2
โลหิตบนสายพิณ
งานเลี้ยงวันเกิดของคุณหนูสกุลลี่ยังคงดำเนินต่อไป...
ลี่หยวนใช้มือกุมอกหวังลดความตรึงเครียดจากการพยายามเค้นหาข้อมูลจากนิยายเรื่องนี้ในความทรงจำของตัวเอง
ความจริงในระหว่างที่อ่านนิยาย นักอ่านก็มักจะสนใจแต่พระเอกกับนางเอกเสียเป็นส่วนใหญ่ ทุกครั้งที่ผู้ช่วยวายร้ายอย่างลี่หยวนปรากฎตัวออกมา ก็มักจะถูกต่อว่าสารพัด หลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘สตรีผู้นี้ว่าฉลาดในเรื่องที่ไม่ควรฉลาด และโง่งมในเรื่องที่ไม่ควรจะโง่’
นี่มันกรรมตามสนองแท้ๆ...
“คุณหนูเจ้าคะ”
เด็กสาวรู้ตัวอีกครั้งก็เป็นยามที่ตนเองถูกนำไปยังพื้นยกสูงของเวที พิณห้าสายวางโดดเด่นอยู่เบื้องหน้า ยามนี้สำรับอาหารจากโรงครัวมาถึงแล้ว ทุกคนต่างก็นั่งประจำที่พร้อมกับหันหน้ามาทางนางโดยพร้อมเพรียงกัน
ถ้าไม่ใช่เพราะนางเคยทำงานเป็นสตั๊นแมนมาก่อน ป่านนี้คงประหม่าจนตัวแข็งทื่อไปแล้ว
ลี่หยวนถือว่าเป็นสตรีที่มีพรสวรรค์ ศาสตร์ทั้งสี่แขนงของกุลสตรี ไม่ว่าจะเป็นดีดพิณ ปักผ้า ร่ายรำ โครงกลอน นางล้วนร่ำเรียนมาจนแตกฉาน จากอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงซึ่งบิดาเป็นผู้จัดหาให้
อาจเป็นเพราะความรักของลี่ชิวหม่า หรืออาจจะเป็นเพราะต้องการใช้นางเป็นหมาก...
ทำอย่างไรได้ การเป็นสตรีในยุคสมัยโบราณ นางยังจะคาดหวังอันใดได้อีก?
นิ้วเรียวบางน่าทะนุถนอมไล้มือลงไปบนสายพิณ ขณะที่สรรพสิ่งรอบข้างเงียบสงบลงอย่างรวดเร็ว
ลี่หยวนเริ่มบรรเลงเพลงที่นางร่ำเรียนมา บทเพลงที่นางเลือกในงานวันเกิดของตนเองชื่อว่า ‘ผีเสื้อเริงร่า’ เป็นดนตรีที่สะท้อนเรื่องราวของฝูงผีเสื้อที่โผบินในฤดูใบไม้ผลิ
ทว่าบทเพลงของนาง... กลับมีท่วงทำนองที่อึมครึม ชวนให้ผู้คนนึกถึงผีเสื้อถูกแช่แข็งในหิมะกลางฤดูเหมันต์ก็มิปาน
ลี่หยวนไม่รู้ตัวเลยว่า ความรู้สึกนึกคิดของตนกำลังสื่อออกไปทางบทเพลง หากเป็นผู้ที่ฟังดนตรีจนเชี่ยวชาญย่อมฟังออก ซึ่งนั่นก็รวมไปถึงราชนิกูลทั้งสองที่ให้เกียรติมาร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้
ในใจของเด็กสาววัยสิบสี่กำลังสับสน... ดิ้นรน... และตัดพ้อ
ทันใดนั้นหยาดน้ำตาไหลรินออกมาจากดวงตาที่ปิดสนิทของผู้บรรเลง แต่ขณะเดียวกันก็ราวกับภาพที่เกิดขึ้นเป็นเพียงภาพลวงตาเมื่อต่อมา...จังหวะดนตรีก็เปลี่ยนเป็นทำนองกระแทกกระทั้น ประหนึ่งพายุลูกใหญ่ที่โหมทำลายทุกสรรพสิ่ง
ทรงพลังและน่าสะพรึงกลัว เสมือนความอัดอั้นตันใจที่สุมอยู่ในอกได้ปะทุระเบิดออกมาในคราเดียว
แม้จะเจ้าอารมณ์... แต่ก็มีความกล้าหาญ กล้าได้กล้าเสีย
ซุนโม่เฉินคิดพลางเบนสายตาไปยังองค์รัชทายาทผู้กำลังจับจ้องร่างบางบนเวทีสูงตาไม่กะพริบ ตั้งแต่เมื่อใดกันที่เด็กหญิงตัวเล็กที่เอาแต่ร้องไห้ในวันวานกลายเป็นสตรีที่เสน่ห์ลึกซึ้ง และทรงพลังเยี่ยงนี้
ทุกสายตาทั่วห้องโถงล้วนจดจ้องบุตรีของท่านเสนาบดีดุจดั่งตกอยู่ในห้วงมนต์สะกด น้ำชาและอาหารรสเลิศบนโต๊ะต่างไม่ได้รับการแตะต้อง กลุ่มควันล่องลอยขึ้นที่สูงก่อนจะจางหาย หลงเหลือเพียงความเย็นชืดที่มิอาจดึงดูดความสนใจจากผู้ใดได้
ข้อมือของลี่หยวนที่ขยับไม่หยุดสั่นระริก เม็ดเหงื่อผุดขึ้นบนใบหน้าที่แต่งแต้มด้วยเครื่องประทินโฉมบางเบาหยดแล้วหยดเล่า น้ำตาที่มีอยู่เหือดหาย มุมปากที่ปิดสนิทกดลงเมื่อเพลงพิณของตนใกล้จะจบลง
ในระหว่างนั้นเอง เด็กสาวก็ช้อนสายตาจากพิณขึ้นมาสบตาซุนโม่เฉิน แววตาของนางมิใช่แววตาแข็งกร้าวถือดี หากแต่เป็นแววตาเด็ดเดี่ยวที่ฉายฉัดว่าจะไม่ยอมจำนนให้แก่เขา!
พระพักตร์ขององค์ชายสี่พลันปรากฎรอยยิ้ม หากแต่เป็นรอยยิ้มที่ทำเอาลี่หยวนหนาวยะเยือกเข้าสู่แกนกระดูก
ถ้าหากเป้าหมายที่วายร้ายของเรื่องต้องการทำลายเบนจากพระเอกกับนางเอกมาหานางละก็...
พรวด!
ลี่ชิวหม่าผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้เมื่อเห็นบุตรสาวที่หน้าซีดเผือดกระอักโลหิตออกมา
ของเหลวสีแดงสดสาดลงบนสายพิณ ภายในงานเลี้ยงฉลองวันเกิดเสียงร้องด้วยความแตกตื่นตกใจ
“หยวนเอ๋อร์!”
ลี่หยวนพยายามประคองสติเอาไว้ ทว่าภาพเบื้องหน้ากลับไหววูบไปมา สิ่งที่นางเห็นเป็นอย่างสุดท้ายคือสายพระเนตรขององค์ชายสี่ คาดว่ามันคงเป็นนางฝันร้ายติดตานางไปอีกหลายคืน
“ท่านหมอ อาการของหยวนเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง”
เสียงเข้มจากท่านเสนาบดี ส่งผลให้ผู้ที่แสร้งหลับอยู่บนเตียงหันหน้าเล็กน้อย เป็นเพราะนางนอนนิ่งอยู่ท่าเดิมมานานจึงรู้สึกเมื่อย นับว่ายังดีที่ชิงช่ายส่งเสียงกระแอมไอทางด้านหลังช่วยเตือนสติ ลี่หยวนจึงยับยั้งช่างใจไว้ได้
“เรียนท่านเสนาบดี อวัยวะภายในและลมปราณของคุณหนูปกติดี” น้ำเสียงของหมอชราเปี่ยมไปด้วยความคับข้องใจอย่างยิ่ง
“จะปกติได้อย่างไร! นางกระอักโลหิตและสลบไป จนป่านนี้ก็ยังไม่ฟื้น!”
คราวนี้เป็นน้ำเสียงร้อนใจจากสตรีวัยสามสิบปลายๆ ลี่หยวนเองก็คุ้นชินกับมันเป็นอย่างดี เพราะมันคือเสียงของฮูหยินใหญ่
ปกติฮูหยินใหญ่หรือท่านแม่บุญธรรมของนางมักจะเก็บตัวอยู่แต่ในเรือนเนื่องด้วยสุขภาพที่อ่อนแอ เห็นทีเรื่องที่นางกระอักเลือดระหว่างดีดพิณในงานเลี้ยงคงแพร่สะพัดไปไกลมากทีเดียว
ท่านหมอซึ่งยืนอยู่ข้างเตียงเด็กสาวเครียดมากกว่าเดิม เขามั่นใจว่าตนตรวจทานดูดีแล้วแต่ก็ไม่พบสิ่งใดผิดปกติ ร่างกายของลี่หยวนไม่มีอาการบอบช้ำภายใน ชีพจรเต้นสม่ำเสมอ อาจจะมีความคิดสับสนจนลมปราณไหลเวียนติดขัดอยู่บ้าง แต่ถึงอย่างไรมันก็ไม่หนักหนาสาหัสถึงขั้นที่จะทำให้เด็กสาวที่แข็งแรงสมบูรณ์ถึงกับกระอักเลือดออกมาได้
“เรียนท่านเสนาบดี ฮูหยิน ข้าอาจจะต้องรอดูอาการของคุณหนูอีกสักสองสามวัน แต่พวกท่านไม่ต้องกังวล ในระหว่างนี้ข้าจะจัดยาบำรุงให้คุณหนู ประเดี๋ยวอาการก็จะค่อยๆ ฟื้นตัวและหายขาดได้เอง”
เพื่อมิให้เกิดปัญหาผิดใจกัน ท่านหมอผู้อาวุโสจึงต้องกล่าวไปตามนั้น
“ขอบคุณท่านหมอ” ลี่ชิวหม่าพยักหน้า จากนั้นก็หันทางข้ารับใช้คนสนิทที่ติดตามกันมานาน “อี๋ฝาน ตามท่านหมอไปรับยา”
“ขอรับ นายท่าน”
ครั้นชายชรากับข้ารับใช้หนุ่มออกไป ผู้มีอำนาจสูงสุดในจวนแห่งนี้ก็หันไปแตะไหล่ฮูหยินเอกของตนเบาๆ “พวกเราเองก็ออกไปกันเถิด ให้หยวนเอ๋อร์ได้พักผ่อนเสียหน่อย”
ซ่งหรู่ฮวาเป็นสตรีที่งดงามมากในวัยสาว นางและพี่สาวขึ้นชื่อว่าเป็นสองพี่น้องสกุลซ่งผู้งดงามแห่งแดนเหนือ และเพราะความงามที่เลื่องชื่อนั่นเองที่ทำให้พวกนางถูกบิดาส่งมายังเมืองหลวง
พี่สาวของนางเข้าวังหลวง กลายเป็นคนโปรดของฮ่องเต้
ส่วนนางแต่งเข้าสกุลลี่ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นเพียงขุนนางขั้นที่สาม
หากจะพูดว่าตำแหน่งของลี่ชิวหม่าในวันนี้ได้มาเพราะได้รับการหนุนหลังจากครอบครัวฮูหยินตนก็คงไม่ผิดนัก พี่สาวของฮูหยินใหญ่ ซ่งมี่เซียวหรือซ่งกุ้ยเฟย พระมารดาขององค์ชายสี่ถือว่ามีรากฐานแข็งแกร่งพอที่จะคานอำนาจกับองค์รัชทายาทในเวลานี้ได้เลยทีเดียว
ซ่งหรู่ฮวาพยักหน้าพลางเหลือบมองไปทางชิงช่ายซึ่งยืนสงบนิ่งอยู่ที่มุมห้อง “ดูแลคุณหนูของเจ้าให้ดี”
“เจ้าค่ะ ฮูหยินใหญ่” เด็กหญิงวัยสิบสามย่อกายทำความเคารพ รอจนกระทั่งเจ้านายทั้งสองออกจากห้องไปแล้วจึงรีบเดินไปปิดประตู
“เฮ้อ” สาวใช้อายุน้อยถอนหายใจเฮือกใหญ่ หมุนกายเดินกลับไปหาร่างที่นอนอยู่บนเตียง
“ลืมตาได้แล้วเจ้าค่ะ คุณหนู”
ลี่หยวนหรี่ตาขึ้นมาช้าๆ ถามเสียงเบาเพื่อความมั่นใจ “ไปกันหมดแล้วใช่ไหม”
“ไปหมดแล้วเจ้าค่ะ”
ครั้นได้รับคำยืนยันจากชิงช่าย ร่างบางที่นอนตัวเกร็งมานานก็หยัดกายขึ้นมานั่งพร้อมกับบิดขี้เกียจ ฝ่ายชิงช่ายเห็นเช่นนั้นก็รีบไปรินน้ำชาให้อย่างเอาใจ
ลี่หยวนรับถ้วยน้ำชาพลางเอ่ยถาม “เช็ดเลือดบนพิณเรียบร้อยแล้วหรือยัง”
“เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”
“ดี” เด็กสาวพยักหน้าน้อยๆ ยังดีที่ชิงช่ายเป็นคนหัวไว มิเช่นนั้นหากมีผู้ใดสงสัยแล้วตรวจโลหิตบนพิณที่นางดีด เพียงไม่นานต้องรู้แน่นอนว่านั่นมิใช่เลือดของนาง
...มันคือเลือดไก่ที่ชิงช่ายแอบไปเอามาจากโรงครัว ในช่วงที่ทุกคนกำลังวุ่นวายกับการจัดเตรียมอาหารสำหรับแขกเหรื่อผู้ทรงเกียรติทั้งหลาย
ในฐานะสตั๊นแมนเก่า สิ่งที่ลี่หยวนพอจะคิดได้ในระยะเวลาที่จำกัดก็มีแค่นี้
เด็กสาวดื่มน้ำชาเสร็จก็ส่งคืนถ้วยเปล่าให้ชิงช่าย นึกย้อนไปถึงเวลาประมาณครึ่งชั่วยามก่อนเริ่มงานเลี้ยง สาวใช้คนสนิทของนางออกไปเปลี่ยนน้ำล้างหน้าให้นางทางด้านนอกกลับมาด้วยใบหน้าซีดเซียว บอกว่าตนเดินผ่านกลุ่มสาวใช้ซึ่งรับใช้ฮูหยินใหญ่ ได้ยินพวกนางพูดคุยกันเป็นเชิงว่า
“เห็นฮูหยินใหญ่เปรยว่าจะหาโอกาสดีๆ ส่งตัวคุณหนูเข้าวังหลวง”
“คุณหนูรูปโฉมงดงาม หากเข้าวังหลวงย่อมต้องพระทัยฮ่องเต้อย่างแน่นอน”
พอชิงช่ายเล่าให้นางฟังจนจบปุ๊บ ลี่หยวนก็ถึงกับยกมือทาบอก
นางมัวแต่ระแวงระวังองค์ชายสี่จนลืมมองภาพที่ใหญ่กว่าไปเสียสนิท!
ฉากแรกที่ลี่หยวนปรากฎตัวในนิยายคือลี่หยวนในฐานะที่เป็นนางกำนัลคนสนิทของซ่งกุ้ยเฟย... พระมารดาขององค์ชายสี่ ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้นางถูกส่งตัวเข้าวังหลวง ต่อให้ต้องแสร้งทำตัวว่าป่วยขี้โรค นางก็ต้องยอม
แต่ลี่หยวนก็ยังรู้สึกว่า... เท่านี้ยังไม่พอ
นางต้องหาทางไปให้ห่างจากเมืองหลวง แต่ก็ไม่ใช่ไปแบบยากลำบากหรือหนีเอาตัวรอดไปตามลำพัง นางทำใจละทิ้งครอบครัวสกุลลี่ที่ชุบเลี้ยงนางมาไม่ได้
อีกอย่าง ลี่ชิวหม่าเองก็ไม่ใช่คนโง่ อีกไม่นานเขาต้องรู้ว่านางแสร้งทำเป็นคนป่วย หรือไม่ก็อาจจะรู้ไปแล้วก็ได้
ลี่หยวนตัดสินใจว่าควรเลิกคิดมากเสีย การแสร้งป่วยของนางแม้จะสร้างความตกใจให้แขกผู้มาร่วมงานแต่ก็มิได้ถือว่าเป็นการทำให้จวนเสนาบดีต้องเสียชื่อ อย่างมากก็คงมีคนพูดถึงหรือถามถึงสักเจ็ดวันสิบวัน หลังจากนั้นข่าวก็คงเงียบหายไปเอง
นั่นคือสิ่งที่นางหวังนั่นแหละนะ...
“คุณหนู คิดว่าเรื่องในวันนี้จะทำให้ท่านไม่ต้องถูกส่งตัวเข้าวังหลวงได้แน่หรือเจ้าคะ”
สีหน้าของผู้เป็นนายเคร่งขรึม “เราคงต้องรอดูไปก่อน”
สาวใช้ตัวน้อยทำเสียงฟืดฟาดคล้ายไม่พอใจ “คุณหนูปักใจรักมั่นเพียงองค์ชายสี่ จะให้เข้าวังหลวงไปเป็นนางสนมของฮ่องเต้ได้อย่างไร”
คราวนี้ลี่หยวนถึงกับสะดุ้ง เห็นทีเรื่องที่นางชอบซุนโม่เฉินจะหยั่งรากฝังลึกอยู่ในความคิดของชิงช่ายอย่างที่ไม่มีสิ่งใดจะมาลบล้างได้อีกแล้วกระมัง
ช่างเถิด หวังว่าองค์ชายสี่ที่ทรงได้ฟังนางบรรเลงพิณจะเข้าพระทัยเสียทีว่า นางไม่ใช่สตรีหัวอ่อนที่จะทรงชักจูงไปทางไหนก็ได้ตามอำเภอใจ และการแสร้งทำเป็นคนขี้โรคนี้ก็อาจช่วยให้อีกฝ่ายเลิกคิดที่จะใช้ประโยชน์จากนางได้เสียที
หากได้ผล ก็เท่ากับว่าเป็นการจัดการกับทั้งฝั่งองค์ชายสี่และฮูหยินใหญ่ไปในคราวเดียว ปาหินก้อนเดียวฆ่านกสองตัว!