โอ้ เหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นเมื่อ...สามปีก่อน
สาวใช้คนนี้คือ เด็กหญิงที่เหลียงม่านฉี ชี้ตัวนางว่าเป็นผู้ขโมยของในร้านค้าแห่งหนึ่ง แต่ความแค้นครั้งนั้นจะส่งผลใหญ่หลวงถึงขั้นต้องการให้เหลียงม่านฉีพบหายนะครั้งใหญ่เลยหรือ
“ทหาร รีบเอานางใส่กรงขังหมูเสีย จากนั้นก็ให้ม้าลากนางไปทั่วเมือง ประจานให้ทุกคนได้รู้ว่า มีสตรีชั่วช้า ทำสิ่งต่างๆ โดยไม่อายฟ้า อายดิน อย่าให้ใครต้องเอานางเป็นเยี่ยงอย่างอีกเลย” เสียงจากด้านหลังไกลๆ ตะโกนขึ้น ซึ่งอึดใจต่อมา ก็มีกรงขังหมูที่ทำด้วยไม้ไผ่มาอยู่ตรงหน้าเหลียงม่านฉี ราวกับจัดเตรียมการไว้อย่างดี
“หากข้ามีความผิดจริง ย่อมต้องได้รับการไต่สวนคดีความ มิใช่ใช้กฎหมู่ อย่าลืมว่าแคว้นหลางมีข้อกำหนดเอาไว้ ใต้เท้าผู้ดูแลศาลเป็นผู้ว่าความ และจำเลยสามารถแก้ต่างให้ตน อีกอย่างสาวใช้ เช่นเจ้า... มีสิทธิอันใด มาพิพากษาข้า”
สาวใช้ได้ยินเหลียงม่านฉีกล่าวเช่นนั้น นางก็ร้อนตัว จึงส่งสายตาไปยังทหารยศสูงสุดในกลุ่ม และเขาเอ่ยว่า
“เสียเวลา ในเมื่อความผิดเจ้าประจักษ์แจ้ง อีกอย่างในยามวิกาล ไฉนต้องไปรบกวนใต้เท้าผู้พิพากษาด้วย”
“ถูกต้อง โทษของเจ้าหากให้กล่าวถึงนั้น คืนนี้ทั้งคืน ก็คงสาธยายไม่หมด ดังนั้นจงยอมรับกรรมเถิด นังแม่ครัวปีศาจ!” สัปเหร่อหน้าผีกล่าวต่อ ดูเหมือนเขาซ้อมบทเหล่านี้มาอย่างดี เหลียงม่านฉีเข้าตาจนแล้ว อีกอย่างคิดให้หัวระเบิดตอนนี้ ก็ไม่อาจล่วงรู้ว่าตนไปเหยียบเท้าสัปเหร่อคนนี้ตอนไหน ถึงได้แค้นและอยากฆ่ากันให้ตาย
“กระนั้น ข้าก็ไม่สมควรถูกขังกรงหมู และให้ผู้อื่นทำร้าย ตัวข้านี้ ไม่ได้ทำความผิดอันใด หากคิดรังแกกัน จงรู้ไว้ด้วยว่า ข้าจะยอมสู้จนตัวตาย”
เหลียงม่านฉีเปล่งเสียงดัง แล้วเตรียมหาทางหลบหนี ทว่าทหารนับสิบชีวิต พร้อมชาวบ้านอีกฝั่งหนึ่งที่ถือข้าวของเตรียมโยนใส่นาง พากันขวางทางไว้ และมันเป็นภาพที่ชวนให้ขวัญเสีย
“หึ สิ่งที่พวกเราจะทำถูกต้องหรือไม่ เจ้าย่อมไม่ใช่คนที่จะตัดสินใจเรื่องนี้ เพราะแม่ครัวที่กล้าทำให้เมืองของเราเสื่อมเสีย และส่งเสริมให้ผู้อื่น ผิดลูกผิดเมีย ไม่ควรมีชีวิตอยู่บนโลกอีก!”
เสียงดังกล่าวมาจากหมอตำแยวัยกลางคน นางว่าและยิ้มเหี้ยม รอยยิ้มนั้นทำให้เหลียงม่านฉีครั่นคร้ามใจ ทุกอย่างคงจบลงเช่นนี้ เมื่อถึงคราวดวงตก จึงได้พบกับสิ่งที่ทำให้ชีวิตเข้าใกล้ความตายโดยไม่อาจหลีกเลี่ยง
จากนั้น นายหทารสองคนพุ่งเข้ามา และเตรียมใช้กำลังจับเหลียงม่านฉีใส่กรงหมู ฝ่ายนางก็ปกป้องตนเองสุดชีวิต ด้วยอย่างไรก็จะไม่ถูกกระทำอย่างสัตว์เดรัจฉาน
บุรุษที่นั่งอยู่ในรถม้า ตั้งใจกลับตำหนักปี่ซือที่ตั้งอยู่นอกเมืองหลวงตั้งแต่เกิดเหตุไฟไหม้เรือนรับรองลับ ทว่าจิตใจชายหนุ่มกลับไม่สงบ หนึ่งก็คือเขายังตามสืบไม่ได้ว่า ใครคือผู้คิดปองร้ายตน มากกว่านั้น เขามีความว้าวุ่นอย่างหนักเกี่ยวกับ แม่ครัวเหลาอาหารเถื่อน ที่ชื่อ เหลียงม่านฉี
ซึ่งเขาล่วงรู้สิ่งใดเกี่ยวกับนางจากสำนักวิหคทองคำที่ขายข่าวให้ เหลียงม่านฉี คือสตรีที่เปิดเหลาอาหารเถื่อน และปรุงอาหารได้ยอดเยี่ยม โดยเฉพาะหากสิ่งนั้นเกี่ยวกับ ความแข็งขันของบุรุษ หรือความสามารถทำให้สตรีวัยทองตั้งครรภ์ ที่น่ามหัศจรรย์ใจกว่านั้น นางอาจเป็นศิษย์คนสุดท้ายของนักพรตหน้าด่างแห่งเขาหัวขาด และมีตำรับอาหารอันเป็นความลับนับสามพันปี
“แม่ครัวคนนั้น สืบได้ความเพิ่มเติมอย่างไรบ้าง”
คนรับใช้เขาซึ่งคือกงกงสูงวัย มีนามว่ามู่ฉือ ฝ่ายนั้นมองบุรุษผู้งามสง่า ซึ่งยามนี้ฟ้าประทานให้เขากลับมาเดินเหินได้ นับว่าเป็นเรื่องน่ายินดี ทว่าชายผู้นี้ยังต้องเล่นละครต่อไป แสร้งว่าตนได้รับบาดเจ็บหนักจากการล่าสัตว์เมื่อปีก่อน จนส่งผลให้เขาเดินเหินไม่สะดวก ต้องนั่งบนรถเข็นที่มีกลไก ซ้ำร้ายขาที่สามก็ไม่อาจใช้มันอุ่นเตียงกับสตรีนางใดได้
“เอ่อ แม่ครัวฉี บ่ายเบี่ยงที่จะดื่มน้ำแกงขี้เถา หม่อมฉัน เลยขู่จะฆ่าให้ตาย แต่นางยังเล่นปาหี่ หลอกตาคนของสำนักเอ้อร์ปา สตรีนางนี้ ดูซื่อบื้อก็จริง แต่หากเมื่อถึงเวลาคับขัน นางกับสู้อย่างหมาจนตรอก สุดท้ายยังเอาตัวรอดได้ หากโชคไม่เข้าข้าง ก็นับว่าฟ้าลิขิตไว้เช่นนี้”
ชายหนุ่มรับฟังแล้ว ก็มีข้อสงสัยไปหมด
“เงินที่ค่าสั่งให้มอบแก่นาง เจ้าทำเรียบร้อยหรือไม่”
มู่ฉือหัวเราะแหะๆ แล้วตอบว่า “อย่างที่ทราบมีโจรเข้ามาขโมยของ แล้วก็เผาเรือนรับรอง เงินจึงหายเกลี้ยง อีกอย่างนางหนีไปเสียก่อน หม่อมฉันจึงไม่ทันได้เตรียมสิ่งใดทัน”
คิ้วที่เป็นแพหนาเลิกสูง ก่อนตวาดเสียงดัง
“หากข้ารู้ว่า เจ้าคิดใช้ลูกไม้ เพื่อปิดปากนาง ข้าผู้นี้ไม่เพียงแต่เพียงเขียนฎีกาถึงฝ่าบาท ขอให้ยุบสำนักเอ้อร์ปา แต่จะสั่งปลดเจ้าให้ไปอยู่เกาะฉางไห่ ปลูกโสม และลงเรือหาไข่มุกเพื่อส่งเป็นเครื่องบรรณาการแก่ท้องพระคลัง!”
มู่ฉือหุบยิ้มฉับ เหตุใดสำนักเอ้อร์ปา ซึ่งรับผิดชอบในวังหลวง เกี่ยวกับอาหารการกินซึ่งเขาดูแลอยู่จะสมควรถูกสั่งปิดเล่า ดังนั้นจึงระล่ำระลักตอบว่า
“โอ้ องค์ชาย หม่อมฉันชราแล้ว ถึงจะไม่ได้มอบเงินให้นาง แต่ส่งคนติดตามไปส่งนางอยู่ห่างๆ ท่านก็รู้ว่า สตรีที่รับใช้ท่าน ล้วนไม่เคยมีใครตายดี!”
ได้ยินอย่างนั้น เฉินอี้คัง ถอนหายใจอย่างฉุนเฉียว เขาเครียดจัด เรื่องบัดซบนี้ หลอกหลอนเขามานานเกินไปแล้ว
“บาปกรรมใดหนอ สตรีที่ใกล้ชิดข้า ต้องพบเจอแต่เรื่องร้ายๆ”
“ชะตาของบุรุษกินเมียขององค์ชาย มิใช่สิ่งที่แก้ไขได้ง่ายๆ อย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ หากท่านไม่ล้มป่วย ย่อมเป็นสตรีที่ร่วมหลับนอนด้วย พวกนางล้วนรับเคราะห์กรรมแทนองค์ชาย สิ่งนี่คงมิอาจเลี่ยง”
“ข้าอยากให้เรื่องเหลวไหลพวกนี้จบสิ้นเสีย มิเช่นนั้น เมื่อใดกันข้าถึงจะมีพระชายา และภายภาคหน้า ข้าจะได้ มีเลือดเนื้อเชื้อไขของตน”
มู่ฉือได้ยินคำพูดของเฉินอี้คัง ก็ลอบถอนหายใจเบาๆ องค์ชายห้าอยากได้สตรีที่อุ้มท้อง และมอบทายาทให้เขากระนั้นหรือ โถ เรื่องนี้ ยากเย็นยิ่งกว่าการให้คนแขนด้วนเอื้อมมือไปคว้าดาวและเดือนบนท้องฟ้าเสียอีก