พ่อมีธุระจะคุยด้วย อย่ามาสายนะ พ่อต้องรีบไปสนามบิน”
“ครับ” เขาตอบรับสบายๆ ไม่ใช่เรื่องยากอะไร เพราะร้านกาแฟที่พ่อนัดหมาย ก็อยู่ที่ห้างสรรพสินค้าข้างๆ The Luxe Resident นี่เอง เดี๋ยวพักเที่ยงก็ขับรถออกจาไปบริษัทไปหาพ่อ คุยกับพ่อเสร็จก็ค่อยเข้าไปตรวจงานที่โครงการต่อ
แต่ระหว่างที่เลี้ยวรถเข้าห้างสรรพสินค้า เขาเห็นพ่อกำลังเดินโอบไหล่ผู้หญิงคนหนึ่ง อยู่ตรงโต๊ะด้านนอกของร้านกาแฟที่ตั้งอยู่ติดทางเข้าห้าง ใจเขาลุกเป็นไฟเพราะไม่ชอบให้พ่อเสียเงินให้ผู้หญิงพวกนี้ และไม่ใจเย็นวนหาที่จอดรถ เหยียบเบรก เข้าเกียร์จอด ดึงเบรกมือ ส่งกุญแจให้พนักงานรับรถพร้อมเงินหนึ่งร้อยบาท ก่อนจะรีบวิ่งไปจุดเกิดเหตุด้วยความเร็วแสง แต่เมื่อใกล้ถึง เขาตัดสินใจหยุดวิ่งและยืนมองอยู่ห่างๆ เพราะผู้หญิงคนนั้นหายไปแล้ว แต่ไม่มองหาไม่นาน เธอกลับมาหาพ่อพร้อมแก้วเครื่องดื่ม ทั้งสองนั่งคุยกันโดยไม่มีทีท่าจะหยุดคุย ขาเลยเร่งจังหวะและเดินเข้าไปแทรกกลางวงสนทนา
สำหรับมิรันดา เหตุการณ์ไม่ได้เป็นแบบที่พีรพลเข้าใจเลยแม้แต่นิดเดียว จุดหมายปลายทางของเธอคือร้านกาแฟไม่ต่างจากพ่อของเขา แต่ระหว่างทาง เธอเห็นคุณลุงมีอาการคล้ายจะเป็นลม พอขาก้าวเดินมาใกล้ๆ คุณลุงก็ยืนไม่ไหวจนเธอต้องเข้าไปประคองและพาไปนั่งที่หน้าร้านกาแฟ เพราะเป็นสถานที่ที่ใกล้ที่สุด ที่มีโต๊ะเก้าอี้และอากาศถ่ายเท เธอถามไถ่ได้ใจความว่าคุณลุงมึนหัวและหน้ามืด อาจเพราะเดินกลางแดดจ้ามาจากลานจอดรถด้านหลังห้าง เมื่อคุณลุงยืนยันว่าอาการดีขึ้น เธอจึงเดินเข้าไปซื้อน้ำเปล่าในร้าน พร้อมชามะนาวเย็นๆ อีกหนึ่งแก้ว เผื่อว่ามันจะทำให้คุณลุงสดชื่นขึ้น ทว่าด้วยความเก้กังๆ ของเธอและคุณลุง เพราะไม่รู้จักกันมาก่อน มือที่หยิบยื่นน้ำให้กันเลยพลวันมั่วซั่ว ชามะนาวเลยกระฉอกใส่ตัวเธอจนได้
ดิฉัน นางสาวมิรันดา มงคลหิรัญ ขอสาบานตรงนี้เลยว่าคุณลุงไม่ได้แตะต้องหน้าอกฉันเลยแม้แต่ปลายนิ้ว สิ่งที่คุณลุงทำก็แค่หยิบกระดาษทิชชูให้ ฉันเช็ดไปก็ถามคุณลุงว่าดีขึ้นแล้วจริงๆ หรือเปล่าคะ ให้ช่วยโทร.หาญาติให้ไหม คุณลุงก็บอกว่านัดลูกชายไว้ที่นี่แล้ว เมื่อเห็นสีหน้าคุณลุงดีขึ้น แก้มเริ่มมีเลือดฝาดไม่ซีดเซียวเหี่ยวเฉา ฉันจึงขอตัวลา ไม่กินแล้วกาฟงกาแฟ ไปเช็ดในห้องน้ำแล้วกลับบ้านก่อนที่มดจะขึ้นตัวดีกว่า ทว่าพอจะยกมือไหว้คุณลุง ผู้ชายคนหนึ่งก็เดินเข้ามาต่อว่าฉัน
“ทำอะไรพ่อผม!” พีรพลดึงตัวมิรันดาให้ห่างจากพิพัฒน์
อย่าเรียกว่าดึงเลยค่ะ เรียกว่ากระชากถึงจะถูก ถ้าน้ำหนักน้อยกว่านี้อีกสักหนึ่งกิโลกรัม ตัวฉันคงปลิวไปถึงแม่ฮ่องสอนแล้ว
“ทำอะไรคะ?” มิรันดาไหวพริบดี ไม่ถามว่าเขาคือใคร เพราะคงไม่ใช่ใครอื่นนอกจากลูกชายคุณลุง
“คุณทำอะไรพ่อผม”
“ฉันแค่...”
“แค่อะไร! รู้ว่าพ่อผมรวย เลยจะมาหลอกเอาเงินพ่อผมใช่ไหม”
“เปล่านะคะ ฉันไม่ได้หลอกอะไรพ่อคุณเลย”
“ไม่ต้องแกล้งทำหน้างง ผมเห็นมานักต่อนักแล้ว ทำหน้าซื่อๆ ตบตา อีกไม่กี่วันก็ได้อะไรสักอย่างจากพ่อผม เงินสด โทรศัพท์ กระเป๋า เผลอๆ หน้าตาแบบคุณ อ้อนนิดอ้อนหน่อย พ่อผมก็ยกคอนโดให้หนึ่งห้องเลยมั้ง”
“พูดจบหรือยังคะ”
“จบแล้ว มาทางไหนก็กลับทางนั้น อย่ายุ่งกับพ่อผม”
มิรันดาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อรวบรวมสติ ต่อจากนี้จะเป็นฝ่ายพูดบ้าง กล้าดียังไงมากล่าวหาว่าฉันเป็นเมียน้อย เป็นเด็กเสี่ย อะไรประมาณนั้นน่ะ
“ฉันยังไม่ไปค่ะ ไม่คิดว่าเอาเปรียบกันเกินไปหน่อยเหรอคะ คุณว่าฉันเสียๆ หายๆ หลายประโยค แต่ฉันยังไม่ได้พูดอะไรสักคำเลย”
“ทำไม คุณจะพูดอะไร”
“ฟังนะคะ ดูปากฉันให้ดี ฉันไม่ได้อ้อน ไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นกับพ่อคุณเลย ฉันเห็นคุณลุงจะเป็นลมเลยเข้ามาช่วย ฉันไม่รู้หรอกนะคะว่าครอบครัวคุณรวยแค่ไหน แต่ถ้ารวยมาก ก็จ้างคนมาสอนเรื่องการทำตัวให้มีมารยาทกับเพื่อนมนุษย์สักหน่อยดีไหมคะ”
“ผมไม่เชื่อ!”
“พล!” พิพัฒน์ทำเสียงเข้มดุลูกชาย หลังจากพยายามส่งสายตาห้ามแล้วหลายครั้ง แต่ไม่สามารถหยุดการกระทำน่ารังเกียจได้
“ครับ”
“พอแล้ว”
มิรันดาโล่งอก คิดว่าต้องเถียงกับเขาอีก โชคดีที่เขากลัวพ่อ ไม่อย่างนั้นปากที่กำลังพ่นคำพูดไม่ให้เกียรติผู้หญิงคงออกมาจากปากเขาอีกแน่
“หนูไปก่อนนะคะ ขอให้คุณลุงสุขภาพแข็งแรงนะคะ สวัสดีค่ะ”
“ขอบใจนะหนู ขอโทษแทนลูกชายลุงด้วย”
แต่พีรพลไม่ยอมให้เธอลอยหน้าไปง่ายๆ เขาเดินตามไปคุยกับเธอ โดยไม่ฟังเสียงพ่อที่ห้ามไว้อีกครั้ง
“อย่ามายุ่งกับครอบครัวผมอีกนะ ชาตินี้อย่าได้เจอกันอีก”
“ได้ค่ะ งั้นเจอกันชาติหน้านะคะ”
“ดี เจอกันแล้วก็ขอโทษผมเรื่องวันนี้ด้วย”
มิรันดาเบ้ปาก หมั่นไส้มากถึงมากที่สุด แต่ก่อนจะพูดอะไรออกไป เธอมองข้ามไหล่เข้าไป เพื่อให้แน่ใจว่าอยู่ห่างจากผู้อาวุโสไกลมากพอแล้ว
“ไปเกิดให้ได้ก่อนเถอะคุณน่ะ ปากเสียแบบนี้ยมบาลคงสั่งขังในนรกนานกว่าคนอื่น”
“พล!” ผู้เป็นพ่อตะโกนเรียกลูกชาย และเสียงเรียกของเขากลายเป็นเสียงระฆังบอกหมดยก คู่ต่อสู้จึงแยกย้ายกันไปคนละทิศทาง แต่ก็ไม่จากกันง่ายๆ เพราะต่างฝ่าย ต่างส่งคำท้าทายให้กันและกัน
“ฝากไว้ก่อนเถอะ”
“ไม่รับฝากค่ะ ไม่อยากเจอเพื่อต่อเวรต่อกรรม”
พีรพลได้แต่กำหมัด เก็บความอัดอั้นไว้ในใจ ก่อนจะเดินไปหาพ่อ
“รู้ตัวหรือเปล่าว่าทำอะไรลงไป พ่อสอนให้ทำตัวแบบหรือไง”
“ก็...”
“ไป ไปทำงานเถอะ บ่ายนี้ต้องเข้าไปตรวจโครงการไม่ใช่หรือไง” พิพัฒน์ถอนหายใจ อากาศร้อนเกินไปหรือไง ลูกชายถึงหงุดหงิดง่ายขนาดนี้
“พ่อมีเรื่องจะคุยกับผมไม่ใช่เหรอครับ” พีรพลรีบถามเมื่อพ่อส่ายหน้าและเดินหนีไปทางอื่น
“ไม่คุยแล้ว บอกแล้วไงว่าต้องไปสนามบิน เวลาที่จะคุย แกเอาไปทะเลาะกับผู้หญิงคนเมื่อกี้หมดแล้ว”
“ก็เธอ...”
“เธอไม่ใช่ผู้หญิงแบบนั้น” คำพูดสั้นๆ แต่เต็มไปด้วยความเด็ดขาด ทำให้ลูกชายเลิกเถียงและเปลี่ยนเป็นเดินไปส่งพ่อที่รถแทน
“ขับรถไหวแน่นะครับ”
“ไหว”
“ครับ” พีรพลไม่พูดอะไรต่อ พ่อดูแข็งแรงแม้จะอายุหกสิบปี นี่จึงเป็นเหตุผลที่เขาไม่เชื่อข้ออ้างของผู้หญิงคนนั้น และพ่อมักลุ่มหลงในเด็กสาวอายุคราวลูก เป็นเจ้าบุญทุ่ม จ่ายไม่อั้นหากเจอผู้หญิงถูกใจ ยิ่งหน้าตาแบบเธอ พ่อเขาพร้อมจ่ายเต็มที่แน่นอน
“เลิกคิดว่าฉันเป็นเมียน้อยพ่อคุณได้แล้วค่ะ” มิรันดาเห็นพีรพลเงียบไป มั่นใจมากว่าเขาต้องคิดถึงเรื่องวันนั้น จึงตบมือเบาๆ เรียกสติให้ตื่นจากการใส่ร้ายป้ายสีเธอสักที
“แล้วใครแนะนำให้คุณมาสมัครงานที่นี่ พ่อผมเหรอ” เขาไม่ปฏิเสธว่าเธอคิดถูก แต่การสอบสวนยังไม่จบลงง่ายๆ หรอกนะ
“ไม่ใช่ค่ะ อาจารย์ที่มหาวิทยาลัยเป็นคนแนะนำ ฉันเจอพ่อคุณหลังจากสัมภาษณ์งานเสร็จค่ะ”
“อาจารย์ชื่ออะไร”
“อาจารย์ภากรค่ะ”
“ภากร?”
“ค่ะ”
“โอเค”
มิรันดารู้ว่าโอเคแปลว่าตกลง แต่ในที่นี้เขาพูดเพื่อจบการสนทนา ทว่าคุยกันจบแล้ว ทำไมไม่เลิกมองหน้าสักที มองนานจนขาดความมั่นใจ มือจึงค่อยๆ ยกมาจับหน้าตัวเอง ถ้ามีอะไรติดอยู่จะได้เอาออกไปซะ
“ตั้งใจทำงานต่อไปนะ” เขาพูดจบก็พรวดพราดลุกขึ้นยืน ทำเอาเธอสะดุ้งรีบลุกจนเก้าอี้เซไปเล็กน้อย
“แล้ว... คุณพ่อของคุณ... ไม่ได้เป็นอะไรมากใช่ไหมคะ”
“ถามถึงพ่อผมทำไม คุณเจอผม คุณต้องขอโทษผมไม่ใช่เหรอ”
เธอทำตาใสซื่อ ขอโทษอะไรไม่ทราบ นี่ไม่ใช่ชาติหน้าจริงๆ สักหน่อย แล้วเขาก็ยังมีชีวิต ยังมีลมหายใจ ยังไม่ได้ถูกยมบาลขังในนรกเลยนี่
“ช่างเถอะ” พีรพลถอนหายใจ ยิ่งมองน่ายิ่งโมโห “ตามพี่ปรางมาหาผมหน่อย”
“ค่ะ” มิรันดารับคำสั่ง โชคดีไปที่ไม่ต้องเอ่ยคำขอโทษ เพราะไม่ได้รู้สึกผิดกับเหตุการณ์ที่ผ่านมาเลยสักนิด และหวังว่าจริงๆ แล้วที่เขาคาดคั้นอยากฟังคำนั้น เพราะรู้ตัวว่าเข้าใจเธอผิดไป