“บัดนี้ท่านเสนาบดียังอารมณ์ร้อน เจ้าพักผ่อนที่นี่ก่อนเถิด เลยเวลาเที่ยงวันไปแล้วค่อยไปขอร้องก็ยังไม่สาย”
“หากมันจะช่วยให้พี่ใหญ่พ้นโทษได้ ลี่หยวนก็จะฟังคำแนะนำของท่านอ๋องน้อยเพคะ”
ไม่มีเหตุผลที่จะดื้อดึง ในเมื่อเดิมทีนางไม่คิดจะขอร้องให้ลี่เผิงอย่างจริงจังอยู่แล้ว
สิบปีมานี้ ลี่เผิงมีแต่จะสร้างความลำบากและกลั่นแกล้งนางสารพัด ดังนั้นปล่อยให้เขาอดข้าวอดน้ำไปสักระยะก็ดี!
บทลงโทษของท่านพ่อไม่ถือว่าหนักหนา แต่เพียงเท่านี้นางก็พอใจแล้ว
อีกอย่าง... นางเองก็ใช่ว่าอยากจะอยู่ที่นี่ตลอดไป
ตงฟางฉีพยักหน้าอย่างพอใจเมื่อหญิงสาวยอมฟังเขา ร่างสูงโปร่งทิ้งตัวบนเก้าอี้ใกล้ๆ จุดที่นางยืนอยู่ เมื่อลี่หยวนดื่มยาเสร็จก็ส่งถ้วยเปล่าให้ชิงช่ายและทรุดกายลงบนเก้าอี้ตัวถัดมา
ในเมื่อท่านอ๋องน้อยไม่มีท่าทีว่าจะจากไป นางในฐานะบุตรสาวของท่านเสนาบดีก็ต้องทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดี
“ลี่หยวนไม่ทราบว่าท่านอ๋องน้อยให้เกียรติมาร่วมงานเลี้ยงวันเกิด ขอให้ท่านอ๋องน้อยทรงอภัยให้แก่ลี่หยวนที่ไร้มารยาทเพราะมิได้ไปคารวะท่านอ๋องน้อยในวันนั้นด้วย”
“ข้าไม่ถือสาเรื่องเล็กน้อย” เขาเว้นจังหวะพลางเหลือบมองชิงช่ายที่ยืนอยู่เยื้องอยู่ด้านหลัง
ลี่หยวนเห็นเช่นนั้นก็เข้าใจได้ในทันที
ท่านอ๋องน้อยต้องการคุยกับนางเพียงลำพัง
แต่ถึงแม้จะทราบจุดประสงค์ของบุรุษผู้มีสายเลือดของพยัคฆ์ ทว่านางก็รู้สึกไม่วางใจถึงขั้นจะปล่อยให้ไม่มีผู้ใดคุ้มกันอยู่ได้
“ท่านอ๋องน้อย ชิงช่ายเป็นข้ารับใช้ที่ติดตามรับใช้ข้ามาตั้งแต่ย่างเท้าเข้าสู่จวนเสนาบดี อีกทั้งข้ายังเป็นสตรีที่ยังไม่ออกเรือน ดังนั้นการมีนางอยู่ด้วยย่อมสามารถป้องกันคำครหาที่อาจตามมาได้เพคะ”
“ในเมื่อเป็นความปรารถนาของคุณหนู ข้าก็จะเห็นด้วยตามนั้น”
การยอมโอนอ่อนโดยง่ายทำให้ลี่หยวนมีสีหน้าที่ดีขึ้น หากในใจก็เตรียมพร้อมรับมือกับสิ่งที่ไม่คาดคิดอยู่เสมอ สำหรับนางแล้วคนตรงหน้ายังเป็นคนแปลกหน้าที่เจตนารมณ์ยังคลุมเครือ จะประมาทไม่ได้
“ชิงช่าย รีบยกน้ำชามา”
“เจ้าค่ะ” ชิงช่ายเดินไปยังอีกมุมห้องเพื่อเตรียมชา นึกไม่ถึงว่าจะมีเสียงนุ่มทุ้มของใครอีกคนดังตามหลัง
“อย่าลืมเตรียมน้ำเปล่าให้คุณหนูของเจ้าด้วย”
“เพคะ ท่านอ๋องน้อย”
แน่นอนว่าคำสั่งของเขาได้ใจบ่าวรับใช้ผู้ภักดีไปเต็มๆ ไม่ว่าท่านอ๋องน้อยจะใส่ใจเรื่องเครื่องดื่มเพราะจรรยาบรรณแพทย์หรืออะไรก็ตาม นางก็ยังดีใจที่มีคนเป็นห่วงคุณหนูของตน
ยามชิงช่ายปลีกตัวไปจัดเตรียมน้ำชาและน้ำร้อน ตงฟางฉีก็เบนใบหน้ามาหา
“ในงานเลี้ยงวันเกิด การบรรเลงพิณของคุณหนูไพเราะมีเอกลักษณ์ ข้าประทับใจมาก”
ลี่หยวนค้อมศีรษะเล็กน้อย ไม่ได้แสดงท่าทีดีใจหรือขวยเขินยามถูกบุรุษหล่อเหลาปานเทพบุตรชมเชยต่อหน้า “ท่านอ๋องน้อยกล่าวชมเกินไปแล้วเพคะ”
ตงฟางฉีสังเกตดูนางอยู่ตลอด เมื่อไม่พบการตอบสนองดังที่เคยพบเจอจากสตรีนางอื่นก็คาดเดาไปอีกทางหนึ่ง
“คาดว่าคงมิใช่ข้าเพียงคนเดียวที่ประทับใจ ยังคงมีองค์ชายสี่กับองค์รัชทายาทที่ทรงตั้งพระทัยฟังเจ้าเป็นพิเศษ”
ลี่หยวนชะงัก หรือตงฟางฉีจะคิดว่านางเจตนาสร้างความประทับใจให้ราชนิกุลสายเลือดมังกรทั้งสองโดยเฉพาะ?
มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ต่อให้ไม่ได้ตั้งใจแบบนั้น แต่ถึงอย่างไรค่านิยมสังคมก็ต้องบีบให้ผู้คนคิดไปในเชิงนั้นอยู่ดี แต่ถ้าหากท่านอ๋องน้อยทรงเข้าพระทัยผิดได้ ไม่แน่ว่าองค์ชายสี่กับองค์รัชทายาทก็อาจเข้าพระทัยผิด คิดว่านางกำลังเรียกร้องความสนใจจากพวกเขาเช่นกัน!
“ท่านอ๋องน้อย ปรารถนาของลี่หยวน หาใช่การเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับวังวนแห่งอำนาจ...”
“การได้ฟังคำนี้จากปากบุตรสาวของเสนาบดีช่างเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมาย” ตงฟางฉีชักสีหน้าคล้ายไม่เชื่อ
“ฟ้าดินเป็นพยาน สิ่งที่ลี่หยวนพูดเป็นความจริงเพคะ” ลี่หยวนหยุดเมื่อชิงช่ายวางถ้วยน้ำชากับน้ำเปล่าลงบนโต๊ะ พอถอยห่างออกไปแล้วจึงได้กล่าวต่อด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย “ทว่าสตรีเกิดมาถือเป็นสมบัติของบิดา หากเป็นปรารถนาของท่านพ่อ ลี่หยวนก็มิอาจขัดขืน”
“อืม” ตงฟางฉีพยักหน้าเห็นด้วย เขาหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมาใกล้จมูกพร้อมกับสูดดมกลิ่น จากนั้นค่อยจิบชา “หากนั่นคือปรารถนาของคุณหนูจริงๆ เช่นนั้นข้ามีข้อเสนอ”
“ข้อเสนอหรือเพคะ” ลี่หยวนเอียงคอ การที่หมอปีศาจยอมเอ่ยปากให้ความช่วยเหลือใครสักคนช่างเป็นสิ่งที่ไม่เคยคาดฝันมาก่อน
เอาเถิด ในเมื่อเขามีข้อเสนอ ลองฟังดูก็ไม่เสียหาย
เด็กสาวคิดพลางยกน้ำขึ้นจิบบ้าง
“หากเจ้ายอมหมั้นหมายกับข้า ข้าจะบอกกับครอบครัวของเจ้า ว่าเจ้าเป็นโรคร้ายแรงที่ต้องใช้เวลาพักรักษาอยู่หลายปี เมื่อเจ้าอายุครบสิบห้าจะได้ไม่ต้องเข้าพิธีคัดเลือกสาวงามแล้วถูกส่งตัวเข้าวังหลวง”
ครั้นได้ฟังข้อเสนอของเขา คนงามที่วางท่าสงบเสงี่ยมมาตั้งแต่ต้นก็ถึงกับสำลักน้ำ
“แค็กๆๆ!”
“คุณหนูเจ้าคะ” ชิงช่ายรีบปรี่เข้ามาลูบหลัง แต่นางก็ไม่กล้าพูดอะไรมากไปกว่านั้นเมื่อรับรู้ถึงสายพระเนตรของท่านอ๋องน้อยที่มิได้ละไปจากลี่หยวนแม้แต่ลมหายใจเดียว
เด็กสาวสูดหายใจเข้าออกช้าๆ ใบหน้าที่เคยซีดขาวกลายเป็นแดงระเรื่อดั่งผลท้อ มันมิได้เกิดจากความเขินอายของบุปผาแรกแย้มซึ่งถูกบุรุษขอหมั้นหมาย หากแต่แดงเพราะนางไออย่างหนักแทบเป็นแทบตายเมื่อครู่ที่ผ่านมาต่างหาก
“ท่านอ๋องน้อยทรงล้อลี่หยวนเล่นแล้ว” นางหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับปาก
“ข้าไม่เคยล้อเล่น"
นัยน์ตาเรียวหงส์ที่จ้องมองมาอย่างจริงจัง ทำเอาลี่หยวนพยายามเค้นเอาความเป็นไปได้ทั้งหมดที่อีกฝ่ายอยากจะหมั้นหมายกับตนมาประมวลผลในหัว
นางเป็นบุตรสาวบุญธรรมของท่านเสนาบดี ท่านอ๋องน้อยไม่มีสิทธิ์ในบัลลังก์แต่กลับอยากเกี่ยวดองกับตระกูลขุนนางใหญ่ นั่นมิเท่ากับว่าเป็นการตัดโอกาสราชนิกุลที่มีสิทธิ์ในบัลลังก์มังกรคนอื่นที่ต้องการเส้นสายจากตระกูลลี่หรอกหรือ?
ด้วยตำแหน่งของท่านอ๋องตงฟางเรียกได้ว่าค่อนข้างมั่นคง แต่งบุตรสาวขุนนางมาก็ไม่ได้ช่วงยกตำแหน่งฐานะอันใด ถ้าต้องการเพิ่มพูนทรัพย์สินก็ยังมีตระกูลพ่อค้าร่ำรวยอีกมากที่สามารถเอื้ออำนวยเงินทองและกำลังคนแลกกับเส้นสายทางราชการได้
และถึงแม้ลี่หยวนในเรื่องจะขึ้นชื่อว่าเป็นโฉมงามของเมืองหลวง แต่ก็ยังมีสาวงามอีกมากที่มีคุณสมบัติครบครันไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ทั้งนางเอก ทั้งนางร้าย เพื่อนนางเอก ต่างก็เป็นโฉมงามเลื่องชื่อด้วยกันทั้งสิ้น
หรือว่าเขาจะรู้เรื่องที่นางจะกลายเป็นผู้ช่วยวายร้ายขององค์ชายสี่ในอนาคตจึงต้องการผูกนางไว้กับตัวเพื่อให้แน่ใจว่าองค์ชายสี่จะขาดมือเท้าในการชิงบัลลังก์กับองค์รัชทายาท?
ไม่สิ... มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว หมอปีศาจที่นึกจะช่วยใครก็ช่วย นึกจะฆ่าใครก็ฆ่าไม่เห็นจำเป็นต้องคิดอะไรให้ซับซ้อนถึงเพียงนั้นสักหน่อย
เป็นครั้งแรกที่เด็กสาวรู้สึกจนแต้ม ไม่รู้เลยว่าทำไมท่านอ๋องน้อยถึงอยากหมั้นหมายกับนาง คิดแล้วก็น่าปวดหัวเหลือเกิน
“ระ...หรืองานอดิเรกในยามว่างที่ท่านอ๋องน้อยเคยตรัส คือบทบาทของการเป็นคู่หมั้น?”
นี่คือความเป็นไปได้อย่างสุดท้ายที่พอจะปะติดปะต่อได้ จิตใจของชายหนุ่มยากแท้หยั่งถึง เห็นทีเหตุผลทั่วไปคงไม่สามารถนำมาใช้วิเคราะห์เขาได้เลย
นัยน์ตาของตงฟางฉีพราวระยิบเมื่อเห็นสีหน้ายุ่งยากของลี่หยวน นางเปรียบเสมือนเสือสาวจอมพยศที่รักอิสระและไม่ต้องการผูกมัดกับผู้ใด ซึ่งมันก็ทำให้เขากระหายอยากที่จะเอาชนะมากขึ้น
เสือสาวคู่กับสายเลือดพยัคฆ์ ก็เหมาะสมกันดีมิใช่หรือ
“ข้ารับรู้ได้ว่าคุณหนูเป็นสตรีที่พิเศษ” ตงฟางฉีเว้นจังหวะเพื่อจิบชาอีกครั้ง แม้มันจะเริ่มเย็นชืดแต่ก็ลื่นคอ “จึงเป็นการสมควรที่ข้าจะชิงลงมือก่อนจะมีผู้ใดมาตัดหน้า”
ชิงช่ายที่ยืนฟังอยู่เขินจนหน้าแดง แม้กระทั่งองค์ชายสี่ที่คุณหนูชมชอบมานานหลายปียังไม่เคยใช้คำพูดเยี่ยงนี้เลยสักครั้ง
ลี่หยวนใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดริมฝีปากที่กำลังเม้มเข้าหากัน แทนที่จะกระดากอาย กลับเป็นอารมณ์หงุดหงิดขึ้นมาแทน
ไอ้อารมณ์สาวน้อยวัยใสที่ถูกบุรุษสุดหล่อขอหมั้นหมาย มีดอกไม้ฟรุ้งฟริ้งเป็นพื้นหลังนี่มันอะไรกัน!
นางเป็นผู้ช่วยวายร้ายนะ ไม่ใช่นางเอก!
นางเพิ่งจะได้รู้จักกับอีกฝ่ายไม่ถึงวัน คิดว่านางเป็นสตรีประเภทใดกันที่เห็นเพียงผลประโยชน์แค่ระยะสั้นก็ยอมกระโดดเข้าสู่กับดักที่เขาวางไว้
แม้การหมั้นหมายจะสามารถยกเลิกได้ในภายหลัง แต่คงเป็นการยากหากสตรีที่ถูกถอนหมั้นแล้วจะสามารถหาคู่ครองที่เหมาะสมได้อีก
ช่วงเวลาสิบห้าถึงสิบแปดปีเป็นช่วงเวลาเหมาะสมแก่การแต่งงาน หากในตอนนั้นท่านอ๋องน้อยยังไม่ถอนหมั้นกับนาง เห็นทีว่าหลังจากนั้นนางคงถูกตราหน้าว่าขึ้นคาน เป็นสตรีคร่ำครึแน่แท้!
ลี่หยวนเชิดใบหน้าขึ้น
“สิ่งที่ทรงตรัสมานั้นถูกต้อง หากมิใช่การตกลงเป็นคู่หมั้นของท่านอ๋องน้อย ในอนาคต ลี่หยวนก็คงหนีไม่พ้นถูกส่งตัวเข้าวังหลวง”
ถ้าหากชีวิตของนางเป็นนิยายล่ะก็ ทางเลือกของนางคงมีเพียงสองทาง
หนึ่ง คือยอมรับข้อเสนอของตงฟางฉี กลายเป็นคู่หมั้น
สอง คือปฏิเสธข้อเสนอของตงฟางฉี นอกจากต้องเข้าวังแล้ว และสุดท้ายนางก็อาจต้องกลายเป็นศัตรูของเขาในวันหน้า
แต่ว่า ตอนนี้ลี่หยวนไม่ใช่ผู้หญิงคนเดิมที่จะคิดเพียงแค่สองทางเลือกที่กล่าวมา
“ทว่าลี่หยวนกลับคิดว่า ยังมีสิ่งอื่นที่น่าสนใจมากกว่าตำแหน่งคู่หมั้น ขอบังอาจเสนอให้ท่านอ๋องน้อยทรงพิจารณาดูเพคะ”
ครานี้เป็นฝ่ายของตงฟางฉีบ้างที่คาดไม่ถึง ลี่หยวนผู้นี้ไม่ทำให้เขาผิดหวัง
“เจ้ากำลังจะสื่อถึงอะไร”
นางปลดผ้าเช็ดหน้ากุมไว้ในมือ ดวงตาคู่หวานสบตาตงฟางฉี ประกายในดวงตาเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า “ลี่หยวนมีปรารถนา อยากกราบท่านอ๋องน้อยเป็นอาจารย์เพคะ!”
ลี่หยวนใช้ความกล้าทั้งหมด วางเดิมพันที่ฉีกทุกกฎเกณฑ์และความเป็นไปได้ โดยการเสนอตัวเป็นศิษย์ของหมอปีศาจซึ่งมีฐานะเป็นท่านอ๋องน้อย ตัวละครสีเทาที่ไม่รู้ว่าเป็นคนดีหรือคนชั่วและอายุมากกว่านางเพียงสี่แค่สี่ปี!
นางไตร่ตรองมาดีแล้ว หากยังดำเนินชีวิตไปตามปกติคงยากที่จะหลีกเลี่ยงชะตากรรมในท้ายเรื่อง มิสู้นางลองเดิมพันกับโอกาสทองนี้ดูสักครั้งเป็นอย่างไร
ท่านอ๋องน้อย... ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับท่านแล้วว่าจะยอมรับข้า...ลี่หยวนผู้นี้เป็นศิษย์ หรือยังคงยืนกรานที่จะขอหมั้นหมายโดยมีความเป็นไปได้ที่จะถูกปฏิเสธ