9
จุดยืน
ลี่หยวนจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตนเองกลับมาถึงจวนได้อย่างไร เรื่องราวที่เกิดขึ้นที่ร้านน้ำชาทำให้นางเหนื่อยล้า ทันทีที่นางหย่อนกายนั่งลงบนเตียง ชิงช่ายที่ประคองนางเดินด้วยมือที่สั่นเทามาตั้งแต่แรกก็ทิ้งเข่าลงบนพื้น
“ขอบคุณคุณหนูที่ช่วยชีวิตบ่าวเจ้าค่ะ!”
น้ำตาของสาวใช้ไหลอาบแก้ม กลัวเหลือเกินว่าตนเองคงไม่มีชีวิตรอดกลับมาจวนเสนาบดีอีกแล้ว
เหตุการณ์ที่ร้านน้ำชายังคงชัดเจนในความทรงจำ มีศพมากมายถูกลากออกไปต่อหน้าต่อตา พระเนตรขององค์ชายสี่มองมาอย่างเลือดเย็น ชิงช่ายคิดว่า หากมิใช่คุณหนูขอร้อง เกรงว่านางคงถูกปลีดชีพ ณ ที่นั้นทันที
“ชิงช่าย ลุกขึ้นได้แล้ว” ลี่หยวนมีสีหน้าอ่อนล้า นางยกมือขึ้นมานวดคลึงศีรษะ การคิดหลายๆ เรื่องติดต่อกันเริ่มทำให้ปวดหัว “ช่วยข้าอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า”
ชิงช่ายได้สติรีบปาดน้ำตา นางเดาใจของผู้เป็นนายไม่ถูก ไม่รู้ว่าลี่หยวนยังปักใจรักองค์ชายสี่อย่างลึกซึ้งเหมือนเก่าก่อนหรือไม่
หากต่อให้ไม่แน่ใจก็มิกล้าเอ่ยถาม อยู่ใกล้สายเลือดมังกรเสมือนขาข้างหนึ่งก้าวเข้าสู่แท่นประหาร อย่างน้อยสิ่งที่ลี่หยวนเคยบอกว่าจะไม่เข้าวังหลวงก็ช่วยให้ชิงช่ายเบาใจไปหลายส่วน
สาวใช้คนสนิทผุดลุกขึ้น แต่ยังไม่ทันได้หันหลังไปสั่งงานนางกำนัลทางด้านนอก เด็กสาวก็เอ่ยรั้งไว้เสียก่อน
“ชิงช่าย”
“เจ้าคะ”
“เจ้าเองก็ไปเตรียมตัว คืนนี้เจ้าจะนอนกับข้าที่นี่”
นัยน์ตาแดงก่ำของชิงช่ายเบิกกว้างขึ้นนิดๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะพยักหน้าเล็กน้อยคล้ายกับเข้าใจ
ลี่หยวนเป็นเพียงดรุณีน้อยอายุสิบสี่ปี ต่อให้ภายนอกไม่แสดงออก แต่ภายในย่อมต้องเสียขวัญเป็นธรรมดา
ซุนโม่เฉินเห็นชีวิตผู้คนเป็นผักปลา แต่คุณหนูของนางมิใช่เช่นนั้น
“เจ้าค่ะ” ชิงช่ายตอบรับ นางเองก็อกสั่นขวัญแขวนแต่ก็ตั้งใจว่าจะปลอบใจนายของตนอย่างเต็มที่
ฝ่ายลี่หยวนพ่นลมหายใจแผ่วเบาหลังจากอีกฝ่ายหมุนกายเดินจากไป
ชิงช่าย เจ้าเข้าใจผิดแล้ว...
นางไม่ได้เรียกให้ชิงช่ายมานอนด้วยเพราะว่ารู้สึกหวาดกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ แต่เพราะกลัวว่าขืนปล่อยให้สาวใช้นอนตามลำพัง ชิงช่ายอาจไม่มีโอกาสได้ตื่นขึ้นมารับใช้นางในวันรุ่งขึ้นก็เป็นได้
เสมือนรู้ว่านางต้องการพักผ่อน
ตงฟางฉีมีเหตุทำให้ต้องเดินทางออกจากจวนเสนาบดีติดต่อกันถึงสองวันเต็มๆ โดยฝากให้โรงครัวต้มโอสถมาให้หลังอาหารเช้าเย็น ทั้งนี้ยังมีการย้ำให้ดื่มน้ำและเข้านอนอย่างตรงเวลา
แม้ตัวจะไม่อยู่ แต่การกำชับให้บ่าวไพร่คอยดูคอยเฝ้าเรื่องเวลาก็ทำให้คนรักอิสระเพราะอดีตชาติเป็นสาวใหญ่โสดสนิทก็สามารถทำให้คนเครียดและกดดันได้เช่นเดียวกัน
ลี่หยวนนั่งดีดพิณอยู่ในเรือน ใช้ดนตรีบำบัดจิตใจที่ว้าวุ่น กลิ่นหอมอ่อนๆ ของน้ำค้างบนยอดหญ้าพัดผ่านบานหน้าต่างที่เปิดออกครึ่งหนึ่ง สร้างความสดชื่นที่ช่วยจรรโลงจิตใจให้สงบลงได้ไม่ยาก
ในนิยายเรื่องนี้ สุดท้ายผู้ที่มีอำนาจสูงสุดคือองค์ฮ่องเต้ ตราบใดที่ทรงเห็นว่าบิดาของนางมีบทบาทในราชสำนัก ผู้คนในตระกูลลี่ทุกคนย่อมเป็นหนึ่งในหมากที่จะทรงเลือกให้เดินไปทางใดก็ย่อมได้
ไหนจะยังมีเรื่องที่องค์ชายสี่กระทำอุกอาจในวันนั้น กระทั่งบัดนี้นางก็ยังไม่ทราบว่าอีกฝ่ายสังหารกลุ่มคนเหล่านั้นเพื่ออะไรกันแน่
“คุณหนูเจ้าคะ ท่านอ๋องน้อยมาถึงแล้ว”
สิ้นเสียงของข้ารับใช้คนสนิท ความคิดของเด็กสาวก็หยุดลง นางหยัดกายขึ้นจากหลังพิณแล้วค่อยสาวเท้าเข้ามาหาหมอปีศาจที่กำลังจับตามองนางทุกฝีเท้าด้วยสีหน้าสงบ
ไม่แปลกนักที่ชายหนุ่มจะมีสีหน้าคาดหวัง
ตลอดเวลากว่าห้าวันที่ผ่านมามีแต่ตงฟางฉีที่เป็นฝ่ายเข้าหานาง วันนี้ลี่หยวนทราบว่าอีกฝ่ายไม่มีธุระต้องออกไปข้างนอกจึงให้ชิงช่ายไปทูลเชิญ
“ที่ลี่หยวนทูลเชิญท่านอ๋องน้อยมาในวันนี้ คาดว่าท่านอ๋องน้อยคงทราบเหตุผลแล้ว”
ทั้งสองไม่รีบร้อนเอ่ยวาจา พากันเดินไปทิ้งตัวนั่งเพราะคาดว่าการสนทนาในครานี้คงใช้เวลานานอีกตามเคย
ตงฟางฉีมองดูอากัปกิริยาของลี่หยวน หลังจากนางกลับจากการเดินเล่นนอกจวนเมื่อหลายวันก่อน แม้แต่กลิ่นอายรอบๆ ตัวนางก็ยังเปลี่ยนไปจากเก่า
คล้ายกับว่า... ลี่หยวนได้เรียนรู้ที่จะสุขุมมากขึ้น และเติบโตมากขึ้น
ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน เขาไม่เชื่อหรอกว่าคนเราจะเปลี่ยนไปมากขนาดนี้หากไม่ไปพบเหตุการณ์อะไรบางอย่างเข้า
ตงฟางฉีคิดพลางผายมือไปตรงหน้าลี่หยวน “ก่อนอื่น...”
เด็กสาวจ้องมือเขาพร้อมกับถอนหายใจ อิดออดแต่พางามก็หงายมือวางไปตรงหน้า
หมอปีศาจใช้เวลาตรวจวัดชีพจรของนางครู่หนึ่ง จากนั้นค่อยหรี่ตามองนาง “ธาตุหยินบกพร่อง ตับร้อน มีความเครียดมาก”
ลี่หยวนทำปากคว่ำ หากเป็นใครก็ต้องเครียดอยู่แล้ว นางมีอาการแค่นี้ยังถือว่าดีไปด้วยซ้ำ!
“ลี่หยวน...”
“ประเดี๋ยวข้าจะเพิ่มยาคลายความเครียดให้ ช่วงนี้มีอาการปวดท้อง อาหารไม่ค่อยย่อยด้วยใช่หรือไม่ และนอนไม่หลับด้วยใช่หรือไม่”
นางพยักหน้าอย่างอดเสียไม่ได้ ที่นอนไม่หลับเพราะมัวแต่กังวลว่านางกับชิงช่ายอาจถูกองค์ชายหรือผู้มีอำนาจอื่นๆ สั่งเก็บได้ทุกเมื่อ!
ตงฟางฉีสาธยายถึงผลเสียของความเครียดอีกสามสี่ประโยคถึงได้ยอมปล่อยให้คนไข้ได้พูดคุยธุระของตน
“คาดว่า... ที่คุณหนูเชิญข้ามาวันนี้ คงเป็นคำตอบของเรื่องการขอให้ข้ารับเป็นศิษย์”
ลี่หยวนสบตาเขาอย่างตรงไปตรงมา “ถูกต้อง”
ประเดี๋ยวอีกวันสองวัน ท่านอ๋องน้อยก็จะกลับวังอ๋องแล้ว นางจำเป็นต้องรีบให้คำตอบแก่เขา
เด็กสาวผินสายตาจากปลายนิ้วมือของตนเองมายังใบหน้าหล่อเหลาของตงฟางฉี ครั้นสูดหายใจเข้าลึกๆ ก็กล่าวถ้อยคำที่ตระเตรียมมาอย่างเชื่องช้า
“ท่านอ๋องน้อย หากต่อไปนี้ลี่หยวนไปมาหาสู่ระหว่างจวนเสนาบดีกับวังอ๋องอยู่บ่อยๆ จะถือเป็นการกระตุ้นความสนพระทัยจากฮ่องเต้ไหมเพคะ”
คำถามนี้เป็นสิ่งที่ตงฟางฉีคาดไม่ถึง หากยังไม่ทันได้ตอบ ลี่หยวนก็ชิงถามขึ้นมาอีกประโยคหนึ่ง
“และถ้าหากมิได้รับความเห็นชอบจากฝ่าบาท ลี่หยวนจะสามารถหมั้นหมายให้แก่ท่านอ๋องน้อยได้หรือเพคะ?”
แววตาจริงจังกับน้ำเสียงราบเรียบที่ไร้ซึ่งการคาดคั้น ส่งผลให้ตงฟางฉีที่แสดงสีหน้าประหลาดในใจทีแรกยกยิ้มมุมปาก
ดูท่าความจะแตกเสียแล้ว
“เจ้าเชื่อในรักแรกพบหรือไม่”
น้ำเสียงหวานเชื่อมพราวเสน่ห์จากชายหนุ่มรูปงาม กลับทำให้ลี่หยวนทำหน้าคลื่นไส้อยากอาเจียนเสียอย่างนั้น
เขาคิดผิดเสียแล้วที่มาไม้นี้
จากประสบการณ์ที่ผ่านมาเขายังไม่รู้อีกหรือว่านางเป็นคนเช่นไร
เขาคิดว่านางเป็นเด็กน้อยโลกสวยที่พอได้ยินคำพูดนี้แล้วจะใจสั่นรึ บ้าบอสิ้นดี!
การที่ตงฟางฉีเจตนาพูดคำนี้ ความจริงเพราะเขาตั้งใจอยากเบี่ยงเบนประเด็นชัดๆ!
“ตั้งแต่เกิดมาลี่หยวนไม่เคยพบเห็น ดังนั้นจึงไม่เชื่อเพคะ”
“ไม่เคยพบเห็นกับไม่เชื่อ มันคงละเรื่องกันนะ คุณหนู”
ลี่หยวนยิ้มอ่อนหวานทั้งที่แววตาไปคนละทิศละทางกับมันโดยสิ้นเชิง
นางไตร่ตรองมาดีแล้ว บุรุษอย่างตงฟางฉี ตัวละครสีเทาที่เจ้าเล่ห์เยี่ยงเขาไม่มีทางพลีกายและใจให้กับคำว่า ‘รักแรกพบ’
ไม่มีวันและไม่มีทาง!
ลี่หยวนใช้มือโอบถ้วยน้ำชา สูดกลิ่นหอมที่เจือความขมนิดๆ เข้าไปอย่างเชื่องช้า เริ่มเดาออกแล้วว่าตงฟางฉีแค่ต้องการปั่นหัวนางให้หลงรักโดยการใช้เรื่องการหมั้นหมายมาอ้างเท่านั้น
มันคงเป็นเรื่องราวประมาณว่า ข้าอยากหมั้นหมาย อยากแต่งงานกับเจ้า แต่เป็นเพราะฮ่องเต้ทรงยังไม่อนุญาต เพราะฉะนั้นขอให้เจ้าอดทนอีกสักหน่อยเถิด
เพียงแค่คิดก็อดไม่ได้ที่จะแสยะยิ้ม ตงฟางฉีคิดจะหลอกใช้นางด้วยวิธีการเดียวกับวายร้ายในนิยายไม่มีผิดเพี้ยน!
หนทางที่พยายามดิ้นรนเอาตัวรอด แท้จริงก็เป็นแค่การกระโจนเข้าสู่กับดักที่ใครอีกคนหนึ่งขุดรอไว้!
ทว่า... เช่นเดียวกับที่ท่านอ๋องน้อยต้องการใช้นาง ลี่หยวนก็มีความเห็นว่าเขาเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดที่ควรจะยอมเสี่ยงด้วยในตอนนี้
“ท่านอ๋องน้อยเพคะ การเป็นศิษย์อาจารย์ สิ่งสำคัญที่สุดคือความเชื่อใจ ลี่หยวนต้องการเพียงความจริงใจและการเคารพซึ่งกันและกันเท่านั้น”
นัยน์ตาหวานช้อนมองเจ้าของร่างสูงโปร่ง นางไม่มีความสามารถพอในการเดาใจตงฟางฉี แต่หวังว่าเขาจะยอมรับฟังในสิ่งที่นางพูดบ้าง...แม้สักเล็กน้อยก็ยังดี
“และคำถามเมื่อก่อนหน้านี้ ท่านอ๋องน้อยทรงไม่จำเป็นต้องตอบ แต่ว่า...ลี่หยวนอยากทราบว่าถ้าเราเปลี่ยนสถานะเป็นศิษย์อาจารย์ในวันนี้ ท่านอ๋องน้อยจะทรงใช้โรคประหลาดประเภทใดอ้างกับท่านพ่อและท่านหมอคนอื่นๆ หรือเพคะ”
ตงฟางฉีหลุบตาลงเล็กน้อย วันนี้คุณหนูสกุลลี่ดูจะมีคำถามให้เขามากกว่าทุกวัน
ในเมื่อบุคลิกของนางเปลี่ยนไปในทิศทางเช่นนี้ การจะรับมือก็ย่อมยากขึ้น สาวน้อยที่ยังไม่ถึงวัยปักปิ่นผู้นี้ไม่เคยทำให้เขาผิดหวัง มีแต่จะทำให้เขารู้สึกท้าทายมากขึ้นทุกที
ลี่หยวนปล่อยมือออกจากถ้วยชาเมื่อกระปุกยาสีเหลืองนวลถูกวางลงตรงหน้าตน เลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ พลางตั้งคำถามในใจ