1.2 แววตาที่เปลี่ยนไป

1472 Words
งานเลี้ยงซึ่งมีเจ้าภาพเป็นถึงจวนเสนาบดี ผู้ใดบ้างจะกล้าพูดว่าไม่ยิ่งใหญ่ ผู้ใดบ้างจะกล้าพูดว่าฟุ้งเฟ้อจนเกินไป โดยเฉพาะสกุลลี่ที่ขึ้นชื่อว่าถือภาพลักษณ์และหน้าตาเป็นอันดับหนึ่ง “สุขสันต์วันเกิดขอรับ คุณหนูลี่” คำอวยพรที่ส่งเสียงมาเป็นระยะๆ จากแขกผู้ได้รับการคัดเลือกจากบิดา ส่งผลให้เด็กสาวตอบรับคำอวยพรที่กว่ากึ่งหนึ่งไร้ความจริงใจเหล่านั้นด้วยรอยยิ้ม จะมีสักกี่คนกัน...ที่มาร่วมงานเพราะต้องการอวยพรนางด้วยใจจริง? ลี่หยวนรู้ดีว่านางเรียกร้องมากไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนางไม่ใช่แค่เด็กสาวอายุสิบสี่ธรรมดาคนหนึ่งอีกต่อไปแล้ว นัยน์ตาสีน้ำหมึกของผู้คิดกวาดมองการตกแต่งที่ดูมากเกินกว่าจะสถานที่จัดงานให้แก่เด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะคนหนึ่ง นางคุ้นชินกับการใช้เงินตราแสดงความโอ่อ่ามั่งคั่งของบิดาบุญธรรมมนานแล้ว ก่อนหน้านี้ลี่หยวนคนเก่าก็ไม่เคยใส่ใจเพราะมัวแต่เอาเวลาไปไล่ตามบุรุษที่ตนไม่มีทางได้หัวใจอย่างโง่งม นางตัดสินใจแน่วแน่ หากนางไม่สามารถเปลี่ยนความคิดของท่านพ่อที่แต่เดิมเป็นคนขององค์ชายสี่ นางก็ต้องหาวิธีดึงทรัพย์สมบัติบางส่วนมาเป็นทุนส่วนตน เพราะหลังจากที่วายร้ายในเรื่องถูกกำจัดลง สกุลลี่อันเป็นเสาหลักค้ำจุนก็ต้องล้มตาม ดังนั้นหากนางบริหารเงินบางส่วนเอง ท่านพ่อก็อาจจะมีชีวิตอยู่ต่อได้อย่างไม่ลำบากจนเกินไปนัก ลี่หยวนครุ่นคิดไปเรื่อยเปื่อยเพราะยังไม่เจอผู้ใดที่คุ้นหน้าคุ้นตา เสียงบรรเลงเครื่องสายถูกกลบทับด้วยเสียงพูดคุยและหัวเราะ การแสดงยังไม่เริ่มต้นจึงยังไม่มีใครนั่งประจำที่ คาดว่าคงอีกประมาณครึ่งชั่วยามกว่าสำรับอาหารจะถูกยกออกมาจากโรงครัว ลี่หยวนคิดว่ามันคงเป็นงานเลี้ยงธรรมดาที่ไม่ได้มีอะไรพิเศษไปกว่าการพบปะพูดคุยของผู้มียศมีตำแหน่งทั่วไป หากนางก็คิดผิดเมื่อเห็นบุรุษในอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มผู้หนึ่ง ช้าก่อน... เหตุใดพระเอกของเรื่องอย่างองค์รัชทายาทจึงได้มาปรากฎตัวอยู่ในงานของนางไปได้เล่า! ลี่หยวนสับสนอย่างยิ่ง แต่ถึงกระนั้นก็ยังรักษาสีหน้าสงบเสงี่ยมไว้ได้ วันนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของนาง ต่อให้อยากทำตัวไม่ให้โดดเด่นอย่างไรก็คงยากที่จะหลีกเลี่ยงการพบหน้ากับเหล่าผู้มีตำแหน่ง “ท่านพ่อ” นางตัดสินใจเดินเข้าไปหาบิดา เสียงหวานดึงดูดความสนใจจากผู้ใหญ่สองคนที่กำลังพูดคุยกันได้ไม่ยาก ลี่หยวนทักทายท่านเสนาบดีเสร็จก็หันหน้าไปหาบุรุษวัยสามสิบต้นๆ อีกคนหนึ่ง “ท่านอาฟาง” “ลี่หยวนเองหรอกหรือ” ท่านโหว[1] ผู้เลื่องชื่อยกยิ้ม ร่างใหญ่โตจากการฝึกฝนร่างกายอย่างสม่ำเสมอโน้มตัวลงมามองนางซึ่งตัวเล็กกว่า “ข้าไม่ได้พบเจ้ามาสี่ปีได้แล้วกระมัง พี่ลี่ บุตรสาวของท่านงดงามถึงเพียงนี้ เห็นทีคงไม่ต้องรอผ่านพิธีปักปิ่น ก็คงมีหนังสือขอหมั้นหมายหลั่งไหลเข้ามาไม่หยุดหย่อน” “พี่ฟางก็กล่าวเกินไป” สายตาของลี่ชิวหม่าเหลือบมองไปยังบุรุษอีกคนหนึ่งซึ่งยืนเสวนากับกลุ่มบัณฑิตจากตระกูลเก่าแก่ตรงอีกมุมหนึ่งของห้อง “ลี่หยวนยังเด็กนัก” ลี่หยวนมองตามสายตาของบิดาก่อนจะลอบถอนหายใจ มีหรือที่นางจะไม่รู้ว่าท่านพ่อเองก็คาดหวังจะให้นางได้หมั้นหมายแต่งงานกับองค์ชายสี่ หากเป็นลี่หยวนคนก่อนก็คงจะมีความมุ่งมั่นปรารถนาไม่ต่างจากบิดา แต่ว่านางยามนี้เริ่มอยากรู้จักกับบุรุษอื่นเพื่อหาทางรอดให้ตนเองมากกว่า “ท่านอาฟางเจ้าคะ ผิวของท่านเข้มขึ้นมาก แดดที่ชายแดนร้อนมากหรือเจ้าคะ” ฟางอวี้เอามือลูบคาง “อืม ก็ร้อนกว่าเมืองหลวงอยู่พอควรนะ” “แล้วสตรีที่ชายแดนงดงามหรือไม่” คำถามต่อมาจากเด็กสาวทำเอาชายวัยสามสิบสี่สิบทั้งสองถึงกับตาโต สตรีในห้องหอเอ่ยถามเยี่ยงนี้มันเหมาะสมแล้วหรือ!? สำหรับฟางอวี้ซึ่งเป็นทหารคงไม่ถือสาเรื่องนี้เท่าไร แต่กับลี่ชิวหม่าซึ่งมองว่าบุตรสาวบุญธรรมนั้นวางตัวดีงามมาโดยตลอดถึงกับกลอกตาวนไปมา ทว่าที่ลี่หยวนถามเช่นนี้นั้นมีเหตุผล หากนางอยู่เมืองหลวงคงไม่วายถูกดึงเข้าพัวพันกับขั้วอำนาจการเมือง ในนิยายก็มักจะบรรยายถึงแต่เหตุการณ์ในเมืองหลวง ด้วยเหตุนี้นางจึงอดคิดไม่ได้ว่า หากนางย้ายไปอยู่ที่ชายแดนคงเข้าที ไม่แน่ว่าเหตุการณ์เลวร้ายต่างๆ อาจยุติลงและนางไม่ต้องเผชิญกับพวกมันอีก แต่หากไปตัวเปล่าคงลำบากน่าดู... เรื่องนี้คงต้องไตร่ตรองดูอีกสักหน่อย ดูเหมือนว่าการหลอกถามข้อมูลของลี่หยวนจะไม่ค่อยราบรื่นเท่าที่ควร เมื่อบิดาของนางส่งเสียงขึ้นมา “องค์รัชทายาท องค์ชายสี่” เด็กสาวสูดหายใจเข้าลึก ย้ำกับตนเองว่าให้ทำตัวเป็นธรรมชาติเหมือนกับเด็กสาวอายุสิบสี่ให้มากที่สุด “ถวายบังคมเพคะ องค์รัชทายาท องค์ชายสี่” ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องตลกร้ายหรืออย่างไร ในนิยายเรื่องนี้ความหล่อเหลาของวายร้ายถือว่านำพระเอกไปขั้นหนึ่ง องค์รัชทายาทเป็นบุรุษสุขุมแต่ก็เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ต่างจากองค์ชายสี่ที่ใบหน้ายิ้มแย้มแต่ร้ายลึก จะว่าไป หากจะพูดถึงบทบาทของฮ่องเต้ หากไม่มีความอำมหิตและเลือดเย็นก็คงไม่สามารถปกครองใต้หล้าได้ บางครั้งเวลานางอ่านถึงฉากที่องค์รัชทายาทใจอ่อนยอมปล่อยให้คนประสงค์ร้ายลอยนวลไปเพราะความใจดีจนภัยนั้นย้อนกลับมาทำร้ายตนเองกับนางเอกทีหลังก็รู้สึกหงุดหงิดอยู่บ่อยๆ เหมือนกัน ลี่หยวนส่ายหน้าน้อยๆ ปัดความคิดไร้สาระในหัวออกไปแล้วยืนเยื้องอยู่ด้านหลังบิดา รอฟังสิ่งที่เขาจะพูดคุยกับแขกทั้งสอง “ขอบพระทัยทั้งสองพระองค์ที่ให้เกียรติมางานวันเกิดของหยวนเอ๋อร์” “ไม่ต้องเกรงใจไปหรอกท่านเสนาบดี ลี่หยวนเองก็มิใช่คนอื่นคนไกล ข้ากับนางเห็นกันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย...” ซุนโม่เฉินใช้นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มมองดูเด็กสาวในอาภรณ์สีส้มอ่อน มองด้วยระยะเวลาที่นานกว่าปกติจนกระทั่งเอ่ยปากพูดกับนางต่อ “อาภรณ์สีนี้เหมาะกับเจ้ามาก มันช่วยขับผิวของเจ้าให้ดูผ่องใสขึ้น” “ขอบพระทัยเพคะ” ลี่หยวนปากก็กล่าวขอบคุณ แต่หัวใจก็เต้นตุ้มๆ ต่อมๆ เขาต้องรู้แล้วแน่ๆ ว่านางเจตนาเปลี่ยนชุดใหม่... “ลี่หยวน สุขสันต์วันเกิด” คราวนี้เป็นทีขององค์รัชทายาทบ้าง “ขอบพระทัยเพคะ องค์รัชทายาท” ซุนจื่อหมิง องค์รัชทายาทองค์ปัจจุบันเป็นพระโอรสองค์แรกซึ่งอายุมากกว่าซุนโม่เฉินเพียงครึ่งปี ทรงกำเนิดจากฮองเฮา ในขณะที่องค์ชายสี่ทรงกำเนิดจากกุ้ยเฟยซึ่งมีตำแหน่งต่ำกว่าขั้นหนึ่ง ดังนั้นจึงไม่แปลกที่องค์ชายใหญ่จะได้รับการตั้งแต่งเป็นรัชทายาทไปเมื่อสองปีก่อน “จริงสิ ข้าได้ยินมาว่าฝีมือบรรเลงพิณของเจ้าไพเราะเป็นที่เลื่องลือ วันนี้เป็นวันเกิดของเจ้าทั้งที ลี่หยวน เจ้าจะใจกว้าง...แบ่งปันให้แขกทั้งหลายผู้มาร่วมอวยพรได้ฟังสักเพลงได้หรือไม่” องค์รัชทายาทตรัสยิ้มๆ ทว่าสายพระเนตรหาได้ตั้งใจมองนางแม้แต่น้อย ลี่หยวนหลุบตามองพื้น แท้จริงแล้ว องค์รัชทายาทมีเรื่องอยากพูดคุยกับฟางอวี้ตามลำพังต่างหาก... ความอึดอัดที่เกิดจากความตระหนักได้ว่านางยังคงต้องไหลไปตามบทบาทของตัวละครที่ถูกกำหนดมา ก่อเกิดเป็นความรู้สึกอันหลากหลายที่ยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูด “เพคะ” ได้เล่นพิณก็ดี... อย่างน้อยก็ดีกว่าต้องมายืนมองเหล่าองค์ชายสองพี่น้องฟาดฟันหั่นเฉือน นางก้มหน้ามองสายพิณถือว่าน่าสนใจมากกว่ากันตั้งเยอะ [1] โหว คือตำแหน่งทางผู้กุมอำนาจทางการทหารในสมัยโบราณ มีตำแหน่งรองลงมาจาก อ๋องและกง มักได้ตำแหน่งจากการสร้างผลงานและรับการแต่งตั้งจากองค์จักรพรรดิ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD