ร่างสูงทิ้งกายลงบนเตียงใช้หมอนปิดหน้า เก็บกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ไม่ให้ใครได้ยิน มันเจ็บจนไม่อยากหายใจ
ทักษภรทรุดกายลงนั่งต่อหน้าพี่ชายและมารดา ดวงตาแดงก่ำและช้ำเพราะผ่านการร้องไห้มาทั้งคืน บ่ายสามโมงพี่ชายเธอให้ชะเอมมาตาม พร้อมคำขู่สำทับว่าหากไม่มา จะไขกุญแจเข้าห้อง เธอจำต้องลงมาทั้งที่ไม่อยากพบหน้าพี่แม้แต่น้อย
“มีอะไรคะถึงตามพรมา” เธอถามเสียงแผ่ว ไม่มองหน้าพี่ชายแม้แต่น้อย
มารศรีเห็นบุตรสองคนหมางใจกัน เริ่มไม่สบายใจ
“พี่มีธุระจะคุยกับเรา”
“ว่ามาเลยค่ะ” หญิงสาวพยายามตัดบท เพื่อให้จบการสนทนา เธอไม่อยากให้พี่เข้ามายุ่งกับชีวิตไปมากกว่านี้
“พี่จะส่งเราไปเรียนที่ออสเตรเรีย”
คนฟังชะงักดวงตาเบิกกว้าง ลุกยืนสีหน้าไม่พอใจ
“พรไม่ไป!”
ชายหนุ่มเงยมองแววตาแข็งกร้าว
“แต่แกต้องไป!”
“พี่ทินอย่ามาบังคับพร พี่ทินไม่ใช่พ่อ!”
ทินภัทรลุกยืน
เพียะ!
ใบหน้าหันตามแรงมือ นิ้วทั้งห้าขึ้นรอยบนใบหน้าสวยคม คนโดนตบหันมองพี่ทั้งน้ำตา
“ทินอย่าทำน้องแบบนี้!” มารศรีรีบดึงบุตรชายไว้
นิ้วยกชี้หน้าน้องสาว แววตาขุ่นเคือง
“ถ้าพี่ไม่ส่งแกไป แกคงได้เสียกับไอ้ฤทธิ์มันแน่ แกไม่รู้หรือไงว่ามันเป็นลูกของคนที่ฆ่าพ่อเราน่ะพร!”
คนถูกตำหนิน้ำตาไหลรินอาบแก้ม
“พรรู้ แต่พรแยกแยะได้ ฤทธิ์ทำอะไรผิดเหรอคะ ถ้าจะผิดก็คงผิดแค่ฤทธิ์เกิดมาเป็นลูกฆาตกรที่ฆ่าพ่อเรา” หญิงสาวสะอื้น “แล้วพี่คิดว่าฤทธิ์เขาอยากเกิดมาเป็นลูกฆาตกรหรือไงกัน!”
คนเป็นพี่กัดฟัน ขบกรามแน่น
“แกจะรักมันลงได้ยังไง ถ้าพ่อมันออกจากคุกแล้วมางานแต่งของแก แกคงมีความสุขใช่ไหมพร!”
“พี่ทินอย่าเอาความคิดตัวเองมาตัดสินคนอื่น!”
“ฉันไม่ตัดสิน แต่ฉันขอบังคับให้แกไปเรียนที่ออสเตรเรีย ไม่ว่าแกจะยอมหรือไม่ยอม พี่ก็จะให้ไป!”
“พี่ทิน!”
“หยุดสักที พอได้ไหมลูก ทำไมเป็นแบบนี้ อยากให้แม่ตายใช่ไหม!” มารศรีกรีดร้องน้ำตานอง ทรุดกายเหมือนจะเป็นลม
สองพี่น้องรีบเข้าพยุงแม่นั่งลงบนโซฟา มารศรีจับท่อนแขนบุตรสาว
“พร... ลูกไปเรียนตามที่พี่เขาให้ไปได้ไหม ทำเพื่อแม่สักครั้งเถอะนะแม่ขอร้อง” เธอเองก็ยังยอมรับไม่ได้ แม้รู้ว่าลูกนั้นรักนวฤทธิ์แค่ไหนก็ตาม แต่ชายที่ลูกรักนั้น คือลูกฆาตกรฆ่าสามี แม้แต่เธอยังทำใจได้ยาก
“แม่...” เสียงหวานสั่นเครือ ในอกสะท้าน ร่างกายเหมือนไร้เรี่ยวแรง
“แม่ขอร้อง นะพรลูก...”
หญิงสาวลุกยืนทั้งน้ำตา เม้มริมฝีปากแล้ววิ่งขึ้นชั้นบน ปิดประตูห้องนอน โถมกายลงบนฟูกหนาน้ำตาไหลจนเปราะเปื้อน ทำยังไงดี น้ำตามันหยุดไม่ได้เลย
นวฤทธิ์นั่งมองหน้าจอมือถือ กี่ข้อความ กี่คำถามส่งไปกลับไร้ซึ่งวี่แวว น้ำตาชายหนุ่มนองหน้า ไหล่หนาถูกจับบีบแผ่วเบา คนเป็นพี่ทรุดกายลงเคียงข้างช่วยน้องคลายความเศร้าด้วยการปลอบโยน นวฤทธิ์กัดริมฝีปากแน่น เพื่อลดทอนความเจ็บปวดภายใน ทว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรเลย
“พรไปแล้วพี่เนตร” เสียงแผ่วเครือบอกพี่สาว น้ำตาเริ่มไหลออกมา
มือพี่ลูบศีรษะน้อง “ถ้าพรเป็นคู่ของฤทธิ์สักวันพี่เชื่อว่าฤทธิ์กับพรต้องพบกันอีก”
ชายหนุ่มส่ายหน้าน้ำตาอาบแก้ม
“ผมอยากเจอพร แต่พรไม่ให้โอกาสผมเลยพี่เนตร”
“บางที...” เพียงแค่คิดถึงใบหน้าคนคนนั้นหัวใจก็ร้าวราน “พรอาจอยากล่ำลาแต่ไม่มีโอกาส”
“พรส่งข้อความมาแค่ให้ผมรอ แล้วผมควรทำยังไง”
เธอยิ้มบางๆ “รอเท่าที่ใจเรารอได้”
นวฤทธิ์นิ่งเงียบ ใจของเขารอได้เสมอไม่ว่านานเท่าไหร่ ขอเพียงอีกใจไม่ผันแปรมีใครไปก่อน เขาพร้อมเจอเธออีกครั้ง ไม่ว่ากี่ปีก็ตาม
เสียงประตูเปิดออก ชายรูปร่างสันทัดก้าวออกมาด้านนอก หลับตาสูดลมหายใจเข้าปอดแสงภายนอกทำเอาเขาต้องหลับตาลง สองเท้าย่างก้าวมาจนถึงป้ายรถเมล์ ไม่มีใครมารับ เขาหัวเราะในลำคอ กระทั่งลูกคงไม่อยากพบหน้า ณัฐกรยกมือปาดน้ำตาออกลวกๆ แล้วสูดลมหายใจเข้าปอดเพื่อเพิ่มความเข้มแข็ง
“พ่อคะ” เสียงหวานแผ่วเบาเรียก เขาหันมองสบตาบุตรสาว
ผ่านมาสี่ปี เนตรอัปสรกลายเป็นสาวสวย หน้าตาหมดจด ข้างๆ มีบุตรชายยืนอยู่ นวฤทธิ์หล่อเหลาไม่แพ้เขาตอนหนุ่มเลย
“เนตร ฤทธิ์!” คนเป็นพ่อเรียกชื่อลูกสองคนแล้วยิ้มกว้าง
“เรามารับครับ ขึ้นรถก่อน” นวฤทธิ์บอก แล้วดึงกระเป๋าจากมือบิดาใส่ไว้เบาะหลัง
ประตูเปิดออก ณัฐกรแทรกกายนั่งตรงเบาะหลัง นวฤทธิ์ทำหน้าที่สารถีโดยมีพี่สาวอยู่ตรงเบาะหน้าคู่กัน คนเป็นพ่ออึกอัก อยากชวนลูกพูดคุยด้วย แต่เขาไม่กล้า เพราะลูกคงรังเกียจที่มีพ่อขี้คุกเช่นนี้
“พ่อออกมาก่อนทำไมคะ เนตรไปรอพ่อกับฤทธิ์ที่หน้าประตูมาค่ะ”
คนเป็นพ่อเผยอยิ้ม “พ่อ...คิดว่าไม่มีใครมา” เสียงอ้อมแอ้มบอกกล่าว แล้วมองลูกจากเบื้องหลัง
เวลาสี่ปีลูกโตขึ้น พวกเขาสองคนมาเยี่ยมทุกเดือน แต่ไม่เคยรู้สึกว่าลูกเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากเท่าครั้งนี้เลย
รถจอดเทียบหน้าร้านกาแฟและขนมเค้ก สองพี่น้องเปิดประตูลงมา หญิงกลางคนรูปร่างผอมบางรีบมาต้อนรับ เธอสบตาสามีน้ำตาคลอ เพราะสุขภาพทำให้เธอมีโอกาสไปเยี่ยมสามีน้อยครั้ง
“เป็นยังไงบ้าง ไม่สบายอีกเหรอคุณ” สามีถามเสียงแผ่ว ค่อยๆ ก้าวเข้าหาภรรยา
“เหมือนเดิมจ้ะ สามวันดีสี่วันไข้”
“เราเข้าไปในร้านกันก่อนเถอะค่ะ”