กรงขังหมู

1069 Words
เหลียงม่านฉีเป็นเพียงสตรีที่อยู่ในครัว เก่งกาจเฉพาะเรื่อง ไฉนนางจะรับมือ หรือต่อกรกับทหารตัวโตๆ ได้ “จับนางใส่กรงขังหมู ลากไปทั่วเมือง พอไปถึงสะพานทางเหนือ ก็ตัดเชือกแล้วโยนนางลงแม่น้ำ ถือว่าเป็นการชำระบาปที่สมควรแล้ว” เสียงคนออกคำสั่ง เต็มไปด้วยความเกลียดชัง และอาฆาต “บัดซบ เจ้าจงใจฆ่าผู้อื่นเช่นนี้หรือ” เหลียงม่านฉี เลือดขึ้นหน้าในตอนนั้น “ฮึๆ ๆ ใช่ ข้าคือผู้ชี้เป็นชี้ตายชีวิตนังแม่ครัวชั่วช้า นับแต่นี้ จะไม่หลงเหลือเหลาอาหารเถื่อนอีกต่อไป” ชายผู้นี้กล่าวจบ เขาจึงสั่งทหารชั้นผู้น้อย โยนคบเพลิงใส่ในเหลาอาหารเหลียงม่านฉี ภาพดังกล่าวบีบรัดหัวใจนาง แม้คิดจะหนีจากที่นี่ไป แต่นางไม่ได้อยากเผาให้ทุกอย่างสิ้นซาก ด้วยมันเปรียบเสมือนชีวิตของนาง เป็นเรือนหลังเล็ก เป็นที่ปรุงอาหาร ทั้งยังทำให้นางลืมตาอ้าปากในช่วงที่ชีวิตแทบจะไม่เหลืออะไร “หยุด พวกเจ้ามันเป็นลูกหมา กล้าข่มเหงผู้อื่นอย่างไร้ยางอาย บ้านเมืองยังจะมีกฎหมายไว้เพื่อการใด” “คนชั้นต่ำอย่างเจ้า กล้าเรียกร้องสิทธิหรือ ตายไปแม้แต่ป้ายฝังศพก็ยังไม่มีใครปักให้เจ้าเลย ฮ่าๆ ๆ” คนเป็นหัวหน้าทหารกล่าวจบจึงชูดาบขึ้น ด้วยหมายที่จะปรามผู้ที่คิดเข้ามาช่วยเหลียงม่านฉี ยามนั้น เหลียงม่านฉี ตัวแข็งทื่อ นางจะทำเช่นไร เมื่อมองไปโดยทั่ว เหล่าสตรีจากหอนางโลม แม้อยากยื่นมือมาหานาง แต่คนเหล่านั้น ไม่ง่ายเลยที่จะกระทำสิ่งใดอย่างเปิดเผย เพราะหลายสิ่งที่ทำผิดกฎหมายแคว้นหลาง เปิดสำนักโคมเขียวโดยมีเด็กหญิงกับเด็กชายทำงานยังไม่พอ หากมีบ่อนการพนันซ่อนไว้ด้วย และขายยาเสพติด มิหนำซ้ำสตรีบางคน มาจากต่างแดน ไม่มีใบรับรองการเข้าออกเมืองเป่ยจง เมื่อเหลียงม่านฉีถูกจับใส่กรงขังหมูสำเร็จ พร้อมมัดแขน และเท้า ชาวบ้านอีกกลุ่มก็เริ่มขว้างเศษผัก ไข่เน่า และมูลสัตว์ใส่นาง “จงผูกกรงขังหมูกับม้า และให้มัน ลากหญิงต่ำช้า ประจานทั่วเมือง!” คำสั่งดังกล่าว ทำให้เหลียงม่านฉีขวัญกระเจิง นางคงไม่อาจรอดชีวิตแน่ หากถูกกระทำป่าเถื่อนเช่นนั้น “สวรรค์เมตตา ช่วยข้าด้วย ข้าไม่ได้ทำสิ่งใดผิด โอ้ สวรรค์!” เหลียงม่านฉีซึ่งตอนแรก ไม่คิดว่าจะมีเหตุร้ายถึงเพียงนี้ถึงกับหลั่งน้ำตา และเมื่อม้าเริ่มวิ่ง นางก็หวีดร้อง เป็นเพราะเนื้อตัวครูดไปกับพื้นถนน “ใครก็ได้ช่วยข้าด้วย ได้โปรด ข้าไม่ได้ทำสิ่งใดผิด” เสียงนางน่าเวทนาเหลือเกิน และบุรุษจากสำนักวิหคทองคำเห็นแล้ว เขาอยากยื่นมือเข้าช่วยนาง แต่ดูเหมือนว่า เขาคิดช้าไป ยามนั้น มีผู้สวมชุดชมพูสดใสออกมา ฝ่ายนั้นยืนเด่นอยู่กลางถนน ชุดที่สวมแจ้งชัดว่า เหมือนสาวน้อยเตรียมร่ายรำกลางแสงจันทร์ “เจ้าเป็นผู้ใด คิดขวางทางพวกข้ารึ” หัวหน้าทหารเอ่ย แต่คนที่ยืนอยู่กลางถนนยังนิ่ง และยิ้มกว้าง ใบหน้างามล้ำ เฉกเช่นสตรีจากหอนางโลมอันดับหนึ่งของแคว้นหลาง งดงาม แต่แฝงด้วยความน่ากลัวซ่อนเร้น “ข้าเตือนอีกครั้ง ถอยไปเดี๋ยวนี้!” คำสั่งดังกล่าวขู่เข็ญ พร้อมมีการเตรียมให้ทหารยิงธนูใส่ ทว่ากลับเกิดเหตุชวนให้ตื่นตระหนก เมื่อผู้สวมชุดนางรำ ขว้างระเบิดควันตรงเข้าใส่กลุ่มทหาร ความโกลาหลดังกล่าว ทำให้นางโลมกรูกันเข้าไปช่วยเหลือเหลียงม่านฉี ทว่าไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะจู่ๆ ม้าตัวดังกล่าวถูกยิงธนูใส่ และมันตกใจจนวิ่งอย่างบ้าคลั่ง คราวนี้ร่างเหลียงม่านฉีเลยได้รับบาดเจ็บยิ่งกว่าเดิม “จับม้าไว้เร็วๆ มิเช่นนั้น นางคงตายแน่” แม่เล้าคนหนึ่งว่า และเรียกผู้ชายที่ยืนอยู่บริเวณนั้นช่วยกัน บุรุษที่มาจากสำนักวิหคทองคำจึงสบโอกาส พุ่งตัวอย่างเร็ว ตั้งใจขึ้นไปควบคุมม้าพยศ ทว่ากลับมีลูกธนูจากทหาร และชาวบ้านอีกกลุ่มสกัดเขาไว้ ชายคนนั้นหลบหลีกอาวุธอันตรายที่หมายจะทำร้ายเขา “พวกเจ้า เป็นมือสังหารที่ถูกจ้างมาหรือ เหตุใดแม่ครัวเพียงคนเดียว ถึงต้องลงทุนมากมายนัก” ถ้อยคำดังกล่าว ส่งผลให้พวกที่ถูกจ้างมา มองเขาเป็นตาเดียว “อย่าแส่เรื่องผู้อื่น ธุระไม่ใช่ จงรักษาชีวิตเอาไว้” “หึ ๆ ๆ บังเอิญว่า ข้าชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านเป็นที่สุด” คนผู้นั้นที่มีนามว่าอู๋ซวงกล่าว และใช้ความว่องไวฝ่าไปให้ถึงม้าที่ลากกรงขังหมูซึ่งมีร่างเหลียงม่านฉีอยู่ด้านใน ฝ่ายเหลียงม่านฉี ที่เนื้อตัวได้แผลหลายแห่ง พยายามเหลือเกินที่จะช่วยเหลือตนเองให้หลุดจากกรงขัง ยามนี้นางได้มีดสั้นที่ซ่อนไว้ในแขนเสื้อ และใช้มันตัดเชือกที่มัดมือติดกันออกได้ เมื่อสองมือเป็นอิสระ นางก็พยายามหาทางพาตัวเอง ออกจากกรงไม้บ้าๆ นี้ ทว่าด้วยม้ายังห้อตะบึงไม่หยุด และมีความเร็ว นางจึงไม่อาจกระทำสิ่งใดอย่างใจตนคิด จวบจนขาข้างหนึ่งชนกับหินก้อนใหญ่เข้าอย่างแรง และเกิดบาดแผลฉกรรจ์ นางก็คิดว่าตนของคงตายแน่ๆ ด้วยปวดร้าวไปหมด ก่อนตามด้วย ความรู้สึกเหมือนจะสิ้นลมหายใจ เพราะมีแรงกระแทกอีกครั้งก่อนที่ม้าตัวดังกล่าวจะวิ่งขึ้นสะพานสูง “ข้ายังตายไม่ได้...” นางบอกตนเอง และภาวนาในใจ ซ้ำไปมา ยามนั้น เหลียงม่านฉี คิดถึงสิ่งที่ตนเคยทำ หากแม้ยังพอมีความดีหลงเหลืออยู่บ้าง ขอให้นางรอดชีวิต และสามารถแก้แค้น คนที่มุ่งร้ายต่อตน ให้พวกเขาได้รับรู้ถึงรสชาติของความทุกข์ ความเจ็บปวด อย่างเช่นที่นางสัมผัสอยู่ในตอนนี้ อึดใจต่อมา เชือกที่ผูกกรงขังหมูก็ขาดออกจากหลังม้า ภาพสุดท้ายที่เหลียงม่านฉีเห็นคือใบหน้าที่แต่งแต้มสีสันงดงามโผล่เข้ามาช่วยเหลือ ใบหน้าดังกล่าว หากจำไม่ผิด นางมั่นใจเหลือเกินว่า เขาก็คือ ขันทีน้อย!
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD