ณ ตำหนักบูรพา วังต้องห้าม
อากาศยามบ่ายร้อนระอุผิดปกติ
ร่างของชายหนุ่มซึ่งนั่งอยู่หลังโต๊ะไม้ตัวใหญ่มีบ่าวไพร่สองคนถือพัด อีกคนหนึ่งค่อยๆ ตักน้ำแข็งซึ่งเปรียบเสมือนของล้ำค่าใส่ถ้วยส่งให้นายเหนือหัว
“องค์รัชทายาท น้ำแข็งเพคะ”
“อืม วางไว้ตรงนั้น” ซุนจื่อหมิงไม่รีบร้อนกินน้ำแข็งแม้อากาศที่ร้อนจะทำให้เจ้าตัวมีเหงื่อเม็ดใสๆ ผุดขึ้นตามใบหน้า และเริ่มหงุดหงิดแล้วก็ตาม
บัดนี้องค์รัชทายาททรงกำลังใช้ความคิดอย่างหนักจนแสดงออกทางสีหน้า ดังนั้นนอกจากจะปฏิบัติตามคำสั่ง ก็ไม่มีบ่าวคนใดกล้าส่งเสียงพูด
ชายหนุ่มใช้นิ้วคลึงแหวนวงใหญ่ที่สวมอยู่รอบนิ้วโป้ง การออกว่าราชการของฮ่องเต้ในวันนี้มีบางอย่างผิดปกติ
ปกติขุนนางที่สนับสนุนฝ่ายองค์ชายสี่มักจะหาเรื่องโจมตีขุนนางที่สนับสนุนเขามาโดยตลอด หากสิ่งที่เขาได้เห็นและได้ยินในวันนี้คือถ้อยคำเยินยอที่ออกนอกหน้าเกินความจำเป็น
สงครามเย็นภายในราชสำนักดำเนินมาหลายปีแล้ว หากจะพูดว่าฝ่ายซุนโม่เฉินยอมแพ้คงไม่มีทางเป็นไปได้
ยิ่งผิวน้ำดูสงบมากเท่าไร คลื่นใต้น้ำย่อมมีมากเท่านั้น...
มีความเป็นไปได้ว่าทางฝั่งนั้นต้องการหลอกให้พวกเขาชะล่าใจ หลังจากนั้นก็ใช้แผนการโจมตีพวกเขาให้พ่ายแพ้ภายในคราเดียว!
“องค์รัชทายาทเพคะ”
เสียงของนางกำนัลทางด้านหน้าปลุกชายหนุ่มออกจากห้วงภวังค์
“ว่าอย่างไร” ซุนจื่อหมิยืนขึ้นคล้ายกำลังรอคอยการมาของใครบางคน
“ท่านจงซานมาถึงแล้วเพคะ”
“...อ้อ” ครั้นได้ยินชื่อของผู้มาใหม่ ผู้ปกครองตำหนักบูรพาก็เคลื่อนกายไปยังเก้าอี้ตัวใหญ่ในโถงรับแขกส่วนด้านหน้า
ผู้ที่มามิใช่ผู้ที่เขาสั่งให้ไปสืบข่าวทางด้านองค์ชายสี่หลังจากเสร็จการประชุมช่วงเช้า หากแต่เป็นผู้ที่เขาให้ไปสืบเรื่องราวที่จวนเสนาบดีตั้งแต่เมื่อคืน
เขาทราบข่าวมาว่าตงฟางฉีกำลังพำนักอยู่ที่จวนเสนาบดีลี่ ดังนั้นจึงให้คนไปสืบดูด้วยความสงสัยเท่านั้น
เมื่อทรุดกายนั่งอย่างสง่าผ่าเผย นายทหารในอาภรณ์สีเข้มก็เดินเข้ามาหาพร้อมกับทรุดเข่าข้างหนึ่งเพื่อทำความเคารพ บ่าวไพร่ทั้งหมดเดินออกไปด้านนอก ปิดประตูให้อย่างมิดชิด คอยเฝ้ามิให้ผู้ใดเข้ามารบกวน
“ถวายบังคมองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ!”
“ตามสบายเถิด” เพื่อมิให้เป็นการเสียเวลาซุนจื่อหมิงก็เข้าประเด็นทันที “ได้ความว่าอย่างไรบ้าง”
“สาเหตุที่นางกระอักโลหิตในงานวันเกิดยังไม่ชัดแจ้ง หากหลังจากนั้นนางก็ถูกพี่ชายกลั่นแกล้งนำอาหารเสียมาให้กินจึงอาการทรุดหนัก ทางท่านอ๋องน้อย หลังจากที่ทรงพำนักอยู่ในจวนเสนาบดี นอกจากเรือนรับรองแล้ว ก็ทรงแวะเวียนไปยังเรือนของคุณหนูลี่ เรือนของลี่เตา และโรงครัวเพียงสามแห่งเท่านั้น”
หลังจากได้ฟังคำรายงานของจงซาน บุรุษผู้มีสายเลือดมังกรก็พยักหน้ารับรู้
สาเหตุที่นางกระอักโลหิตในวันนั้นยังคงเป็นปริศนาอย่างนั้นหรือ?
ภาพของสตรีผู้งดงามอ่อนช้อยในงานเลี้ยงกลับชัดเจนแม้จะผ่านเลยไปหลายวัน
สิ่งที่เขาติดใจมิใช่แค่เหตุการณ์ที่นางกระอักเลือดต่อหน้าแขกเหรื่อทั้งหลายเพียงเรื่องเดียว
การดีดพิณในวันนั้น...ดูผิวเผินแล้วอาจเป็นเพียงการแสดงอย่างหนึ่ง
ทว่าท่วงทำนองที่ลี่หยวนบรรเลงกลับแฝงความหมายอันลึกซึ้ง
...ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นการส่งสัญญาณบอกกับเขาว่าตระกูลลี่ต้องการแปรพักตร์ เอาใจออกห่างจากฝั่งองค์ชายสี่
หากเขาจะด่วนตัดสินใจเรื่องนี้ไม่ได้ มันอาจเป็นกลลวงหรือเป็นเพียงอารมณ์อันฉาบฉวยของคุณหนูตระกูลลี่เพียงคนเดียวเท่านั้น
ไหนจะยังมีตงฟางฉีที่ไม่เคยแสดงท่าทีสนใจสิ่งที่เกี่ยวข้องกับอำนาจและการเมืองผู้นั้นอีก การที่จู่ๆ เขารับอาสารักษาให้กับลี่หยวนอาจมีบางสิ่งแอบแฝง
นึกไม่ถึงว่าภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน จวนเสนาบดีที่ไร้สีสันกลับน่าสนใจขึ้นมา
เห็นที... เขาอาจได้ใช้โอกาสที่นางล้มป่วยให้เป็นประโยชน์
“ยังมีเรื่องอื่นรายงานอีกหรือไม่”
จงซานใช้เวลาครุ่นคิดเพียงเสี้ยวอึดใจเดียวก็รายการต่อ “เมื่อเช้านี้ก่อนท่านเสนาบดีลี่จะเดินทางมาเข้าประชุม เขาได้พาขันทีผู้หนึ่งไปพบแม่นางลี่เพื่อมอบของขวัญ จากเครื่องแต่งกายแล้วน่าจะเป็นคนจากตำหนักองค์ชายสี่พ่ะย่ะค่ะ”
ข้อมูลต่อมาสร้างความลังเลให้ซุนจื่อหมิงไม่น้อย
แท้จริงแล้วความสัมพันธ์ของคุณหนูลี่กับซุนโม่เฉินยังดีอยู่อย่างนั้นหรือ?
ไม่แปลกนักที่เขาจะสับสน ก่อนหน้านี้เขาเพียงแค่ต้องระมัดระวังคนจากฝ่ายองค์ชายสี่ หากบัดนี้ยังมีความผิดปกติของคนจากวังอ๋องตงฟางที่มิอาจระบุความสัมพันธ์กับจวนเสนาบดีเพิ่มมาอีกคน...
หากท่านอ๋องตงฟางเลือกที่จะสนับสนุนฝ่ายซุนโม่เฉิน การถ่วงดุลอำนาจที่เคยมีอาจสั่นคลอนลงภายในพริบตา
และพวกเขาจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบทันที!
แววตาของผู้คิดเฉียบคมขึ้นอีกขั้น “คอยจับตาดูจวนเสนาบดีลี่ต่อไป โดยเฉพาะลี่หยวนและท่านอ๋องน้อย”
“พ่ะย่ะค่ะ” จงซานค้อมคำนับเสร็จก็เร่งรุดจากไป
“ทูลองค์รัชทายาท จวี๋เป่ยขอเข้าเฝ้าเพคะ”
องค์รัชทายาทมิมีแม้กระทั่งเวลาในการเสวยน้ำแข็ง รีบตรัสอนุญาต “ให้เขาเข้ามา”
จวี๋เป่ยฝีเท้าค่อนข้างเบากว่าจงซาน ดังนั้นเขาจึงได้รับเลือกให้ทำงานที่เสี่ยงกว่า นั่นคือการจับดูการเคลื่อนไหวของทหารภายใต้สำกัดขององค์ชายสี่
เมื่อทำความเคารพเสร็จเรียบร้อย จวี๋เป่ยก็รีบกล่าวรายงานด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ทูลองค์รัชทายาท เป็นจริงดังที่ทรงคาด บัดนี้มีทหารมากมายของฝ่ายองค์ชายสี่แต่งกายเป็นชาวบ้านเดินปะปนอยู่ทั่วเมืองหลวง คาดว่าพวกเขากำลังตามหาคนอยู่”
“คน?” ซุนจื่อหมิงขมวดคิ้วเข้าหากัน “พอรู้หรือไม่ว่าเป็นใคร”
จวี๋เป่ยส่ายหน้าอย่างจนปัญญา “กระหม่อมไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ ได้โปรดลงอาญาด้วย!”
ด้วยเวลาที่จำกัด เขาสามารถหาข่าวได้เพียงเท่านี้
“ข้าย่อมไม่ลงอาญาเจ้า” บุรุษผู้องอาจบนที่สูงยืดหลังตรง ความคิดในหัวโลดแล่นไปมา
ในเมื่อซุนโม่เฉินกล้าตามหาคนอย่างเอิกเกริก ก็ย่อมหมายความว่าคนผู้นั้นมีความสำคัญเป็นอย่างมาก
เกรงว่าหากอีกฝ่ายหาตัวผู้ที่กำลังตามหาพบ มันอาจจะส่งผลกระทบมาถึงพวกเขาได้
ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกัน พวกเขาก็ควรลงมือเสียตั้งแต่เนิ่นๆ
“จวี๋เป่ย เจ้านำคนของเจ้าติดตามทหารของฝ่ายนั้น เมื่อพวกเขาพบเป้าหมายแล้ว เราต้องชิงคนมาให้จงได้!”
ชายหนุ่มผู้ทำงานรับใช้มานานประสานมือรับคำสั่งอย่างแข็งขัน “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไปประเดี๋ยวนี้!”
นัยน์ตาเฉียบคมจ้องมองแผ่นหลังของผู้ที่เร่งรุดจากไป จากนั้นค่อยตวัดสายตากลับมายังถ้วยที่วางอยู่บนโต๊ะข้างกาย
...น้ำแข็งในถ้วยละลายเหลือเพียงน้ำ
ซุนโม่เฉิน ไม่ว่าเจ้าจะมีแผนการอันใด ข้าจะไม่มีวันปล่อยให้เจ้าทำสำเร็จ!
ผู้คิดเผลอใช้นิ้วคลึงลงบนแหวนหยกซึ่งสวมอยู่บนนิ้วโป้งอีกครา
บัดนี้เมืองหลวงได้กลายเป็นสนามวิ่งไล่จับที่แข่งขันกันระหว่างโอรสมังกรทั้งสองเป็นที่เรียบร้อย...
ล่วงเข้ายามเย็น ตะวันจวนจะลาจากผืนฟ้าสาดประกายริบหรี่ ย้อมฟ้าสีครามกลายเป็นส้มแสด
“คุณหนูเจ้าคะ ท่านอ๋องน้อยทรงเตือนมิให้ท่านเดินเล่นนานเกินไป ออกมานอกจวนแบบนี้จะดีหรือเจ้าคะ ท่านเอง…ก็ยังไม่หายดีด้วย”
ร่างเล็กซึ่งเดินนำอยู่ด้านหน้าหมุนกายกลับมาหาคนพูด “ผิดแล้วชิงช่าย ท่านอ๋องน้อยทรงเตือนท่านปู่ต่างหาก”
ชิงช่ายอ้ำอึ้ง “แต่บ่าวคิดว่า...”
ยามนั้นท่านอ๋องน้อยทอดพระเนตรคุณหนูของนางขณะตรัส นางเชื่อว่าท่านอ๋องน้อยหมายถึงคุณหนูของนางอย่างแน่นอน!
“หากเจ้าจะบ่นไม่หยุดปากเช่นนี้ก็กลับไปเถิด”
การพูดถึงตงฟางฉีทำให้ลี่หยวนอารมณ์ไม่ดี หลายวันมานี้นางมีเขามาวนเวียนอยู่ตลอด ยามเดินเล่นในสวนกับท่านปู่ ท่านปู่ก็เล่าเรื่องราวของชายหนุ่มผู้นั้นให้ฟังวนไปวนมา
และนี่... ขนาดยามนี้ไม่เห็นหน้าก็ยังมีคนพูดถึง
หรือบุรุษผู้นั้นจะมีคาถามนต์ดำหลอกหลอนผู้อื่นกันแน่!
ลี่หยวนเห็นว่าตนเองโมโหไปก็ไร้ประโยชน์อันใดจึงสูดหายใจเข้าลึกๆ เดิมทีคิดจะเข้าไปฟังหมอปีศาจกับท่านปู่สนทนากันในช่วงบ่ายและรอให้เขาฝังเข็มช่วยรักษาอาการมวนท้อง แต่เมื่อคิดว่าตนจะต้องเห็นหน้าคนผู้นั้นอีกจึงตัดสินใจข่มกลั้นความอยากรู้อยากเห็นของตนเองและออกมาเดินเล่นในเมืองแก้เบื่อแทน
อืม... นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้ออกมาเดินเล่นในเมืองหลังจากที่ความทรงจำในชาติที่แล้วกลับคืนมา
หากคุณหนูสกุลลี่ก็นึกไม่ถึงว่าในเมืองหลวงที่แสนมั่งคั่งยามเย็นจะดูเปลี่ยวเหงาจึงเพียงนี้
เด็กสาวคิดพลางขมวดคิ้วเข้าหากันน้อยๆ
หรือว่าจะเดินมาผิดแหล่ง?
ทันใดนั้นในใจก็เกิดลางสังหรณ์บางอย่าง สองขาของนางหยุดเดินกะทันหัน ส่งผลให้ชิงช่ายที่จ้ำอ้าวตามอยู่ด้านหลังชนเข้าให้
“ขะ...ขออภัยเจ้าค่ะคุณหนู”
ลี่หยวนไม่ถือสาเรื่องที่บ่าวชนตนเลยแม้แต่นิดเดียว “ชิงช่าย”
“เจ้าคะ”
คิ้วโก่งสวยขมวดเข้าหากันน้อยๆ “เรากลับจวนกันเถิด”
บรรยากาศที่นางอยู่ให้ฉากเหมือนกับในภาพยนต์ไม่มีผิด ถ้ามันเงียบและโล่งขนาดนี้ย่อมหมายความว่าจะมีเหตุการณ์ยิ่งใหญ่บางอย่างตามมา
และนางก็ไม่อยากจะอยู่ร่วมเหตุการณ์สำคัญอะไรในเนื้อเรื่องทั้งนั้น!
คิดได้ดังนั้น ลี่หยวนก็หมุนกายหันหลัง นึกไม่ถึงว่าตำแหน่งที่ชิงช่ายควรอยู่กับแทนที่ด้วยใครอีกคนหนึ่ง
นางสะดุ้งโหยงพลางเอามือทาบอก ครั้นหันหลังไปเห็นว่าเป็นเสี่ยวกัว นางก็หายใจติดขัดขึ้นมาทันควัน
กลิ่นของคาวเลือดเมื่อเช้านี้หายไปแล้ว แต่ถึงอย่างไรนางก็ยังไม่อยากเข้าใกล้เขามากเกินความจำเป็นอยู่ดี
เหตุใดคนของซุนโม่เฉินจึงมาอยู่ที่นี่ได้?
สมองของนางทำงานอย่างรวดเร็ว เมื่อเช้านี้เสี่ยวกัวอ้างว่ามีธุระจึงมิอาจรั้งอยู่ที่จวนเสนาบดีนาน อย่าบอกนะว่าธุระเหล่านี้เกี่ยวข้องกับนางด้วย?
“เสี่ยวกัว ไยท่านจึงมาอยู่ที่นี่เล่า”
ขันทีหนุ่มในเสื้อผ้าเนื้อหยาบค้อมศีรษะให้นางอย่างสุภาพ ในมือของเขาถือโคมไฟสีเหลืองนวลที่เปล่งแสงเรืองรองในความมืด
“ขออภัยด้วยที่ทำให้คุณหนูลี่ตกใจ วันนี้ข้าน้อยติดตามคุณชายมาเดินเล่นในเมือง พวกเราอยู่ที่ร้านน้ำชาทางด้านบน คุณชายมองลงมาที่ถนนเห็นแผ่นหลังของท่านไกลๆ จึงให้ข้ามาดู หากเป็นท่านก็ขอเชิญไปดื่มน้ำชาด้วยกัน”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” ลี่หยวนแสร้งทำตาโตอย่างตกใจ “ช่างบังเอิญเสียจริง”
ลี่หยวนช่างสมกับที่มีโชคชะตาเป็นผู้ช่วยวายร้าย
นางช่างบังเอิญได้ซวยขนานแท้!
เสี่ยวกัวยิ้มนิดๆ มันเป็นรอยยิ้มที่ไร้ความรู้สึกดังเช่นที่ทำกับนางเมื่อเช้า จากนั้นขันทีหนุ่มก็ผายมือไปทางตำแหน่งทางเข้าของร้านน้ำชาที่ดูผิวเผินเหมือนกลายเป็นร้านร้างเสียมากกว่า
“เชิญคุณหนู”
ลี่หยวนเผลอกำมือเข้าหากัน เมื่อเช้าเพิ่งได้รับของขวัญ ยามนี้หากไปเข้าเฝ้ามันอาจทำให้อีกฝ่ายเข้าใจผิด คิดว่านางอยากจะมาพบเขาด้วยความรักและเสน่หาก็ได้
แต่... นางจะปฏิเสธผู้ที่มีฐานะสูงกว่าตนได้หรือ?
เด็กสาวใช้เวลาเพียงน้อยนิดเริ่มไตร่ตรองอย่างรอบคอบ
สถานการณ์รอบตัวนางตอนนี้ดูต่างจากเวลาปกติ เมืองหลวงที่เจริญย่อมมีคนพลุกพล่าน ยิ่งเป็นช่วงเวลายามเย็นที่ทุกคนต่างเสร็จสิ้นจากการทำงานก็ยิ่งต้องมีคนหนาแน่น หากตอนนี้นอกจากพวกนางแล้ว...แม้แต่เงานกสักตัวก็ยังไม่มี
...ถ้านางกับชิงช่ายเดินทางกลับจวนตามลำพังก็อาจไม่ปลอดภัย
ไม่ว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับซุนโม่เฉินหรือไม่ อย่างน้อยนางก็ยังได้อาศัยบารมีของคนใหญ่คนโตเพื่อความอยู่รอด พอกลับถึงจวนเมื่อไร นางค่อยหาวิธีตีตัวออกห่างจากวายร้ายในเรื่องก็ยังไม่สาย
“ขอบคุณ”
สุดท้ายลี่หยวนก็เลือกตอบรับคำเชิญนั้นเพราะเห็นว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในยามนี้