ตอนที่ 4

1370 Words
รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมและหยามหยันผุดขึ้นบนใบหน้าคร้ามแกร่ง แค่มีเงิน มีอำนาจ ไม่ว่าปรารถนาสิ่งใดก็ได้ดังหวัง ไม่แปลกเลยที่ทุกคนจะไขว่คว้าหามัน แต่เมื่อได้มาแล้วนั่นแหละคือตัวปัญหา ใครจะนั่งอยู่บนบัลลังก์แห่งอำนาจได้ยาวนานโดยไม่มีคนอื่นมาโค่นล้มแย่งชิงไป “ขอโทษด้วยนะคะคุณ” ราชาวดีเอ่ยอีกครั้งพร้อมส่งยิ้มแหย ๆ ไปอีกครั้ง ทำไมสายตาของผู้ชายตรงหน้าถึงได้ทำให้เธอหนาว ๆ ร้อน ๆ เหมือนคนเป็นไข้ก็ไม่รู้ แต่ช่างเถอะ เจอกันตอนนี้เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นเอง พอจากไปก็จำไม่ได้แล้วละ ก็ใครจะมาจำผู้หญิงที่สวยก็ไม่สวย ตัวก็เตี้ยม่อต้ออย่างเธอกันให้มันหนักสมองกันละ เสียงใสเหมือนกับน้ำที่อยู่ในแก้ว บวกกับประกายในดวงตามีชีวิตชีวาและรอยยิ้มเหมือนกำลังจะเปิดโลกที่มีแต่สีดำสนิทและมืดมิดจากการเข่นฆ่าให้สว่างสดใส จนเซกิจิโร่เห็นว่าหากยังยืนสนทนาอยู่กับเด็กสาวตรงหน้าคงไม่เป็นการดีแน่ เผลอ ๆ เขาอาจจะคว้ากายอรชรมาแนบชิด ฉกจุมพิตแผดร้อนบดขยี้ริมฝีปากนุ่ม ที่คงจะไม่ดีแน่ ถ้าเขาไปให้ความสนใจผู้หญิงที่เพิ่งพบเจอ มันจะทำให้บางคนรู้สึกสนใจจนอาจจะกลายเป็นจุดอ่อนสำหรับเขาไปได้ สงสาร...ที่ไม่ควรมีสำหรับคนทำงานที่ทุกวินาทีของชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย เพราะมันจะนำซึ่งความตายมาให้ ถ้าหากไม่เชื่อก็ต้องกลับไปดูที่บ้าน ตัวอย่างมีให้เห็นอยู่แล้ว ตัวอย่างที่เขาเอาไว้สอนใจ ห้ามรักใคร ห้ามมีความสงสารให้ใคร ถ้ายังอยากมีชีวิตอยู่ “ทีหลังเดินก็หัดดูทางเสียบ้าง ไม่ใช่เหม่อลอยจนทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อน” นี่ก็อีกอย่างที่เซกิจิโร่แปลกใจ ทำไมเขาถึงได้อยากต่อปากต่อคำกับยายเด็กซึ่งเพิ่งจะวางขวดน้ำนมไว้ใกล้ตัวด้วยก็ไม่รู้ ชายหนุ่มปรายตาไปยังลูกน้องที่ยังทำตัวเหมือนกับหุ่นยนต์ แม้ว่าการมาครั้งนี้ของเขาจะเงียบ ๆ แต่ก็ยังมีลูกน้องตามติดมาให้ความคุ้มครองหลายคนอยู่ แต่แปลก...หน้าตาของเขาและลูกน้องหน้าดุและเย็นชา แต่ไม่ได้ทำให้ยายเด็กซุ่มซ่ามขลาดกลัว แถมยังจะยิ้มรับเสียอีก ความหงุดหงิดเริ่มจะเกาะกุมหัวใจแข็งกระด้าง “นายครับ” หนึ่งในลูกน้องที่ยกแขนขึ้นดูนาฬิกาเอ่ยเรียกอย่างนอบน้อม “ฮือ...” เซกิจิโร่รับคำในลำคอและเดินไปโดยไม่หันกลับมามองด้านหลังอีก ชิ...เห็นว่าหล่อหน่อย ทำเป็นหยิ่ง รีบ ๆ ไปเถอะยะ นึกหรือว่าฉันจะสน แต่เธอก็อดมองตามร่างหนาที่ถูกห้อมล้อมด้วยลูกน้องจำนวนห้าคนที่แม้จะใส่สูทผูกเนคไทแต่ยังปกปิดรัศมีแห่งความเหี้ยมโหดเอาไว้ไม่ได้เลย เป็นเหมือนกันตั้งแต่หัวหน้ายันลูกน้องเหมือนกับ... เออแล้วนี่เราจะไปสนใจเรื่องของคนอื่นทำไมกัน...ราชาวดีสะบัดศีรษะไล่ความคิดทุกอย่างที่มันผุดขึ้นมาในสมองออกไป แล้วก้มมองนาฬิกาข้อมือเรือนเก่าที่ตอนนี้สายหนังบางส่วนหักงอจนแทบจะหลุดออกจากกันแต่ยังใช้การได้ดี ดวงตากลมโตเบิกกว้าง เมื่อเห็นเข็มของนาฬิกาที่อยู่บนหน้าปัดซึ่งบอกเวลาว่าเหลือไม่ถึงห้านาทีจะหกโมง... ตายแล้ว สายแล้วเรา จะถูกหักเงินหรือเปล่านี่ โอ้ยตายแล้ว! เพราะอีตาบ้าสุดหล่อนั่นเชียว ทำให้เธอเข้างานช้า ราชาวดีต่อว่าชายคนที่ทำให้เธอไขว้เขวไปชั่วขณะหนึ่ง พร้อมกับความคิดที่ว่า...เธอไม่ควรเข้าไปในโรงแรมและทำงานในค่ำคืนนี้ เพราะผู้ชายคนนั้น...ผู้ชายที่มีลูกน้องห้อมล้อมให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าเป็นพวกมีอิทธิพล ที่เพียงแค่คิด เธอก็สัมผัสถึงไอเย็นยะเยือกจากกายใหญ่ที่ยังหลงเหลืออยู่แผ่มาปกคลุมกาย ทำให้สั่นสะท้านจนต้องรีบยกมือขึ้นลูบแขน “เอาไงดีละนี่เรา” แต่เมื่อถึงจำนวนเงินที่จะได้รับ ราชาวดีก็รีบสลัดความลังเลทิ้งไป แล้ววิ่งไปในส่วนที่ตัวเองจะต้องไปรายงานตัวรับงานและเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเตรียมพร้อมสำหรับทำงานจนแทบจะเห็นฝุ่นที่มันกระจายตัวออกยามที่เท้าเธอกระทบลงไปบนพื้น “คมบังวะ อิรัชชะอิมะเสะ โกะจูมงวะ นะนิ นิ นะ ไซมะสุกะ” (สวัสดีตอนค่ำค่ะ ยินดีที่มาใช้บริการ จะรับอะไรดีคะ) เสียงหวานนุ่มเอื้อนเอ่ยขึ้นท่ามกลางบรรยากาศเคร่งเครียดและอึดอัดจนแทบจะได้ยินเสียงลมหายใจที่ออกจากชายวัยกลางคนผมสีขาวปนเทา และหนึ่งหนุ่มหน้าละอ่อนที่เพิ่งจะพ้นวัยเรียนมาไม่กี่ปี ซึ่งมีสีหน้าขลาดกลัวผสมปนเปกับโกรธแค้นเกลียดชัง ส่วนหนุ่มร่างใหญ่ในชุดขาว สีหน้าและแววตานิ่งสนิท ไม่แยแสสิ่งใดเหมือนกับสวมหน้ากากเอาไว้เหลียวไปมองคนพูด เซกิจิโร่มองคนที่เข้ามาด้วยความรู้สึกคุ้นในน้ำเสียงที่ได้ยิน คิ้วคมเข้มขมวดมุ่นเข้าหากันเมื่อเห็นหน้าคนที่กล้าเข้ามาทำลายการเจรจาธุรกิจของเขากับสองพ่อลูก ที่ผู้เป็นพ่อเขี้ยวลากดินและเห็นแก่ตัวอย่างร้าย ในขณะที่ลูกชายก็อารมณ์ร้อน มุทะลุ เอะอะก็ใช้แต่อารมณ์พาลหาเรื่องชวนต่อยตี ก่อนเขาจะร้องครางในลำคอเมื่อจำหญิงตรงหน้าได้ ‘นี่มันยายเด็กที่เหยียบเท้าเขาเมื่อครู่นี้นี่น่า แล้วแม่คนนี้มาทำอะไรที่นี่’ ดวงตาสีนิลมองกายอรชรที่ดูแปลกตาไป คงจะเป็นเพราะเธอถอดคราบชุดเก่าที่เป็นเสื้อยืดกางเกงยีนออกไปแล้วเปลี่ยนมาใส่ชุดยูคาตะสีกุหลาบ ส่งให้เรือนกายเล็กเหมือนเด็กโตเป็นสาวแรกแย้ม ทำให้มีเสน่ห์เสียจนเขาไม่อาจที่จะละสายตาได้ “ฉันยังไม่เรียก เข้ามาทำไม ไม่มีใครบอกหรือไง” หนุ่มหน้าละอ่อนตวาดเสียงเขียวเข้ม แต่พอได้เห็นใบหน้าหวานละมุนหวานแกมเศร้าที่สะท้อนแสงไฟ ชายหนุ่มก็เปลี่ยนท่าทีไปในฉับพลัน น้ำเสียงที่เอ่ยออกไปก็ดูอ่อนนุ่มทุ้มขึ้นมาเล็กน้อย “ไม่มีใครบอกหรือไง ว่าถ้าไม่เรียกก็ยังไม่ต้องเข้ามา” “ต้องขอประทานโทษจริง ๆ ค่ะ ดิฉันเพิ่งเข้ามารับงาน เลยทำให้ไม่ทราบเรื่อง” ราชาวดีรีบเอ่ยเสียงหวาน กายอรชรโน้มไปด้านหน้าจนศีรษะแทบจะแนบชิดติดสองมือที่วางอยู่บนพื้นเพื่อขอโทษ หญิงสาวเหลือบสายตาไปมองชายชุดขาวที่เธอเพิ่งจะสร้างวีรกรรมไว้อย่างจำได้แม่น ดวงตาสองคู่สบกันก่อนที่เธอจะเป็นฝ่ายอายจนหน้าแดง หัวใจเต้นรัวเร็วกระหน่ำเหมือนกับรัวปืนกล ประกายในดวงตาสีเทาแฝงเร้นด้วยความต้องการของคนวัยหนุ่มทำให้เซกิจิโร่รู้สึกสงสารแมลงเม่าตัวน้อยที่บินเข้าในกองเพลิงอย่างไม่รู้ตัว ประกายในดวงตาคมกริบแวววาว รู้สึกหวงข้าวของอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลย เสียดายแม่สาวน้อยตรงหน้าที่คงจะหนีไม่พ้นเงื้อมมือของหนุ่มหน้าละอ่อนที่จ้องจะงาบเพียงแค่เห็นหน้าครั้งแรกเท่านั้น เพลิงไฟร้อนเร่าไหลพล่านอยู่ในกาย ความคิดเซกิจิโร่เปลี่ยนไป ทำไมเขาถึงจะปล่อยให้คนที่ต้องใจไปเป็นของคนอื่นด้วยล่ะ สู้เอามาเชยชมให้สมใจก่อนแล้วค่อยปล่อยเศษซากที่หมดสิ้นความหวานแล้วให้คนอื่นจะดีกว่า แต่ตอนนี้...กรามหนาขบกัดจนหน้าตอบนูน ข่มกลั้นอารมณ์ที่อยากจะยื่นแขนไปคว้ากายอรชรมาเคียงใกล้
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD