8
สถานะพิเศษ
หากเป็นลี่หยวนก่อนที่ความทรงจำในอดีตชาติจะกลับมา นางจะทำอย่างไรนะ?
เด็กสาวยอมรับว่านางแทบจำไม่ได้ ในช่วงเวลาที่เดินตามหลังเสี่ยวกัวก็มิได้มีเวลาฉุกคิดและเตรียมใจ นางอาจเผลอทำตัวให้เป็นที่ระแคะระคายของวายร้ายในเรื่องโดยไม่รู้ตัว
ต่อให้รู้ว่าซุนโม่เฉินไม่ใช่บุรุษที่เอะอะก็สังหารคน เอะอะก็ฆ่าไม่เลือกหน้า แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่า นางจะไม่กลายเป็นสิ่งที่อีกฝ่ายคิดอยากจำกัดทิ้งในวันหน้า
ก็ตัวร้ายผู้นี้... ทั้งเลือดเย็นและเด็ดขาดจะตายไป
“คุณชายขอรับ คุณหนูลี่มาถึงแล้ว”
ร่างของเสี่ยวกัวที่หลบฉากไปดึงให้ลี่หยวนหลุดออกจากห้วงคิด ชิงช่ายหยุดยืนอยู่หน้าประตูตามคำสั่งห้ามของขันทีหนุ่ม
ลี่หยวนก้าวไปในห้องตามลำพัง ดวงตาคู่งามเงยหน้ามองชายหนุ่มที่แม้จะแต่งกายด้วยชุดสามัญชนธรรมดาก็มิอาจปกปิดกลิ่นอายทรงอำนาจที่แผ่ออกมาได้อยู่ดี
ทันใดนั้น หัวใจของลี่หยวนก็พลันเต้นถี่เร็ว ความหลงใหลที่มีให้เขามาตลอดชีวิตมิอาจลบล้างให้หมดสิ้นไปในระยะเวลาอันสั้น ต่อให้สมองของนางจะตัดขาด หากหัวใจก็ยังมีความผูกพันที่มิอาจบรรยายออกมาเป็นคำพูด
พวงแก้มเด็กสาวเริ่มเจือสีท้ออย่างช่วยไม่ได้
ไม่รู้ควรจะหงุดหงิดตนเองหรือหงุดหงิดวายร้ายในเรื่องนี้ดี!
“หม่อมฉันถวายบังคมองค์ชายสี่เพคะ”
ลี่หยวนทำความเคารพอย่างนอบน้อมและอ่อนช้อย แม้ยังไม่เงยหน้าขึ้นก็สามารถรับรู้ถึงแววตาของอีกฝ่ายที่กวาดมองนางอย่างสำรวจ
“อาการป่วยของเจ้าดีขึ้นแล้วหรือ”
“ขอบพระทัยองค์ชายที่ทรงเป็นห่วง หม่อมฉันอาการดีขึ้นมากแล้วเพคะ” ลี่หยวนพูดโดยไม่เงยหน้าขึ้น
“ได้รับของขวัญจากข้าแล้วหรือยัง”
ซุนฉินโม่ถามพลางลุกจากเก้าอี้ เขาเดินเข้ามาใกล้ขณะสังเกตท่าทีเกร็งๆ ของลี่หยวนไปด้วย
“ได้รับแล้วเพคะ ของขวัญจากองค์ชายสี่ถือเป็นของล้ำค่า หม่อมฉันจะรับไว้คนเดียวก็เสียดาย จึงให้คนครัวจัดการแจกจ่ายให้กับท่านพ่อและท่านแม่ด้วย”
“ลี่หยวน”
“เพคะ”
เขาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้า เงาสีดำที่ทาบทับลงมาเพราะระดับความสูงที่แตกต่างส่งผลให้นางหายใจไม่ทั่วท้อง
นี่องค์ชายสี่ทรงแกล้งลืมหรือลืมเรื่องที่นางแสดงออกในงานวันเกิดที่ผ่านมาจริงๆ กันแน่ ไยเขาจึงปฏิบัติตนต่อนางอย่างสนิทสนมเหมือนอย่างเคยเช่นนี้
ไม่สิ...อาจจะมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ
หรือสิ่งที่นางพยายามทำในช่วงเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาจะไม่มีผลอะไรต่อเนื้อเรื่องเลยแม้แต่นิดเดียว
ใบหน้างามพลันถอดสี หากเป็นเช่นนั้นจริงก็หมายความว่าจุดจบของลี่หยวนในท้ายที่สุดก็ยังคงเหมือนเดิม!
“...ขึ้นมา”
นางมัวแต่คิดจึงไม่ทันได้ฟังคำสั่งของซุนโม่เฉิน แต่เพราะได้ยินไม่ถนัด ลี่หยวนก็จึงเงยหน้าขึ้นตามสัญชาตญาณ
สองนัยน์ตาประสาน ซุนโม่เฉินขมวดคิ้วคล้ายไม่พอใจ “ในสายตาของข้า อาการของเจ้าไม่ได้ดีขึ้นเลย”
นางคาดไม่ถึงว่าตนเองจะได้ฟังน้ำเสียงตำหนิจากปากของบุรุษที่เคยตราหน้าว่าหลอกใช้ลี่หยวนเป็นเครื่องมือ
หรือว่า... ก่อนหน้าที่ลี่หยวนกับองค์ชายสี่จะปรากฎในนิยายซึ่งถัดจากนี้ไปประมาณหนึ่งปีข้างหน้า ความสัมพันธ์ของพวกเขาจะไม่ใช่แบบนั้น?
ลี่หยวนสับสนไปหมด มิอาจมองออกได้อย่างเที่ยงแท้ว่าการกระทำของเขาเป็นเรื่องจริงหรือแค่การแสดงเท่านั้น
คลุกคลีกับนักแสดงมาก็มาก ทั้งคนที่อินกับบทบาทและพวกที่เล่นแข็งทื่อไม่มีอารมณ์ร่วม กว่าสิบปีที่คลุกคลีในวงการมายา เรื่องแบบนี้ใช่ว่านางจะดูไม่ออก
แต่ว่า... เพราะนางรู้สึกว่าการแสดงออกของเขาออกมาจากใจจริงนั่นแหละ จึงทำให้นางเริ่มรู้สึกกลัว
ถ้าหากซุนโม่เฉินไม่ได้คิดใช้นางเครื่องมือมาตั้งแต่แรกจริง อะไรกันแน่ที่ทำให้เป็นจุดเปลี่ยนระหว่างพวกเขาทั้งสอง จนกลายเป็นโศกนาฏกรรมในท้ายที่สุด
นางปวดหัวเหลือเกิน ไม่เคยคิดถึงความเป็นไปได้ในเชิงนี้มาก่อน ในนิยายบอกพื้นหลังของพระเอกกับนางเอกไว้อย่างดีเยี่ยม แต่ความสัมพันธ์ของลี่หยวนกับองค์ชายสี่ก่อนจะเริ่มเรื่องกลับมีการเกริ่นถึงแค่ผิวเผินเท่านั้น
ต่อให้มีความทรงจำจากชาติก่อน แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่านางจะสามารถอ่านใจซุนโม่เฉินได้อยู่ดี
“ไปนั่งลงเสีย”
“เพคะ” ลี่หยวนเบนแววตาสับสนของตนเองไปยังเก้าอี้ที่อยู่ใกล้ตัว เมื่อหย่อนกายลงนั่งก็มีคำถามดังตามมา
“ใครอนุญาตให้เจ้าออกจากจวนมาทั้งแบบนี้”
“...เป็นท่านอ๋องน้อยเพคะ” นางตอบเสียงเนิบนาบ ถือโอกาสโทษใครบางคนที่ทำให้นางนึกหมั่นไส้มาหลายวัน
อีกอย่าง นางยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนจึงต้องมาเล่นบทคนผิดที่ถูกตักเตือนทั้งที่มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลยสักนิด
ยามที่องค์ชายสี่มิได้อยู่ต่อหน้าผู้อื่น คนเลือดเย็นโหดร้ายที่ผู้คนว่ากันกลับมีสีหน้าเป็นกังวลถึงเพียงนี้
ทว่าลี่หยวนก็รีบส่ายหน้า
ไม่ได้... นางจะยังเชื่อใจเขาไม่ได้เป็นอันขาด!
ต่อให้ยามนี้เขาไม่ได้คิดหลอกใช้นาง ในอนาคตเขาก็หลอกใช้อยู่ดี!
เห็นทีภารกิจอีกอย่างหนึ่งได้เพิ่มขึ้นแล้ว เพื่อกันมิให้ตนเองกลายเป็นผู้ช่วยวายร้ายในวันข้างหน้า นางจะต้องหาวิธีป้องกันมิให้เกิดตัวแปรที่ทำให้ซุนโม่เฉินเปลี่ยนจากความเอ็นดูเป็นหลอกใช้
มันคือเหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลโดยตรงกับวายร้ายซึ่งเป็นตัวละครเอก หากแก้ไขมันได้ เนื้อเรื่องก็ย่อมต้องเปลี่ยนแปลงอีกอย่างแน่นอน
ก่อนหน้านี้นางมัวแต่เสียเวลากับตัวละครที่แทบไม่มีบทบาทในเรื่องอย่างตงฟางฉีมากเกินไป หากวันนี้นางไม่ยอมมาเจอองค์ชายสี่ นางคงไม่มีทางรู้ว่าตนเองกำลังเดินมาผิดทาง
ซุนโม่เฉินกดมุมปากลง “เห็นทีฉายา ‘หมอปีศาจ’ ที่เขาได้มาคงไม่ได้มีน้ำหนักอะไร”
“องค์ชาย... เหตุใดจึงได้มาอยู่ที่นี่หรือเพคะ” นางเจตนาเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อตัดโอกาสให้เขาแสดงความเป็นห่วงต่อตนเอง
ซุนโม่เฉินชะงักเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าจะเป็นฝ่ายถูกถามกลับ
ไม่เคยมีสักครั้งที่ลี่หยวนจะสนใจถามไถ่ถึงเรื่องราวของเขามาก่อน
เขามิใช่ไม่รู้ว่าลี่หยวนมีท่าทางต่อเขาต่างไปจากเดิม แต่จนกระทั่งบัดนี้เขาก็ยังคิดหาสาเหตุของอาการที่เปลี่ยนไปของนางไม่เจอ
ลี่หยวนอาจโกรธหรือน้อยใจเขาในเรื่องใดสักเรื่องหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงต้องแสดงออกถึงความใส่ใจที่มีต่อนางให้มากขึ้น
สตรีผู้นี้มีพื้นที่พิเศษในหัวใจของเขา แต่เป็นความพิเศษที่เขาจะเรียกใช้เฉพาะเวลาที่ต้องการเท่านั้น
ในอดีต ลี่หยวนในวัยเด็กเกาะติดเขาไม่ยอมห่าง รอยยิ้มสดใสและบริสุทธิ์ที่มอบให้เปรียบเสมือนน้ำทิพย์ที่ชโลมจิตใจอันเหนื่อยล้า ทำให้เขายิ้มได้ในยามที่อยู่ลับตาผู้อื่น
เขาไม่เคยแบ่งปันเรื่องราวของตนเองให้นางฟัง และนางก็ไม่เคยสนใจไถ่ถาม ราวกับสิ่งที่นางต้องการมีเพียงการได้พบและเห็นหน้าเขาเพียงอย่างเดียว เหมือนกับที่เขาต้องการเช่นนั้นกับนาง
ดังนั้นเขาจึงคิดเสมอว่าเขากับนางต่างก็มองอีกฝ่ายเป็นสิ่งพิเศษ แต่ก็หาใช่สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้
ราวกับเห็นว่านางกำลังอึดอัด ซุนโม่เฉินจึงถอยห่างและทิ้งตัวบนเก้าอี้อีกตัวหนึ่ง
“องค์ชายเพคะ”
ครั้นลี่หยวนมิได้คำตอบจากชายหนุ่ม นางจึงส่งเสียงเรียกเขาอีกครา
ซุนโม่เฉินเบนสายตามาหาเด็กสาว “ข้ามัวแต่ตำหนิตงฟางฉีในใจจึงมิได้ฟังเจ้าเมื่อครู่”
ลี่หยวนแสร้งทำเป็นพยักหน้าประหนึ่งว่าเข้าใจ ทว่าแท้จริงแล้วนางรู้ตัวดีว่าองค์ชายสี่ทรงมิต้องการให้เอ่ยถึงเหตุผลที่ทำให้ทรงประทับอยู่ที่นี่
ในเมื่อเหตุการณ์นี้มิได้เอ่ยถึงในนิยาย นางจึงมิอาจทราบ แต่อย่างน้อยขอแค่มันไม่เกี่ยวพันกับนางหรือว่าครอบครัวของนางก็พอ
“องค์ชายกำลังตำหนิท่านอ๋องน้อยหรือเพคะ” ลี่หยวนตัดสินใจคล้อยตามเขา
ซุนโม่เฉินยกยิ้มบาง “แม้ผู้คนในราชสำนักจะยกย่องเขาว่าเป็นหมออัจฉริยะ แต่จากการที่เขารักษาเจ้าไม่หาย เห็นทีคงมีแค่ความรู้ในการรักษา เจ้าเป็นสตรีที่เพิ่งฟื้นไข้แต่กลับปล่อยให้ออกมาเดินเล่นกับสาวใช้ตามลำพัง คงมิได้ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนว่ามีความเป็นไปได้ที่เจ้าอาจหมดสติเพราะความเหน็ดเหนื่อย ช่างไม่ละเอียดอ่อนเอาเสียเลย”
ลี่หยวนได้ฟังเช่นนั้นก็ยกมือขึ้นมาปิดปากพร้อมหัวเราะเล็กน้อย จินตนาการถึงภาพหมอปีศาจผู้นั้นถูกบุรุษด้วยกันหาว่า ‘ไม่ละเอียดอ่อน’ แถมผู้ที่ว่ายังเป็นวายร้ายในเรื่องที่ขึ้นชื่อเรื่องความโหดเหี้ยม คิดไปก็น่าขันนัก
ฝ่ายซุนโม่เฉินเห็นเด็กสาวดูน่ารักสมวัยมากขึ้นก็ยกมือเท้าคาง
“เห็นทีว่าในช่วงหลายวันที่ผ่านมา เจ้ากับตงฟางฉีจะสนิทกันมากขึ้นทีเดียว”
ลี่หยวนเอามือลงทันควัน “ไยองค์ชายถึงทรงคิดเช่นนั้นหรือเพคะ”
นางไม่ได้สนิทกับคนเจ้าเล่ห์พรรคนั้นเสียหน่อย!
“เพราะเจ้าหัวเราะ” นัยน์ตาของผู้พูดจ้องตรงมาที่นางคล้ายกำลังวิเคราะห์บางสิ่ง “เจ้ามิได้หัวเราะต่อหน้าข้ามานานแล้ว”
ลี่หยวนชะงัก จริงอยู่ที่นางเผลอหัวเราะเพราะนึกถึงตงฟางฉี แต่มันไม่ใช่เพราะความสนิทสนม หากเป็นความสะใจต่างหาก!
“องค์ชาย กุลสตรีที่ดีมิควรหัวเราะง่าย เมื่อครู่นี้เป็นเพราะหม่อมฉันเผลอเสียมารยาทจึงทำให้เข้าพระทัยผิด ได้โปรดอภัยแก่หม่อมฉันด้วย”