5
เงื่อนไข เงื่อนไข และเงื่อนไข
“เป็นอาจารย์?”
ตงฟางฉีทวนถามคล้ายได้ยินไม่ถนัด ไม่เคยทราบเลยว่าบุตรสาวบุญธรรมของขุนนางชั้นสูงจะมีความสนใจในด้านนี้
ตั้งแต่โบราณกาล หมอหญิงซึ่งมิใช่แค่หมอตำแยทำคลอดที่ถูกจารึกชื่อไว้ในประวัติศาสตร์มีเพียงสองคน และพวกนางต่างก็เป็นแม่ชีด้วยกันทั้งสิ้น
ที่เป็นเช่นนั้นเนื่องจากไม่มีครอบครัวใดส่งเสริมให้บุตรสาวของตนเรียนแพทย์ ด้วยความรู้ทางด้านอ่านเขียนที่ค่อนข้างจำกัดและความไม่เด็ดขาดในการตัดสินใจของสตรีมีอันตรายต่อชีวิตคนป่วย ทำให้หมอหญิงไม่เป็นที่ยอมรับและมักจะไม่ได้รับความไว้วางใจจากผู้อื่น
หมอหญิงทั้งสองได้รับอนุญาตให้ถูกบันทึกชื่อลงในประวัติศาสตร์เพราะพวกนางเป็นหมอประจำตัวของราชนิกุลหญิงในอดีตที่บวชชีอยู่ที่วัดตลอดชีวิตเท่านั้น
ดังนั้นจะกล่าวว่า การเป็นหมอหญิงจึงถือเป็นอนาคตที่ไร้แสงสว่างของสตรีเลยก็ว่าได้
“ใช่เพคะ”
คำตอบจากลี่หยวนดึงสติของชายหนุ่มให้กลับมายังปัจจุบันอีกครั้ง
สีหน้าของตงฟางฉีพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม “เพียงเพื่อต้องการปฏิเสธการหมั้นหมายกับข้า คุณหนูจำเป็นต้องเสนอวิธีนี้เชียวหรือ”
กลิ่นอายของตงฟางฉีต่างไปจากเดิม ดูเหมือนสถานการณ์ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปแล้ว
นางมิอาจคาดเดาได้ว่าเขากำลังโกรธอยู่หรือไม่ แต่ที่แน่ๆ คือบทสนทนานี้ดูจะมีบรรยากาศจริงจังมากกว่าก่อนหน้าลิบลับ
“ท่านอ๋องน้อยเข้าใจผิดแล้วเพคะ ลี่หยวนมิได้ปฏิเสธข้อเสนอของท่านอ๋องน้อย” ลี่หยวนยกมือทาบอกพลางค้อมศีรษะน้อยๆ “เรื่องหมั้นหมายมิใช่สิ่งที่ลี่หยวนจะตัดสินใจได้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความเห็นชอบของท่านพ่อท่านแม่”
“ดูเหมือนว่าข้าจะเข้าใจคุณหนูผิดไปอีกประการหนึ่งเสียแล้ว” มุมปากของหนุ่มรูปงามกระตุกยิ้มนิดๆ เหมือนจะชื่นชมหากก็แฝงด้วยความประชดประชัน
ลี่หยวนแสร้งทำเป็นโง่งม ไม่รู้ว่าเขากำลังดูถูกว่านางเป็นสตรีหัวอ่อนที่ยอมให้บิดามารดากำหนดชีวิตตั้งแต่เมื่อไร
“บุตรทุกคนย่อมถือเรื่องความกตัญญูเป็นหลัก การยอมรับคู่ครองที่บุพการีเป็นผู้เลือกสรรถือเป็นโอกาสในการทดแทนคุณของบุตรีทุกคน”
ปากเด็กสาวพูดอย่างหนึ่ง แต่ในใจนี่คิดไปคนละเรื่อง
นางที่มีใจเป็นสาวสมัยใหม่ย่อมต่อต้านเรื่องการคลุมถุงชนเข้าเส้นเลือดดำ ยิ่งนางที่ครองโสดยันอายุสามสิบห้าปีด้วยแล้วยิ่งมองไม่เห็นความจำเป็นในการแต่งงานกับผู้ชาย อยู่คนเดียวสวยๆ รวยๆ แบบสบายใจย่อมดีกว่ากันตั้งเยอะ หากเปลี่ยวเหงาใจก็ค่อยหาคนมาเติมเต็มแบบชั่วครั้งชั่วคราวก็ยังไม่สาย
ชิงช่ายอาศัยจังหวะนั้นเข้ามารินน้ำชาให้ท่านอ๋องน้อยเพิ่ม
บรรยากาศอึดอัดรอบกายตงฟางฉีพลันผ่อนคลายลงเมื่อได้กลิ่นหอมของชาชั้นดี
ลี่หยวนพยายามสรรหาคำพูดมาหว่านล้อมให้อีกฝ่ายยอมรับตนเป็นศิษย์ นึกไม่ถึงว่าจู่ๆ ท่านอ๋องน้อยก็ดูจะมีท่าทีโอนอ่อนให้อย่างไม่คาดฝัน
“ข้าจะถามคำถามเจ้าข้อหนึ่ง หากเจ้าตอบได้ ข้าจะยอมรับเจ้าเป็นศิษย์”
ผู้ฟังอดไม่ได้ที่จะเผยสีหน้าประหลาดใจ แต่ก็ตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว “เชิญท่านอ๋องน้อยถามเพคะ”
เขาไม่รีบร้อนถาม มือเรียวยาวล้วงเข้าไปสาบเสื้อพร้อมกับหยิบขวดยาขนาดเล็กออกมาสองกระปุก กระปุกหนึ่งสีขาว อีกกระปุกหนึ่งสีดำ หลังจากที่จัดการวางมันลงบนโต๊ะกั้นกลางจึงได้กล่าว
“กระปุกยาสีขาวหมายถึงองค์รัชทายาท” เสียงนุ่มทุ้มของเขาแทบกลืนหายไปกับเสียงหัวใจของลี่หยวนที่เริ่มเต้นเร็วขึ้นจนรู้สึกเจ็บ
นี่เขา... กำลังจะถามเรื่องการเมืองกับสตรีวัยสิบสี่อย่างนั้นรึ
นัยน์ตาคู่งามของคนงามสั่นไหวด้วยความหวาดหวั่น
ตงฟางฉี “กระปุกสีดำ หมายถึงองค์ชายสี่”
มือใหญ่ผายไปยังกระปุกยาทั้งสอง นัยน์ตาเรียวหงส์พราวระยิบคล้ายกำลังสนุกที่ได้เห็นท่าทีของนาง
“ในกระปุกยาทั้งสองบรรจุเม็ดยาไว้คนละชนิด วางใจเถิด ไม่มีชนิดใดที่ทำให้ถึงแก่ชีวิต แต่ก็ขึ้นอยู่กับสุขภาพของผู้กิน ร้ายแรงที่สุดอาจ...ทำให้พิการเท่านั้น”
แม้จะอยู่ต่อหน้าเด็กสาวที่ยังไม่ถึงวัยปักปิ่น ตงฟางฉีที่กำลังพูดเรื่องความเป็นตายกลับมีสีหน้ายิ้มแย้ม แม้ลี่หยวนจะนั่งอยู่ตรงนี้ยังได้ยินเสียงกัดฟันกึกๆ จากชิงช่าย ดูเหมือนสาวใช้คนสนิทจะกลัวจนตัวสั่นเสียแล้ว
ไม่ใช่ว่าลี่หยวนไม่กลัว แต่จะเผยความกลัวให้เขาเห็นไม่ได้ เขากำลังทดสอบนาง ซึ่งมันเป็นบททดสอบที่จะเป็นตัวตัดสินว่านางมีคุณสมบัติมากพอที่เขาจะรับเป็นศิษย์หรือไม่
“การเป็นหมอ จำเป็นต้องมีสามสิ่งเตรียมพร้อมเอาไว้เสมอ หนึ่งคือการวินิจฉัยโรค สองคือความรู้ในการรักษา...”
เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มเงียบไปนาน ลี่หยวนจึงต้องเอ่ยปากถามต่ออย่างอดเสียไม่ได้
“แล้วข้อสามเล่าเพคะ”
งานนี้มิใช่เพียงตงฟางฉีเท่านั้นที่กำลังสังเกตนาง นางเองก็กำลังศึกษาเขาเช่นเดียวกัน
หมอปีศาจผู้นี้จะดูมีชีวิตชีวาทุกครั้งเมื่อได้พบสิ่งที่ตื่นเต้นหรือท้าทาย คนเช่นนี้ยากนักที่จะควบคุม และยากนักที่จะเอาใจ
ฮึ! คนที่จะเป็นชายาของเขาในอนาคตคงจะเป็นสตรีที่โชคร้ายและเหน็ดเหนื่อยมากที่สุดในแผ่นดินเป็นแน่แท้!
ตงฟางฉีไล้นิ้วแตะจุกกระปุกยาทั้งสองและเลื่อนเข้ามาใกล้นางมากขึ้น “ข้อสาม ก็คือโชค”
หมายถึงใช้ดวงเข้าช่วยอย่างนั้นหรือ?
ลี่หยวนลองนึกตามคำพูดของเขาก็รู้สึกว่ามันไม่ได้ไร้เหตุผลไปเสียทีเดียว การรักษาในโลกสมัยใหม่แม้จะมีเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ดีกว่ายุคสมัยนี้ ทว่าความเสี่ยงก็ยังคงมีอยู่และอาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
และหมอที่เขาลือกันว่าดี ลือกันว่าเก่ง ก็คือหมอที่ทำให้ความเสี่ยงเหล่านั้นเข้าใกล้เลขศูนย์มากที่สุด
และมันก็ไม่ได้อาศัยเพียงความฉลาดในการวินิจฉัยโรค หรือความรู้ในการรักษา แต่คนๆ นั้นยังจำเป็นต้องพกดวงติดตัวมาด้วย
ดวงตาของลี่หยวนฉายแววเข้าใจ ตงฟางฉีที่ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรมากก็เผยรอยยิ้มเอ็นดู หากมันก็จางหายไปอย่างรวดเร็วในเวลาต่อมา
“คำถามที่ข้าจะถามเจ้าต่อไปนี้คือการทดสอบว่าคุณหนูมีคุณสมบัติเพียบพร้อมที่จะเป็นหมอได้หรือไม่ โดยใช้องค์ประกอบทั้งสามข้อที่บอกไปในการตอบและอธิบายให้ข้าฟัง”
“เพคะ”
ตงฟางฉีจึงยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้พร้อมกับป้องปากกระซิบ “ระหว่างองค์รัชทายาทกับองค์ชายสี่ เจ้าคิดว่าผู้ใดสมควรที่จะได้ครอบครองบัลลังก์มังกร...”
ลี่หยวนได้ฟังคำถามเสร็จก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ
ไม่ว่าคำตอบของนางจะเป็นใคร หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ทั้งครอบครัวของนางกับท่านอ๋องน้อยย่อมหนีไม่พ้นโทษประหารมิใช่หรือ!
“ท่านอ๋องน้อย...” ลี่หยวนไม่ได้เตรียมใจตั้งรับคำถามที่ร้ายแรงถึงเพียงนี้ เหงื่อเม็ดใสๆ ผุดขึ้นบนหน้าผากมน
นางกำลังเล่นอยู่กับไฟ
องค์รัชทายาทคือไฟ องค์ชายสี่คือไฟ และท่านอ๋องน้อยเองก็คือไฟ...ไฟลูกมหึมา
ตงฟางฉีเหยียดกายพิงตัวลงกับพนักเก้าอี้ตามเดิม “หากเจ้าคิดว่าข้างใดเหมาะสมก็ให้ดื่มยาในกระปุกนั้นเสีย”
ในสายตาบ่าวไพร่ พวกเขาคงคิดว่าเป็นแค่การทดสอบเรื่องยาในกระปุก ไฉนเลยจะหมายถึงการถามความเห็นเรื่องการสืบทอดบัลลังก์ได้
ลี่หยวนที่แสดงสีหน้าตกใจออกไปรู้สึกเสียหน้า เมื่อครู่นี้เผลอปล่อยไก่ตัวใหญ่ ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องหาวิธีตอบคำถามให้ถูกเพื่อกู้ศักดิ์ศรีคืนให้ตนเองบ้าง
กระปุกยาสีขาว คือองค์รัชทายาท
กระปุกยาสีดำ คือองค์ชายสี่
นางจำเป็นต้องเลือกหนึ่งกระปุกแล้วกินเข้าไป เช่นนั้นก็หมายความว่ามีกระปุกหนึ่งเป็นยาพิษ อีกกระปุกหนึ่งไม่ใช่ยาพิษ
ลี่หยวนขยับมือที่วางอยู่บนตักขึ้นมาไว้บนโต๊ะ ยังมิกล้าจับกระปุกใดกระปุกหนึ่ง
หากเป็นลี่หยวนตามแบบฉบับในนิยาย ไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องคิดว่าองค์ชายสี่เหมาะสมกว่า และนางก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขามีความเด็ดขาดและโหดเหี้ยมที่สามารถกำราบผู้อื่น มากเสียยิ่งกว่าองค์รัชทายาทในปัจจุบัน
อาจเป็นเพราะนางถูกออกแบบมาให้เป็นผู้ช่วยของซุนโม่เฉิน นางจึงได้คิดเข้าข้างเขาไปอย่างเป็นธรรมชาติ
แต่ในนิยาย องค์รัชทายาทคือผู้ที่ได้ขึ้นครองบัลลังก์ในท้ายที่สุด
คิดได้ดังนั้น ลี่หยวนก็เอื้อมมือไปคว้ากระปุกยาสีขาว
มุมปากของบุรุษรูปงามกดลง “ตัดสินใจเลือกแล้วใช่หรือไม่”
“ยังเพคะ”
ว่าแล้วนางก็วางกระปุกสีขาวกลับลงที่เดิม
คิดให้ดีสิลี่หยวน สำหรับคนที่ได้รับฉายาว่า ‘หมอปีศาจ’ ผู้นี้ การเลือกกระปุกยามันจะง่ายดายถึงเพียงนั้นเชียวหรือ
ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ถือเป็นหมอที่มีชื่อเสียง การรับศิษย์ไม่ใช่สิ่งที่จะทำอย่างขอไปที
อีกทั้ง ก่อนหน้านี้เขายังมีท่าทีต่อต้านการขอเป็นศิษย์ของนาง ดังนั้นจึงไม่มีทางที่เขาจะมอบบททดสอบง่ายๆ ให้แน่
ลี่หยวนหลับตาลง เริ่มคิดทบทวนในสิ่งที่เจ้าของร่างสูงโปร่งพูดเมื่อก่อนหน้านี้
“คำถามที่ข้าจะถามเจ้าต่อไปนี้คือการทดสอบว่าคุณหนูมีคุณสมบัติเพียบพร้อมที่จะเป็นหมอได้หรือไม่ โดยใช้องค์ประกอบทั้งสามข้อที่บอกไปในการตอบและอธิบายให้ข้าฟัง”
ความสามารถในการวินิจฉัยโรค ความรู้ในการรักษา และโชค
ไม่สิ... ลองย้อนกลับไปให้มากกว่านี้
เมื่อตั้งใจเพ่งสมาธิ ภาพในความทรงจำที่เลือนลางก็เริ่มชัดเจนมากขึ้น
“ในกระปุกยาทั้งสองบรรจุเม็ดยาไว้คนละชนิด วางใจเถิด ไม่มีชนิดใดที่ทำให้ถึงแก่ชีวิต แต่ก็ขึ้นอยู่กับสุขภาพของผู้กิน ร้ายแรงที่สุดอาจ...ทำให้พิการเท่านั้น”
ลี่หยวนลืมตาขึ้นทันควัน แท้จริงท่านอ๋องน้อยมีการบอกใบ้ตั้งแต่แรก
ทั้งสองกระปุกเป็นยาพิษ!
นางกำมือแน่น หมายความว่าต่อให้เลือกคนใดคนหนึ่ง สุดท้ายก็หนีไม่พ้นต้องกินยาพิษอยู่ดี!
ท่านอ๋องน้อยผู้นี้ช่างอำมหิตเกินไปแล้ว!
ลี่หยวนด่าทออยู่ในใจ หลุบนัยน์ตาโกรธเกรี้ยวมองโต๊ะพร้อมสูดหายใจเข้าออกช้าๆ
หลังจากได้ไตร่ตรองดูอีกครั้ง นางก็คิดว่าคำพูดของชายหนุ่มยังมีช่องว่างบางอย่าง
ตงฟางฉีบอกว่า หากคิดว่าเป็นองค์รัชทายาทก็ให้กินยาในกระปุกสีขาว ถ้าคิดว่าเป็นองค์ชายสี่ก็ให้กินยาในกระปุกสีดำ
คำถามนี้หากไม่นับเรื่องยาพิษ ก็ถือเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนซึ่งอาจนำภัยมาสู่ชีวิตและครอบครัว แม้สกุลลี่จะอยู่ฝ่ายองค์ชายสี่ แต่ก็ไม่อาจแสดงตัวพร่ำบอกผู้อื่นว่าองค์ชายสี่เหมาะสมที่จะเป็นฮ่องเต้มากกว่า
วินิจฉัย... และหาทางรักษา