จอมแก้วเดินออกมาจากงานตั้งแต่ตอนที่เห็นเขาสวมแหวนหมั้นให้ฝ่ายหญิงแล้ว มาเห็นเท่านี้ทุกอย่างก็ชัดเจนพอแล้ว รอยยิ้มและสายตาที่เขามองคู่หมั้นเต็มไปด้วยอ่อนโยนซึ่งเขาไม่เคยมีให้เธอ แวบหนึ่งที่เขามองเห็นเธอนอกเหนือจากความประหลาดใจแล้วเธอยังสัมผัสได้ถึงความไม่พอใจ และคงจะมีคำตำหนิเป็นร้อยเป็นพันอยู่ในใจ แม้จะรู้สึกเจ็บปวดเพียงใดแต่เธอก็ไม่ถึงขั้นเสียสติอาละวาดในงานหมั้นของเขาหรอก
ปภังกรอยู่ในงานหมั้นต่อกระทั่งแขกเริ่มทยอยกลับหลังรับประทานอาหารว่างและสนทนาแสดงความยินดีกับหนุ่มสาวและญาติผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่าย สีหน้าเขาดูร้อนรนอย่างปิดไม่มิดจนบิดาสะกิดบอกหลายครั้ง
“ทำหน้าให้มันดี ๆ หน่อย วันนี้วันงานของแกนะเว้ย”
“ป๊า”
“หึ ฉันรู้ฉันเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นมาในงานวันนี้ ไหนแกบอกว่าแกเอาอยู่ไงวะ”
“ป๊า ผมขอกลับก่อนได้มั้ย ช่วยผมทีบอกคนอื่นว่าผมมีธุระ”
บิดาแค่นเสียงหัวเราะ “เฮอะ ถ้าแกออกจากงานไปตอนที่งานยังไม่เสร็จคนเขาคงรู้กันให้ทั่วว่าแกรีบไปไหน นี่วันสำคัญ ไอ้ข้ออ้างที่บอกว่ามีธุระไม่มีใครเชื่อแกหรอกไอ้กั้ง อดทนไว้ แล้วอยู่จนจบ”
ลูกชายหันไปทำหน้าตึงใส่บิดา ท่านเจ้าสัวจึงพยักเพยิดหน้าบอกว่าคู่หมั้นกำลังเดินมาทางนี้ ปภังกรจึงต้องหันไปปั้นหน้ายิ้ม
อีกด้านจอมแก้วกำลังเก็บของใส่กระเป๋าเดินทาง เธอตัดสินใจแล้วว่าจะต้องไป เงินสิบล้านไม่มีผลอะไรกับชีวิตเธอเท่ากับความรู้สึกที่กัดกร่อนหัวใจจนเป็นแผลกว้างและลึกขึ้นทุกที เป็นความผิดของเธอเองที่ไม่ห้ามใจตัวเองให้ดี แม้ปภังกรจะมีนิสัยเอาแต่ใจตัวเอง ปากร้าย เผด็จการ และไร้ใจ แต่ก็เป็นคนเปิดเผย ตรงไปตรงมา พูดจริงทำจริง โดยเนื้อแท้แล้วเขาเป็นคนจิตใจดี ทำให้เธอรักเขาโดยไม่รู้ตัว แต่จะให้อยู่กับเขาโดยที่บนหน้าผากมีคำว่าเมียน้อย เมียรอง หรือเมียอีกคนตามแต่เขาจะนิยามประทับอยู่ เธอทำไม่ได้และไม่เคยคิดจะทำ ยิ่งไปกว่านั้นว่าที่เมียเอกของเขายังส่งสัญญาณปรปักษ์มาแบบเต็มพิกัด ขนาดยังไม่ได้หมั้นยังมีเรื่องข่มขู่คุกคามเธอแล้ว เพียงเท่านี้เธอก็มองเห็นอนาคตที่เหมือนอยู่บนเตาไฟ ความริษยาของผู้หญิงไม่ใช่เรื่องล้อเล่น หากเลือกที่จะอยู่กับเขาต่อไปคงไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาดเอาเสียเลย
หญิงสาวเลือกทรัพย์สินที่ได้มาจากช่วงสองปีแรกที่อยู่กับเขาเพราะของพวกนี้อยู่ในข้อตกลงเขาไม่มีสิทธิ์มาทวงคืน ส่วนที่เหลือเธอไม่เอาไป จากนี้เธอจะไปมีชีวิตใหม่ของเธอโดยไม่มีเขา กระเป๋าเดินทางสามใบถูกลากมาวางเรียงกันที่โถงกว้างเป็นจังหวะที่ปภังกรกลับมาถึงเพนต์เฮาส์พอดี เขาถลึงตามองก่อนตวัดสายตาขึ้นมายังใบหน้าหญิงสาว
“จะไปไหน”
“ก็คุณหมั้นแล้ว มีว่าที่ภรรยาเป็นตัวเป็นตนแล้ว ถึงเวลาที่ต้องปล่อยฉันไปเสียที”
“ถ้าจะไปตอนนี้ไม่ใช่แค่สิบล้านที่ไม่ได้ อะไรก็ไม่ได้ เคยคุยกันไว้แล้วไม่ใช่เหรอ เขาก็อยู่ส่วนเขาเธอก็อยู่ส่วนเธอ เขายังไม่ได้ว่าอะไรเธอเลย เธอเป็นแค่เมียที่ไม่ได้ออกหน้าออกตาแค่นั้นจะอะไรนักหนา คนที่โวยวายน่าจะเป็นเมียเอกมากกว่านะ”
“เขาอยู่ส่วนเขา?” จอมแก้วถอนฉุน ในใจขุดบรรพบุรุษสามรุ่นของเขาขึ้นมาทักทายจนครบ
“มันไม่ได้ง่ายอย่างที่คุณคิดหรอกคุณกั้ง อีกอย่างจะเมียไหนของคุณฉันก็ไม่อยากเป็นทั้งนั้น”
“ฉันยังไม่ให้เธอไปตอนนี้”
เขากระชากข้อมือเล็กมาประจันหน้ากัน
“ไม่ไปตอนนี้ ยังไงครบหกเดือนตามที่คุณสัญญาคุณก็ต้องให้ฉันไปอยู่ดี”
“เชื่ออะไรกับโจร”
เขาเอ่ยเสียงต่ำ เหมือนไม่ได้ตั้งใจพูดแต่คำนี้ทำให้หญิงสาวสะท้าน
“พูดแบบนี้แปลว่าคุณจะไม่รักษาสัญญา”
“ฉันไม่ได้สัญญาอะไรไว้กับเธอ”
“คุณมันจิ้งจอกสับปลับ...” จอมแก้วโกรธจัดจนเส้นเลือดที่ขมับเต้นตุบ ๆ สะกดความอยากกระโจนเข้าตะกุยใบหน้าที่กำลังยียวนกวนประสาทตรงหน้าก่อนจะเค้นเสียงเอ่ยประโยคต่อมา
“ถึงยังไงคุณไม่มีสิทธิ์มากักขังฉันไว้”
“หึ รอให้ถึงวันนั้นก่อนเถอะจอมแก้วว่าเธอยังจะอยากไปจากฉันรึเปล่า ฉันให้ความสบายทุกอย่างตามที่เธอต้องการ อยากได้เงิน อยากชอปปิงวันละกี่ล้านก็ให้ได้ เธอจะไปหาใครที่ใจดีแบบฉันได้อีกล่ะ”
หญิงสาวส่ายหน้า ความสิ้นหวังถาโถมจนสะอื้นออกมาอย่างไม่อาจฝืนทนอีกต่อไป เธอไม่ได้ต้องการแบบนั้น
“ฉันไม่ได้ต้องการอยู่เป็นนกน้อยในกรงทองของคุณ”
“อยู่ในกรงทองของฉันไม่มีใครทำอะไรเธอได้เหมือนอยู่ข้างนอกหรอกนะ”
เขาคงไม่เคยรู้ว่าความหึงหวงของผู้หญิงนั้นรุนแรงและอำมหิตได้ขนาดไหน ผู้ชายมักจะประเมินความร้ายกาจของผู้หญิงและสงครามหลังบ้านตัวเองต่ำเสมอ หากวันหนึ่งเธอต้องตายเพราะฝีมือผู้หญิงคนนั้นเขาก็คงไม่รู้ และถึงรู้ก็คงจะทำอะไรไม่ได้กระมัง
^
^
^
***จอมแก้วจะได้ไปกี่โมง โปรดติดตามตอนไปด้วยนะคะ สงสารน้อน