ตอนที่ 4
“ถ้าแกทำได้อย่างที่พูดก็ดี” โตมรคิดว่าเขาคงจะบ้าไปแล้วที่ลดตัวไปเสวนาต่อปากต่อคำกับเด็กหนุ่มคนนี้ แต่พอได้เห็นหน้าบึ้งตึงนั้น งอเป็นจวัก เขาก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมา แทนที่จะมีโทสะเพราะหนุ่มน้อยต่อปากต่อคำกลับรู้สึกแปลกๆ จนเผลอยิ้มออกมา
เฮ้อ...สงสัยท่าจะบ้าแล้วเรา ไหล่กว้างเลิกขึ้นเบาๆ
“จะต้องให้ผมพูดกี่ครั้ง เจ้านายถึงจะเชื่อว่าผมไม่ได้คิดอะไรกับคุณน้องน้ำฟ้า น้องสาวเจ้านายแค่ชอบแกล้งเจ้านายเล่น เพราะเห็นเจ้านายทำหน้าบึ้งเหมือนกับคนอึไม่ออก ก็เท่านั้นเอง แต่เจ้านายนะ ชอบคิดมาก”
“ถ้าจะให้ฉันเชื่อว่าไม่สนใจน้องสาวฉัน ต้องรอให้ฉันเห็นแกปีนขึ้นไปนอนบนเตียงน้องสาวฉันก่อนหรือไง” พอจะอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย ไอ้บ้านี่ก็ดันกวนให้ขุ่นขึ้นมาอีกแล้ว ร่ำๆ อยากจะหาอะไรฟาดหัว ปล่อยหมัดใส่ปากสีแดงที่ขยับอยู่ให้บวมเจ่อกินน้ำพริกไม่ได้สักสองสามวัน อยากรู้นัก ยังจะกล้าเถียงทำให้เขาอารมณ์เสียอีกไหม
‘ถ้าทำอย่างนั้น ฟ้าผ่าตายปะไรละ’ สงกรานต์เถียงในใจ “ไม่รู้ละ ผมไม่ทำตามคำสั่งบ้าๆ ของเจ้านายเด็ดขาด จะคืนนี้หรือคืนไหนผมจะนอนที่ห้องผม”
“แกไม่มีสิทธิ์ขัดคำสั่งฉัน ถ้ายังอยากจะทำงานที่นี่”
อูย...มาอีกแล้ว เสียงฟ้าผ่า ขู่ได้ขู่ดีนะเจ้านาย รู้อยู่แล้วว่าไม่ทางให้เลือก ถ้าไม่ทำตามก็ไม่มีที่อยู่ที่กิน ชิ...อยากหาอะไรไปฟาดหัวคุณน้องน้ำฟ้าสักที โทษฐานที่ทำให้เธอกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ตอนนี้ แล้วก็หาอะไรหนาๆ หนักๆ ฟาดใส่เจ้านายผู้แสนเอาแต่ใจนี่สักทีด้วย จะได้หัดฟังคนอื่นเขาเสียบ้าง แต่ก็คงได้เพียงแค่คิดเท่านั้นแหละ สงกรานต์ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย
เรื่องระหว่างเธอและคุณน้องน้ำฟ้าพูดยังไงก็ไม่มีวันจบ เพราะคนหนึ่งก็ดื้อแสนดื้อ แถมยังเอาเอาแต่ใจอย่างร้ายกาจ ไม่เชื่อฟังใครเลยแม้แต่พี่ชาย ส่วนอีกคนก็แหม...นิสัยไม่แตกต่างจากน้องสาวเลยสักนิด แล้วยังจะร้ายกาจกว่า รวมถึงว่าเชื่อมั่นในความคิดของตนเองจนความคิดของคนอื่นเป็นเพียงแค่สายลมที่พัดผ่านไปมาเท่านั้น
“ไม่ต้องมาทำหน้าแบบนั้นใส่ฉันด้วยสงกรานต์ เพราะฉันไม่คิดที่จะผ่อนปรนให้อีกแล้ว ในเมื่อแกกล้าขัดคำสั่งฉัน แกก็ต้องทนเป็นลูกไล่ฉัน”
โตมรตัดบท ขืนพูดมากความ เดี๋ยวสงกรานต์ก็ชักแม่น้ำทั้งห้าแล้วในที่สุดเขาก็จะรำคาญยอมปล่อยให้เรื่องที่เกิดขึ้นกลายเป็นเพียงแค่สายลม พอเจอกับเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำอีกครั้งระเบิดเวลาที่มันถูกจุดชนวนไว้ก็ปะทุขึ้นมาอีก แต่ก็ไม่ระเบิดเปรี้ยงเหมือนอย่างเคย เพราะลูกเล่นและคำพูดของสงกรานต์ที่ชักนำออกนอกเรื่องตลอดเวลา
ชายหนุ่มยกมือไล่หนุ่มน้อยหน้าหวาน แต่ก็ยังมีเสียงทุ้มดุดังตามมาอีกเล็กน้อย
“ฉันหิว”
สงกรานต์คลี่ยิ้มจนแก้มปริ “คร้าบ...ข้าน้อยรับทราบแล้วคร้าบเจ้านาย จะรีบปฏิบัติโดยด่วนเลยละฮะ”
ว่าแล้วร่างเล็กบอบบางในชุดเสื้อเชิ้ตตัวโตและกางเกงยีนเก่าๆ สีซีดมีรอยฉีกขาดบางส่วนจากตัวคนใส่เองที่บอกว่าจะตามแฟชั่นถลาวิ่งออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว
ฟู่...สงกรานต์เป่าลมออกจากปากอิ่ม เมื่อสามารถพาตัวรอดพ้นจากเขียงประหารมาได้อย่างหวุดหวิด ถ้ายังอยู่ในห้องนายอีกสักห้านาที คิดว่าเธอคงจะอึดอัดและคับแค้นจนปล่อยเสียงร้องไห้อย่างอัดอั้นตันใจออกมาแน่ คิดแล้วก็อดที่จะโกรธกนกพิชญ์ไม่ได้ ทำไมถึงชอบมาอยู่ใกล้เธอนักก็ไม่รู้ ชอบนักหรือไงที่เห็นเธอถูกเจ้านายด่าและทำโทษนะ
ใบหน้าสวยเบะยิ้มจนเห็นไรฟันขาวสะอาดและเรียงตัวกันอย่างสวยงาม ริมฝีปากอวบอิ่มขยับขึ้นและลงเป็นจังหวะในท่วงทำนองบ่นยาวเป็นหมีกินผึ้ง
หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้นั่งรับประทานอาหารอย่างเซ็งจับจิต ขณะยื่นมือเรียวไปรับน้ำเย็นๆ จากสาวน้อยซึ่งเป็นลูกสาวของคนงานและแม่ซึ่งทำหน้าที่เป็นแม่บ้านให้กับไร่ในสวนขวัญ
“เป็นอะไรไปอีกละพี่สงกรานต์ ทะเลาะกับนายมาอีกหรือไง ถึงได้มานั่งหน้าตูมอยู่นี่นะ” แม่สาวน้อยลูกสาวแม่ครัวมานั่งเคียงข้างด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ส่วนหนึ่งก็นึกสงสารที่สงกรานต์ต้องทำตัวติดกับนายเหมือนกับตังเม ไม่มีอิสระที่จะได้ทำอะไรตามใจชอบเหมือนกับเธอและคนอื่นๆ
แต่อีกส่วนก็อิจฉาที่หนุ่มน้อยได้อยู่ใกล้ชิดกับเจ้าของไร่ซึ่งหน้าตาหล่อล่ำและหุ่นน่าหม่ำ เวลาที่นายถอดเสื้อออกยืนทำงานกลางแจ้ง สาวๆ ที่ทำงานในไร่ต่างมองกันตาปรอย ยามที่กล้ามเนื้อเป็นมัดๆ ขยับตามการเคลื่อนไหว หัวใจสาวน้อยสาวใหญ่ก็ละลายกลายเป็นน้ำ อยากจะเข้าไปซบไออุ่นจากอ้อมอกกว้างและล่ำสันกันที่สุด
หญิงสาวตวัดสายตาขุ่นเคืองไปมองคนพูดที่หัวเราะเสียงหัวเราะใสด้วยความหงุดหงิด “หัวเราะอะไร ไม่เคยเห็นคนอารมย์เสียหรือไง” ใบหน้าสงกรานต์ยิ่งงอง้ำจนปากกับจมูกแทบจะติดกันอยู่รอมร่อ ปากอิ่มขมุบขมิบเหมือนกำลังร้องเพลงแร๊บ
“เอาน่าพี่สงกรานต์ เขาอิจฉาที่พี่ได้ทำงานอยู่รับใช้ใกล้ชิดกันนายจะตายอยู่แล้ว อีกอย่าง หนูว่าพี่น่าจะทำใจกับอารมณ์ไม่คงที่ของนายได้แล้วนะ อยู่กันมานานแล้วนี่น่า”
เฮ้อ...สงกรานต์เป่าลมหายใจออกจากอกด้วยความหนักใจ เพราะอยู่ด้วยกันนานนี่แหละ เธอถึงได้เซ็งขนาดนี้ เพราะดันรู้ใจเจ้านายในบางเรื่องจนไม่ว่าใครต่อใครก็ต่างให้เธอเป็นไม้กันหมายามที่เดือดเนื้อร้อนใจต้องการความช่วยเหลือ ร่างเล็กเอนตัวอิงไปกับความยาวของตัวเก้าอี้ สองมือสอดไขว้และวางทาบหลังศีรษะที่แหงนหงาย ดวงตาจับจ้องเพดานห้อง
“นายบ่นว่าหิว ขอกาแฟกับขนมให้พี่หน่อยซิสาว”
“เฮ้ย! อะไรนะพี่ เล่นบ้าอะไรนี่ จะให้หนูโดนด่าด้วยหรือไง ที่กล้าชงกาแฟให้เจ้าพ่อประจำไร่ของพี่นะ” ลูกสาวแม่ครัวบ่นอุบ ด้วยเคยเสนอหน้าชงกาแฟให้นายกินครั้งหนึ่ง แล้วแทบจะร้องไห้วิ่งกลับมาหาแม่ไม่ทัน เพราะเมื่อนายจิบไปเพียงแค่นิดเดียวก็ตวาดเสียงดังลั่น พร้อมกับแก้วกาแฟที่ถูกเขวี้ยงไปถูกผนังห้อง โดยมีน้ำสีน้ำตาลเข้มกระจายเต็มพื้นห้อง นับตั้งแต่นั้นก็ไม่เคยเลยที่จะคิดชงกาแฟให้นายหนุ่มอีกเลย
“เอาน่า มีอะไรพี่รับผิดชอบเอง เจ้านายไม่รู้หรอกว่าไม่ใช่ฝีมือพี่”
“ไม่เอา” คนถูกใช้ส่ายศีรษะปฏิเสธเสียงแข็ง “หนูไม่ทำให้หรอก พี่ไปทำเองซิ หนูไปหาแม่ดีกว่า” เด็กสาววัยรุ่นรีบจรลีจากลาวิ่งหายไปทางประตูข้างของเรือนครัวอย่างรวดเร็ว
“เฮ้อ...ทำไมกรรมหนักมันต้องมาตกอยู่ที่เราคนเดียวด้วยวะ พ่อก็ไม่อยู่ แล้วจะพึ่งใครได้ละนี่” สงกรานต์ไม่วายบ่นพึมพำเบาๆ คิดถึงบิดาขึ้นมาตงิดๆ ไม่รู้ว่าป่านนี้พ่อจะเป็นยังไงบ้าง คิดถึงและเป็นห่วงเธอบ้างหรือเปล่า หรือว่ามัวแต่ทำงานจนลืมคิดถึงเธอไปแล้ว
พ่อเป็นคนเก่งและมีความสามารถ ตอนที่ยังไม่มาที่นี่ พ่อทำงานเป็นร้องหัวหน้าฝ่ายผลิตในโรงงานขนาดใหญ่ เงินเดือนที่รับก็สูงเอาการ แต่กลับไม่มีเงินเก็บ ส่วนหนึ่งเพราะหนึ่งเธอเรียนอยู่และสองแม่ใช่เงินไปกับการแต่งกาย เล่นการพนัน เล่นแชร์และสุดท้ายก็ปรนเปรอหนุ่มๆ เมื่อมาถึงที่นี่ ด้วยความสามารถ ความรู้และประสบการณ์ที่สั่งสมมาก็ทำให้ได้รับการไว้วางใจจากโตมรในระยะเวลาเพียงไม่นาน
คิดถึงพ่อแล้วก็ชักจะหงุดหงิดขึ้นมาอีกหลายตลบ ช่วงแรกบอกให้เธอระวังตัวอย่าทำอะไรให้ใครสงสัยและจับได้ แต่สุดท้ายกลับเข้ากับโตมรเป็นปี่เป็นขลุ่ย ถึงขนาดทิ้งลูกสาวไปดูงานที่ต่างประเทศถึงสามเดือนหน้าตาเฉยเลย แต่ก็ยังดีที่รู้จักโทรหาลูกสาวคนนี้อาทิตย์ละครั้ง