งานเลี้ยงซึ่งมีเจ้าภาพเป็นถึงจวนเสนาบดี ผู้ใดบ้างจะกล้าพูดว่าไม่ยิ่งใหญ่ ผู้ใดบ้างจะกล้าพูดว่าฟุ้งเฟ้อจนเกินไป โดยเฉพาะสกุลลี่ที่ขึ้นชื่อว่าถือภาพลักษณ์และหน้าตาเป็นอันดับหนึ่ง
“สุขสันต์วันเกิดขอรับ คุณหนูลี่”
คำอวยพรที่ส่งเสียงมาเป็นระยะๆ จากแขกผู้ได้รับการคัดเลือกจากบิดา ส่งผลให้เด็กสาวตอบรับคำอวยพรที่กว่ากึ่งหนึ่งไร้ความจริงใจเหล่านั้นด้วยรอยยิ้ม
จะมีสักกี่คนกัน...ที่มาร่วมงานเพราะต้องการอวยพรนางด้วยใจจริง?
ลี่หยวนรู้ดีว่านางเรียกร้องมากไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนางไม่ใช่แค่เด็กสาวอายุสิบสี่ธรรมดาคนหนึ่งอีกต่อไปแล้ว
นัยน์ตาสีน้ำหมึกของผู้คิดกวาดมองการตกแต่งที่ดูมากเกินกว่าจะสถานที่จัดงานให้แก่เด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะคนหนึ่ง นางคุ้นชินกับการใช้เงินตราแสดงความโอ่อ่ามั่งคั่งของบิดาบุญธรรมมนานแล้ว ก่อนหน้านี้ลี่หยวนคนเก่าก็ไม่เคยใส่ใจเพราะมัวแต่เอาเวลาไปไล่ตามบุรุษที่ตนไม่มีทางได้หัวใจอย่างโง่งม
นางตัดสินใจแน่วแน่ หากนางไม่สามารถเปลี่ยนความคิดของท่านพ่อที่แต่เดิมเป็นคนขององค์ชายสี่ นางก็ต้องหาวิธีดึงทรัพย์สมบัติบางส่วนมาเป็นทุนส่วนตน เพราะหลังจากที่วายร้ายในเรื่องถูกกำจัดลง สกุลลี่อันเป็นเสาหลักค้ำจุนก็ต้องล้มตาม ดังนั้นหากนางบริหารเงินบางส่วนเอง ท่านพ่อก็อาจจะมีชีวิตอยู่ต่อได้อย่างไม่ลำบากจนเกินไปนัก
ลี่หยวนครุ่นคิดไปเรื่อยเปื่อยเพราะยังไม่เจอผู้ใดที่คุ้นหน้าคุ้นตา เสียงบรรเลงเครื่องสายถูกกลบทับด้วยเสียงพูดคุยและหัวเราะ การแสดงยังไม่เริ่มต้นจึงยังไม่มีใครนั่งประจำที่ คาดว่าคงอีกประมาณครึ่งชั่วยามกว่าสำรับอาหารจะถูกยกออกมาจากโรงครัว
ลี่หยวนคิดว่ามันคงเป็นงานเลี้ยงธรรมดาที่ไม่ได้มีอะไรพิเศษไปกว่าการพบปะพูดคุยของผู้มียศมีตำแหน่งทั่วไป หากนางก็คิดผิดเมื่อเห็นบุรุษในอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มผู้หนึ่ง
ช้าก่อน... เหตุใดพระเอกของเรื่องอย่างองค์รัชทายาทจึงได้มาปรากฎตัวอยู่ในงานของนางไปได้เล่า!
ลี่หยวนสับสนอย่างยิ่ง แต่ถึงกระนั้นก็ยังรักษาสีหน้าสงบเสงี่ยมไว้ได้ วันนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของนาง ต่อให้อยากทำตัวไม่ให้โดดเด่นอย่างไรก็คงยากที่จะหลีกเลี่ยงการพบหน้ากับเหล่าผู้มีตำแหน่ง
“ท่านพ่อ” นางตัดสินใจเดินเข้าไปหาบิดา
เสียงหวานดึงดูดความสนใจจากผู้ใหญ่สองคนที่กำลังพูดคุยกันได้ไม่ยาก ลี่หยวนทักทายท่านเสนาบดีเสร็จก็หันหน้าไปหาบุรุษวัยสามสิบต้นๆ อีกคนหนึ่ง
“ท่านอาฟาง”
“ลี่หยวนเองหรอกหรือ” ท่านโหว[1] ผู้เลื่องชื่อยกยิ้ม ร่างใหญ่โตจากการฝึกฝนร่างกายอย่างสม่ำเสมอโน้มตัวลงมามองนางซึ่งตัวเล็กกว่า “ข้าไม่ได้พบเจ้ามาสี่ปีได้แล้วกระมัง พี่ลี่ บุตรสาวของท่านงดงามถึงเพียงนี้ เห็นทีคงไม่ต้องรอผ่านพิธีปักปิ่น ก็คงมีหนังสือขอหมั้นหมายหลั่งไหลเข้ามาไม่หยุดหย่อน”
“พี่ฟางก็กล่าวเกินไป” สายตาของลี่ชิวหม่าเหลือบมองไปยังบุรุษอีกคนหนึ่งซึ่งยืนเสวนากับกลุ่มบัณฑิตจากตระกูลเก่าแก่ตรงอีกมุมหนึ่งของห้อง “ลี่หยวนยังเด็กนัก”
ลี่หยวนมองตามสายตาของบิดาก่อนจะลอบถอนหายใจ มีหรือที่นางจะไม่รู้ว่าท่านพ่อเองก็คาดหวังจะให้นางได้หมั้นหมายแต่งงานกับองค์ชายสี่
หากเป็นลี่หยวนคนก่อนก็คงจะมีความมุ่งมั่นปรารถนาไม่ต่างจากบิดา แต่ว่านางยามนี้เริ่มอยากรู้จักกับบุรุษอื่นเพื่อหาทางรอดให้ตนเองมากกว่า
“ท่านอาฟางเจ้าคะ ผิวของท่านเข้มขึ้นมาก แดดที่ชายแดนร้อนมากหรือเจ้าคะ”
ฟางอวี้เอามือลูบคาง “อืม ก็ร้อนกว่าเมืองหลวงอยู่พอควรนะ”
“แล้วสตรีที่ชายแดนงดงามหรือไม่”
คำถามต่อมาจากเด็กสาวทำเอาชายวัยสามสิบสี่สิบทั้งสองถึงกับตาโต
สตรีในห้องหอเอ่ยถามเยี่ยงนี้มันเหมาะสมแล้วหรือ!?
สำหรับฟางอวี้ซึ่งเป็นทหารคงไม่ถือสาเรื่องนี้เท่าไร แต่กับลี่ชิวหม่าซึ่งมองว่าบุตรสาวบุญธรรมนั้นวางตัวดีงามมาโดยตลอดถึงกับกลอกตาวนไปมา
ทว่าที่ลี่หยวนถามเช่นนี้นั้นมีเหตุผล หากนางอยู่เมืองหลวงคงไม่วายถูกดึงเข้าพัวพันกับขั้วอำนาจการเมือง ในนิยายก็มักจะบรรยายถึงแต่เหตุการณ์ในเมืองหลวง ด้วยเหตุนี้นางจึงอดคิดไม่ได้ว่า หากนางย้ายไปอยู่ที่ชายแดนคงเข้าที ไม่แน่ว่าเหตุการณ์เลวร้ายต่างๆ อาจยุติลงและนางไม่ต้องเผชิญกับพวกมันอีก
แต่หากไปตัวเปล่าคงลำบากน่าดู... เรื่องนี้คงต้องไตร่ตรองดูอีกสักหน่อย
ดูเหมือนว่าการหลอกถามข้อมูลของลี่หยวนจะไม่ค่อยราบรื่นเท่าที่ควร เมื่อบิดาของนางส่งเสียงขึ้นมา
“องค์รัชทายาท องค์ชายสี่”
เด็กสาวสูดหายใจเข้าลึก ย้ำกับตนเองว่าให้ทำตัวเป็นธรรมชาติเหมือนกับเด็กสาวอายุสิบสี่ให้มากที่สุด
“ถวายบังคมเพคะ องค์รัชทายาท องค์ชายสี่”
ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องตลกร้ายหรืออย่างไร ในนิยายเรื่องนี้ความหล่อเหลาของวายร้ายถือว่านำพระเอกไปขั้นหนึ่ง องค์รัชทายาทเป็นบุรุษสุขุมแต่ก็เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ต่างจากองค์ชายสี่ที่ใบหน้ายิ้มแย้มแต่ร้ายลึก
จะว่าไป หากจะพูดถึงบทบาทของฮ่องเต้ หากไม่มีความอำมหิตและเลือดเย็นก็คงไม่สามารถปกครองใต้หล้าได้ บางครั้งเวลานางอ่านถึงฉากที่องค์รัชทายาทใจอ่อนยอมปล่อยให้คนประสงค์ร้ายลอยนวลไปเพราะความใจดีจนภัยนั้นย้อนกลับมาทำร้ายตนเองกับนางเอกทีหลังก็รู้สึกหงุดหงิดอยู่บ่อยๆ เหมือนกัน
ลี่หยวนส่ายหน้าน้อยๆ ปัดความคิดไร้สาระในหัวออกไปแล้วยืนเยื้องอยู่ด้านหลังบิดา รอฟังสิ่งที่เขาจะพูดคุยกับแขกทั้งสอง
“ขอบพระทัยทั้งสองพระองค์ที่ให้เกียรติมางานวันเกิดของหยวนเอ๋อร์”
“ไม่ต้องเกรงใจไปหรอกท่านเสนาบดี ลี่หยวนเองก็มิใช่คนอื่นคนไกล ข้ากับนางเห็นกันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย...” ซุนโม่เฉินใช้นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มมองดูเด็กสาวในอาภรณ์สีส้มอ่อน มองด้วยระยะเวลาที่นานกว่าปกติจนกระทั่งเอ่ยปากพูดกับนางต่อ “อาภรณ์สีนี้เหมาะกับเจ้ามาก มันช่วยขับผิวของเจ้าให้ดูผ่องใสขึ้น”
“ขอบพระทัยเพคะ” ลี่หยวนปากก็กล่าวขอบคุณ แต่หัวใจก็เต้นตุ้มๆ ต่อมๆ
เขาต้องรู้แล้วแน่ๆ ว่านางเจตนาเปลี่ยนชุดใหม่...
“ลี่หยวน สุขสันต์วันเกิด” คราวนี้เป็นทีขององค์รัชทายาทบ้าง
“ขอบพระทัยเพคะ องค์รัชทายาท”
ซุนจื่อหมิง องค์รัชทายาทองค์ปัจจุบันเป็นพระโอรสองค์แรกซึ่งอายุมากกว่าซุนโม่เฉินเพียงครึ่งปี ทรงกำเนิดจากฮองเฮา ในขณะที่องค์ชายสี่ทรงกำเนิดจากกุ้ยเฟยซึ่งมีตำแหน่งต่ำกว่าขั้นหนึ่ง ดังนั้นจึงไม่แปลกที่องค์ชายใหญ่จะได้รับการตั้งแต่งเป็นรัชทายาทไปเมื่อสองปีก่อน
“จริงสิ ข้าได้ยินมาว่าฝีมือบรรเลงพิณของเจ้าไพเราะเป็นที่เลื่องลือ วันนี้เป็นวันเกิดของเจ้าทั้งที ลี่หยวน เจ้าจะใจกว้าง...แบ่งปันให้แขกทั้งหลายผู้มาร่วมอวยพรได้ฟังสักเพลงได้หรือไม่” องค์รัชทายาทตรัสยิ้มๆ ทว่าสายพระเนตรหาได้ตั้งใจมองนางแม้แต่น้อย
ลี่หยวนหลุบตามองพื้น
แท้จริงแล้ว องค์รัชทายาทมีเรื่องอยากพูดคุยกับฟางอวี้ตามลำพังต่างหาก...
ความอึดอัดที่เกิดจากความตระหนักได้ว่านางยังคงต้องไหลไปตามบทบาทของตัวละครที่ถูกกำหนดมา ก่อเกิดเป็นความรู้สึกอันหลากหลายที่ยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูด
“เพคะ”
ได้เล่นพิณก็ดี... อย่างน้อยก็ดีกว่าต้องมายืนมองเหล่าองค์ชายสองพี่น้องฟาดฟันหั่นเฉือน นางก้มหน้ามองสายพิณถือว่าน่าสนใจมากกว่ากันตั้งเยอะ
[1] โหว คือตำแหน่งทางผู้กุมอำนาจทางการทหารในสมัยโบราณ มีตำแหน่งรองลงมาจาก อ๋องและกง มักได้ตำแหน่งจากการสร้างผลงานและรับการแต่งตั้งจากองค์จักรพรรดิ