7.2 ล่อลวง

2231 Words
ณ ตำหนักบูรพา วังต้องห้าม อากาศยามบ่ายร้อนระอุผิดปกติ ร่างของชายหนุ่มซึ่งนั่งอยู่หลังโต๊ะไม้ตัวใหญ่มีบ่าวไพร่สองคนถือพัด อีกคนหนึ่งค่อยๆ ตักน้ำแข็งซึ่งเปรียบเสมือนของล้ำค่าใส่ถ้วยส่งให้นายเหนือหัว “องค์รัชทายาท น้ำแข็งเพคะ” “อืม วางไว้ตรงนั้น” ซุนจื่อหมิงไม่รีบร้อนกินน้ำแข็งแม้อากาศที่ร้อนจะทำให้เจ้าตัวมีเหงื่อเม็ดใสๆ ผุดขึ้นตามใบหน้า และเริ่มหงุดหงิดแล้วก็ตาม บัดนี้องค์รัชทายาททรงกำลังใช้ความคิดอย่างหนักจนแสดงออกทางสีหน้า ดังนั้นนอกจากจะปฏิบัติตามคำสั่ง ก็ไม่มีบ่าวคนใดกล้าส่งเสียงพูด ชายหนุ่มใช้นิ้วคลึงแหวนวงใหญ่ที่สวมอยู่รอบนิ้วโป้ง การออกว่าราชการของฮ่องเต้ในวันนี้มีบางอย่างผิดปกติ ปกติขุนนางที่สนับสนุนฝ่ายองค์ชายสี่มักจะหาเรื่องโจมตีขุนนางที่สนับสนุนเขามาโดยตลอด หากสิ่งที่เขาได้เห็นและได้ยินในวันนี้คือถ้อยคำเยินยอที่ออกนอกหน้าเกินความจำเป็น สงครามเย็นภายในราชสำนักดำเนินมาหลายปีแล้ว หากจะพูดว่าฝ่ายซุนโม่เฉินยอมแพ้คงไม่มีทางเป็นไปได้ ยิ่งผิวน้ำดูสงบมากเท่าไร คลื่นใต้น้ำย่อมมีมากเท่านั้น... มีความเป็นไปได้ว่าทางฝั่งนั้นต้องการหลอกให้พวกเขาชะล่าใจ หลังจากนั้นก็ใช้แผนการโจมตีพวกเขาให้พ่ายแพ้ภายในคราเดียว! “องค์รัชทายาทเพคะ” เสียงของนางกำนัลทางด้านหน้าปลุกชายหนุ่มออกจากห้วงภวังค์ “ว่าอย่างไร” ซุนจื่อหมิยืนขึ้นคล้ายกำลังรอคอยการมาของใครบางคน “ท่านจงซานมาถึงแล้วเพคะ” “...อ้อ” ครั้นได้ยินชื่อของผู้มาใหม่ ผู้ปกครองตำหนักบูรพาก็เคลื่อนกายไปยังเก้าอี้ตัวใหญ่ในโถงรับแขกส่วนด้านหน้า ผู้ที่มามิใช่ผู้ที่เขาสั่งให้ไปสืบข่าวทางด้านองค์ชายสี่หลังจากเสร็จการประชุมช่วงเช้า หากแต่เป็นผู้ที่เขาให้ไปสืบเรื่องราวที่จวนเสนาบดีตั้งแต่เมื่อคืน เขาทราบข่าวมาว่าตงฟางฉีกำลังพำนักอยู่ที่จวนเสนาบดีลี่ ดังนั้นจึงให้คนไปสืบดูด้วยความสงสัยเท่านั้น เมื่อทรุดกายนั่งอย่างสง่าผ่าเผย นายทหารในอาภรณ์สีเข้มก็เดินเข้ามาหาพร้อมกับทรุดเข่าข้างหนึ่งเพื่อทำความเคารพ บ่าวไพร่ทั้งหมดเดินออกไปด้านนอก ปิดประตูให้อย่างมิดชิด คอยเฝ้ามิให้ผู้ใดเข้ามารบกวน “ถวายบังคมองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ!” “ตามสบายเถิด” เพื่อมิให้เป็นการเสียเวลาซุนจื่อหมิงก็เข้าประเด็นทันที “ได้ความว่าอย่างไรบ้าง” “สาเหตุที่นางกระอักโลหิตในงานวันเกิดยังไม่ชัดแจ้ง หากหลังจากนั้นนางก็ถูกพี่ชายกลั่นแกล้งนำอาหารเสียมาให้กินจึงอาการทรุดหนัก ทางท่านอ๋องน้อย หลังจากที่ทรงพำนักอยู่ในจวนเสนาบดี นอกจากเรือนรับรองแล้ว ก็ทรงแวะเวียนไปยังเรือนของคุณหนูลี่ เรือนของลี่เตา และโรงครัวเพียงสามแห่งเท่านั้น” หลังจากได้ฟังคำรายงานของจงซาน บุรุษผู้มีสายเลือดมังกรก็พยักหน้ารับรู้ สาเหตุที่นางกระอักโลหิตในวันนั้นยังคงเป็นปริศนาอย่างนั้นหรือ? ภาพของสตรีผู้งดงามอ่อนช้อยในงานเลี้ยงกลับชัดเจนแม้จะผ่านเลยไปหลายวัน สิ่งที่เขาติดใจมิใช่แค่เหตุการณ์ที่นางกระอักเลือดต่อหน้าแขกเหรื่อทั้งหลายเพียงเรื่องเดียว การดีดพิณในวันนั้น...ดูผิวเผินแล้วอาจเป็นเพียงการแสดงอย่างหนึ่ง ทว่าท่วงทำนองที่ลี่หยวนบรรเลงกลับแฝงความหมายอันลึกซึ้ง ...ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นการส่งสัญญาณบอกกับเขาว่าตระกูลลี่ต้องการแปรพักตร์ เอาใจออกห่างจากฝั่งองค์ชายสี่ หากเขาจะด่วนตัดสินใจเรื่องนี้ไม่ได้ มันอาจเป็นกลลวงหรือเป็นเพียงอารมณ์อันฉาบฉวยของคุณหนูตระกูลลี่เพียงคนเดียวเท่านั้น ไหนจะยังมีตงฟางฉีที่ไม่เคยแสดงท่าทีสนใจสิ่งที่เกี่ยวข้องกับอำนาจและการเมืองผู้นั้นอีก การที่จู่ๆ เขารับอาสารักษาให้กับลี่หยวนอาจมีบางสิ่งแอบแฝง นึกไม่ถึงว่าภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน จวนเสนาบดีที่ไร้สีสันกลับน่าสนใจขึ้นมา เห็นที... เขาอาจได้ใช้โอกาสที่นางล้มป่วยให้เป็นประโยชน์ “ยังมีเรื่องอื่นรายงานอีกหรือไม่” จงซานใช้เวลาครุ่นคิดเพียงเสี้ยวอึดใจเดียวก็รายการต่อ “เมื่อเช้านี้ก่อนท่านเสนาบดีลี่จะเดินทางมาเข้าประชุม เขาได้พาขันทีผู้หนึ่งไปพบแม่นางลี่เพื่อมอบของขวัญ จากเครื่องแต่งกายแล้วน่าจะเป็นคนจากตำหนักองค์ชายสี่พ่ะย่ะค่ะ” ข้อมูลต่อมาสร้างความลังเลให้ซุนจื่อหมิงไม่น้อย แท้จริงแล้วความสัมพันธ์ของคุณหนูลี่กับซุนโม่เฉินยังดีอยู่อย่างนั้นหรือ? ไม่แปลกนักที่เขาจะสับสน ก่อนหน้านี้เขาเพียงแค่ต้องระมัดระวังคนจากฝ่ายองค์ชายสี่ หากบัดนี้ยังมีความผิดปกติของคนจากวังอ๋องตงฟางที่มิอาจระบุความสัมพันธ์กับจวนเสนาบดีเพิ่มมาอีกคน... หากท่านอ๋องตงฟางเลือกที่จะสนับสนุนฝ่ายซุนโม่เฉิน การถ่วงดุลอำนาจที่เคยมีอาจสั่นคลอนลงภายในพริบตา และพวกเขาจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบทันที! แววตาของผู้คิดเฉียบคมขึ้นอีกขั้น “คอยจับตาดูจวนเสนาบดีลี่ต่อไป โดยเฉพาะลี่หยวนและท่านอ๋องน้อย” “พ่ะย่ะค่ะ” จงซานค้อมคำนับเสร็จก็เร่งรุดจากไป “ทูลองค์รัชทายาท จวี๋เป่ยขอเข้าเฝ้าเพคะ” องค์รัชทายาทมิมีแม้กระทั่งเวลาในการเสวยน้ำแข็ง รีบตรัสอนุญาต “ให้เขาเข้ามา” จวี๋เป่ยฝีเท้าค่อนข้างเบากว่าจงซาน ดังนั้นเขาจึงได้รับเลือกให้ทำงานที่เสี่ยงกว่า นั่นคือการจับดูการเคลื่อนไหวของทหารภายใต้สำกัดขององค์ชายสี่ เมื่อทำความเคารพเสร็จเรียบร้อย จวี๋เป่ยก็รีบกล่าวรายงานด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ทูลองค์รัชทายาท เป็นจริงดังที่ทรงคาด บัดนี้มีทหารมากมายของฝ่ายองค์ชายสี่แต่งกายเป็นชาวบ้านเดินปะปนอยู่ทั่วเมืองหลวง คาดว่าพวกเขากำลังตามหาคนอยู่” “คน?” ซุนจื่อหมิงขมวดคิ้วเข้าหากัน “พอรู้หรือไม่ว่าเป็นใคร” จวี๋เป่ยส่ายหน้าอย่างจนปัญญา “กระหม่อมไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ ได้โปรดลงอาญาด้วย!” ด้วยเวลาที่จำกัด เขาสามารถหาข่าวได้เพียงเท่านี้ “ข้าย่อมไม่ลงอาญาเจ้า” บุรุษผู้องอาจบนที่สูงยืดหลังตรง ความคิดในหัวโลดแล่นไปมา ในเมื่อซุนโม่เฉินกล้าตามหาคนอย่างเอิกเกริก ก็ย่อมหมายความว่าคนผู้นั้นมีความสำคัญเป็นอย่างมาก เกรงว่าหากอีกฝ่ายหาตัวผู้ที่กำลังตามหาพบ มันอาจจะส่งผลกระทบมาถึงพวกเขาได้ ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกัน พวกเขาก็ควรลงมือเสียตั้งแต่เนิ่นๆ “จวี๋เป่ย เจ้านำคนของเจ้าติดตามทหารของฝ่ายนั้น เมื่อพวกเขาพบเป้าหมายแล้ว เราต้องชิงคนมาให้จงได้!” ชายหนุ่มผู้ทำงานรับใช้มานานประสานมือรับคำสั่งอย่างแข็งขัน “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไปประเดี๋ยวนี้!” นัยน์ตาเฉียบคมจ้องมองแผ่นหลังของผู้ที่เร่งรุดจากไป จากนั้นค่อยตวัดสายตากลับมายังถ้วยที่วางอยู่บนโต๊ะข้างกาย ...น้ำแข็งในถ้วยละลายเหลือเพียงน้ำ ซุนโม่เฉิน ไม่ว่าเจ้าจะมีแผนการอันใด ข้าจะไม่มีวันปล่อยให้เจ้าทำสำเร็จ! ผู้คิดเผลอใช้นิ้วคลึงลงบนแหวนหยกซึ่งสวมอยู่บนนิ้วโป้งอีกครา บัดนี้เมืองหลวงได้กลายเป็นสนามวิ่งไล่จับที่แข่งขันกันระหว่างโอรสมังกรทั้งสองเป็นที่เรียบร้อย... ล่วงเข้ายามเย็น ตะวันจวนจะลาจากผืนฟ้าสาดประกายริบหรี่ ย้อมฟ้าสีครามกลายเป็นส้มแสด “คุณหนูเจ้าคะ ท่านอ๋องน้อยทรงเตือนมิให้ท่านเดินเล่นนานเกินไป ออกมานอกจวนแบบนี้จะดีหรือเจ้าคะ ท่านเอง…ก็ยังไม่หายดีด้วย” ร่างเล็กซึ่งเดินนำอยู่ด้านหน้าหมุนกายกลับมาหาคนพูด “ผิดแล้วชิงช่าย ท่านอ๋องน้อยทรงเตือนท่านปู่ต่างหาก” ชิงช่ายอ้ำอึ้ง “แต่บ่าวคิดว่า...” ยามนั้นท่านอ๋องน้อยทอดพระเนตรคุณหนูของนางขณะตรัส นางเชื่อว่าท่านอ๋องน้อยหมายถึงคุณหนูของนางอย่างแน่นอน! “หากเจ้าจะบ่นไม่หยุดปากเช่นนี้ก็กลับไปเถิด” การพูดถึงตงฟางฉีทำให้ลี่หยวนอารมณ์ไม่ดี หลายวันมานี้นางมีเขามาวนเวียนอยู่ตลอด ยามเดินเล่นในสวนกับท่านปู่ ท่านปู่ก็เล่าเรื่องราวของชายหนุ่มผู้นั้นให้ฟังวนไปวนมา และนี่... ขนาดยามนี้ไม่เห็นหน้าก็ยังมีคนพูดถึง หรือบุรุษผู้นั้นจะมีคาถามนต์ดำหลอกหลอนผู้อื่นกันแน่! ลี่หยวนเห็นว่าตนเองโมโหไปก็ไร้ประโยชน์อันใดจึงสูดหายใจเข้าลึกๆ เดิมทีคิดจะเข้าไปฟังหมอปีศาจกับท่านปู่สนทนากันในช่วงบ่ายและรอให้เขาฝังเข็มช่วยรักษาอาการมวนท้อง แต่เมื่อคิดว่าตนจะต้องเห็นหน้าคนผู้นั้นอีกจึงตัดสินใจข่มกลั้นความอยากรู้อยากเห็นของตนเองและออกมาเดินเล่นในเมืองแก้เบื่อแทน อืม... นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้ออกมาเดินเล่นในเมืองหลังจากที่ความทรงจำในชาติที่แล้วกลับคืนมา หากคุณหนูสกุลลี่ก็นึกไม่ถึงว่าในเมืองหลวงที่แสนมั่งคั่งยามเย็นจะดูเปลี่ยวเหงาจึงเพียงนี้ เด็กสาวคิดพลางขมวดคิ้วเข้าหากันน้อยๆ หรือว่าจะเดินมาผิดแหล่ง? ทันใดนั้นในใจก็เกิดลางสังหรณ์บางอย่าง สองขาของนางหยุดเดินกะทันหัน ส่งผลให้ชิงช่ายที่จ้ำอ้าวตามอยู่ด้านหลังชนเข้าให้ “ขะ...ขออภัยเจ้าค่ะคุณหนู” ลี่หยวนไม่ถือสาเรื่องที่บ่าวชนตนเลยแม้แต่นิดเดียว “ชิงช่าย” “เจ้าคะ” คิ้วโก่งสวยขมวดเข้าหากันน้อยๆ “เรากลับจวนกันเถิด” บรรยากาศที่นางอยู่ให้ฉากเหมือนกับในภาพยนต์ไม่มีผิด ถ้ามันเงียบและโล่งขนาดนี้ย่อมหมายความว่าจะมีเหตุการณ์ยิ่งใหญ่บางอย่างตามมา และนางก็ไม่อยากจะอยู่ร่วมเหตุการณ์สำคัญอะไรในเนื้อเรื่องทั้งนั้น! คิดได้ดังนั้น ลี่หยวนก็หมุนกายหันหลัง นึกไม่ถึงว่าตำแหน่งที่ชิงช่ายควรอยู่กับแทนที่ด้วยใครอีกคนหนึ่ง นางสะดุ้งโหยงพลางเอามือทาบอก ครั้นหันหลังไปเห็นว่าเป็นเสี่ยวกัว นางก็หายใจติดขัดขึ้นมาทันควัน กลิ่นของคาวเลือดเมื่อเช้านี้หายไปแล้ว แต่ถึงอย่างไรนางก็ยังไม่อยากเข้าใกล้เขามากเกินความจำเป็นอยู่ดี เหตุใดคนของซุนโม่เฉินจึงมาอยู่ที่นี่ได้? สมองของนางทำงานอย่างรวดเร็ว เมื่อเช้านี้เสี่ยวกัวอ้างว่ามีธุระจึงมิอาจรั้งอยู่ที่จวนเสนาบดีนาน อย่าบอกนะว่าธุระเหล่านี้เกี่ยวข้องกับนางด้วย? “เสี่ยวกัว ไยท่านจึงมาอยู่ที่นี่เล่า” ขันทีหนุ่มในเสื้อผ้าเนื้อหยาบค้อมศีรษะให้นางอย่างสุภาพ ในมือของเขาถือโคมไฟสีเหลืองนวลที่เปล่งแสงเรืองรองในความมืด “ขออภัยด้วยที่ทำให้คุณหนูลี่ตกใจ วันนี้ข้าน้อยติดตามคุณชายมาเดินเล่นในเมือง พวกเราอยู่ที่ร้านน้ำชาทางด้านบน คุณชายมองลงมาที่ถนนเห็นแผ่นหลังของท่านไกลๆ จึงให้ข้ามาดู หากเป็นท่านก็ขอเชิญไปดื่มน้ำชาด้วยกัน” “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” ลี่หยวนแสร้งทำตาโตอย่างตกใจ “ช่างบังเอิญเสียจริง” ลี่หยวนช่างสมกับที่มีโชคชะตาเป็นผู้ช่วยวายร้าย นางช่างบังเอิญได้ซวยขนานแท้! เสี่ยวกัวยิ้มนิดๆ มันเป็นรอยยิ้มที่ไร้ความรู้สึกดังเช่นที่ทำกับนางเมื่อเช้า จากนั้นขันทีหนุ่มก็ผายมือไปทางตำแหน่งทางเข้าของร้านน้ำชาที่ดูผิวเผินเหมือนกลายเป็นร้านร้างเสียมากกว่า “เชิญคุณหนู” ลี่หยวนเผลอกำมือเข้าหากัน เมื่อเช้าเพิ่งได้รับของขวัญ ยามนี้หากไปเข้าเฝ้ามันอาจทำให้อีกฝ่ายเข้าใจผิด คิดว่านางอยากจะมาพบเขาด้วยความรักและเสน่หาก็ได้ แต่... นางจะปฏิเสธผู้ที่มีฐานะสูงกว่าตนได้หรือ? เด็กสาวใช้เวลาเพียงน้อยนิดเริ่มไตร่ตรองอย่างรอบคอบ สถานการณ์รอบตัวนางตอนนี้ดูต่างจากเวลาปกติ เมืองหลวงที่เจริญย่อมมีคนพลุกพล่าน ยิ่งเป็นช่วงเวลายามเย็นที่ทุกคนต่างเสร็จสิ้นจากการทำงานก็ยิ่งต้องมีคนหนาแน่น หากตอนนี้นอกจากพวกนางแล้ว...แม้แต่เงานกสักตัวก็ยังไม่มี ...ถ้านางกับชิงช่ายเดินทางกลับจวนตามลำพังก็อาจไม่ปลอดภัย ไม่ว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับซุนโม่เฉินหรือไม่ อย่างน้อยนางก็ยังได้อาศัยบารมีของคนใหญ่คนโตเพื่อความอยู่รอด พอกลับถึงจวนเมื่อไร นางค่อยหาวิธีตีตัวออกห่างจากวายร้ายในเรื่องก็ยังไม่สาย “ขอบคุณ” สุดท้ายลี่หยวนก็เลือกตอบรับคำเชิญนั้นเพราะเห็นว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในยามนี้
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD