ตอนที่ 15 กลับลั่วหยาง

1350 Words
ตอนที่ 15 กลับลั่วหยาง กู่เหว่ยหยวนขี่อาชาเหงื่อโลหิตตัวใหญ่นำด้านหน้า แผ่นหลังเหยียดตรงดูสง่าผ่าเผย ถึงแม้เหล่าราษฎรในเมืองลั่วหยางจะไม่ได้รู้ล่วงหน้าถึงการกลับมาขององค์ชายสี่ในวันนี้ ทว่าเพียงแค่ได้ยินเสียงกึกก้องของขบวนเสด็จและเสียงบอกต่อ ๆ กันต่างก็ออกมาต้อนรับกันอย่างเนืองแน่น เหล่าสตรีทั่วทั้งเมืองหลวงล้วนพกผ้าเช็ดหน้าและดอกไม้เพื่อมอบให้องค์ชายผู้สูงศักดิ์ ผู้ใดบ้างไม่หลงใหลใบหน้าที่หล่อเหลานั้น หากจะบอกว่าในบรรดาเชื้อพระวงศ์สกุลกู่แล้วนั้น กู่เหว่ยหยวนนับว่ามีสิริโฉมที่สง่างามเกินพี่น้องก็ไม่เกินจริงนัก “องค์ชายเสด็จไปปราบโจรครั้งนี้ คงได้สร้างชื่อเสียงมากขึ้นอีกแน่พ่ะย่ะค่ะ” กู่เหว่ยหยวนเอียงใบหน้าไปมองหย่งเสียน ริมฝีปากหยักกระดกยิ้มขึ้น “ชื่อเสียงหาได้สำคัญกับข้า หากไม่เพราะเสด็จแม่บังคับมีหรือข้าจะออกจากลั่วหยาง” หากไม่เพราะโสมหิมะพันปีต้นนั้น เขาหรือจะยอมออกมา แต่ก็นับว่าคุ้มค่านัก เพราะโสมเพียงต้นเดียวก็ทำให้หนิงหนิงของเขาฟื้นขึ้นมาเสียที รอยยิ้มน้อย ๆ กดลึกอยู่มุมปาก เมื่อนึกใบหน้าของคนที่อยู่ในใจ “อย่างน้อย ๆ แม่นางหลิวจะต้องชื่นชมพระองค์มากขึ้นไปอีกเป็นแน่” คราวนี้รอยยิ้มบนพระพักตร์ขององค์ชายสี่ก็ยิ่งกว้างมากขึ้น ได้ยินเพียงแค่ชื่อหัวใจชายหนุ่มก็อิ่มเอมเหลือเกิน ใจอยากจะควบม้าไปรับนางเข้าวังไปด้วยกันเสียและลักพาตัวนางกลับตำหนัก กกกอดเอาไว้ไม่ยอมปล่อยแม้ชั่ววินาที หย่งเสียนเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มออกมาบ้าง ดูเหมือนว่าองค์ชายของเขาจะมีใจต่อคุณหนูหลิวมากกมายกว่าที่เขาจะคิดได้เสียอีก แต่ก็อดจะแปลกใจไม่ได้ เพราะเหตุใดความรักขององค์ชายจึงมากะทันหันเหลือเกิน ก่อนหน้านั้นชิงชังนางเพียงใด ยามนี้ก็รักนางมากยิ่งกว่า “ไม่แน่ว่าอีกเดี๋ยวเข้าเมืองก็เจอคุณหนูหลิวมารอเหมือนทุกครั้งกระมังพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจำได้ว่า ไม่ว่าพระองค์จะเสด็จไปที่ใด คุณหนูหลิวจะต้องมาส่งและมารับเสียทุกครั้ง” “จริงของเจ้า..อาเสียนข้าเร่งไปก่อนก็แล้วกัน หนิงหนิงจะได้ไม่ต้องรอนาน” กู่เหว่ยหยวนกระตุกบังเ**ยนและควบม้าออกไปอย่างรวดเร็ว แค่คิดว่ายามนี้หลิวอวี่หนิงกำลังนั่งรอตนเองอย่างกระวนกระวาย หัวใจก็พลันกระตุกขึ้นมา เขาเองก็คิดถึงนางเช่นกัน ยิ่งควบม้าเร็วมากเท่าไร สายลมก็กระแทกใบหน้าเสียจนแดงก่ำ เขาจำได้ว่า ทุกครั้งที่เขาได้รับมอบหมายให้ออกไปจัดการที่นอกเมือง ไม่ว่าเขาจะไปดึกดื่นเพียงใด นางก็จะควบม้าออกมาส่งเขาที่หน้าประตูเมือง ยามนั้นเขาเห็นนางทำเช่นนั้น ก็หาได้รู้สึกยินดีไม่ เขายังรั้งม้าไปอยู่หน้านางและต่อว่าไปอีกหลายคำ ‘...แม่ทัพหลิวไม่ สั่งสอนเจ้าหรือว่า ทั่วทั้งแคว้นไม่มีสตรีใดขี่ม้าออกมาส่งบุรุษถึงหน้าประตูเมืองเช่นเจ้า ช่างไม่รู้จักรักษาหน้าตาตัวเองเสียบ้าง เจ้ารู้จักอับอายบ้างหรือไม่’ ยามนั้นเขาไม่ยินดีเป็นอย่างมาก เพราะทุกครั้งที่นางออกมาส่งเช่นนี้ เขามักจะถูกเหล่าพี่น้องพูดเหน็บแนมอยู่เป็นประจำ เพราะบรรดาพี่สะใภ้ของเขามิได้มีนิสัยเช่นเดียวกับพระชายาของเขา ‘เหตุใดต้องอับอายด้วยเล่า บุรุษที่พระองค์ว่าก็คือพระสวามีของหม่อมฉัน เพราะหม่อมฉันรักพระองค์สุดหัวใจ หม่อมฉันย่อมออกมาส่งพระองค์ด้วยตนเอง ขอเพียงได้เห็นว่าออกเดินทางอย่างปลอดภัย หม่อมฉันก็สบายใจแล้ว’หลิวอวี่หนิงยิ้มกว้างออกมา นางจ้องมองใบหน้าพระสวามีด้วยความรักและเป็นห่วงอย่างปิดไม่มิด อาจเพราะหลิวอวี่หนิงเติบโตขึ้นมากับเหล่าบุรุษในกองทัพ จึงทำให้นิสัยแปดในสิบส่วนของนางได้คล้ายกับบุรุษ นางไม่ชอบเรื่องจุกจิก หากมีสิ่งใดที่ชอบหรือไม่ชอบ นางก็มักจะแสดงออกมาอย่างตรงไปตรงมา หากตรงนี้มีเพียงเหล่าองครักษ์ทั้งสี่ก็คงจะไม่เป็นอะไรมากนัก ทว่าตรงนี้ยังมีเหล่าทหารในขบวนเสด็จอีกด้วย คนเหล่านั้นย่อมได้ยินคำพูดของพระชายาอย่างแน่นอน เพราะดูจากการที่ทุกคนพากันก้มหน้ามองซ้ายมองขวานั่นกู่เหว่ยหยวนเห็นดังนั้นก็โมโหเป็นอย่างมาก ‘ไร้ยางอาย!! น่ารำคาญนักช่างไม่รู้จักวางตัวเสียบ้าง เพียงแค่ต้องแต่งกับเจ้าตามพระราชโองการ ก็ทำให้ข้ารังเกียจมากพอแล้ว อย่าได้มาสร้างชื่อเสียงเน่าเหม็นให้ข้ามากไปกว่านี้’ ‘เพียงแค่พูดความในใจ เหตุใดจึงเป็นเรื่องไร้ยางอายไปได้หากหม่อมฉันไปบอกรักบุรุษอื่นต่างหากเล่าถึงจะเรียกได้ว่าไร้ยางอาย’ใบหน้าหวานพลันสลดลง ยามนั้นนางคิดเพียงว่า เชื้อพระวงศ์ช่างน่าสงสารนัก จะแสดงความรู้สึกออกมาตรง ๆ ก็ไม่ได้ สู้คนธรรมดาเช่นนางก็ไม่ได้ ‘หุบปาก!!..กลับไปเสีย ช่างเป็นสตรีที่นางรังเกียจยิ่งกว่าผู้ใด’ กู่เหว่ยหยวนควบม้าจากไป โดยไม่เหลียวหลังกลับมามองนางอีก และหลังจากนั้น ยามที่เขาเคลื่อนขบวนกลับเข้ามาในเมือง หลังจากปฏิบัติภารกิจลุล่วง ยามที่ม้าย่ำผ่านประตูเมืองมาเพียงครึ่งก้าว เขาก็มองเห็นร่างอรอยู่บนหลังม้า และมองตรงมาที่เขาด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและคนึงหา รอยยิ้มของนางกว้างจนแทบจะเห็นซี่ฟันทุกซี่ ยามนั้นเขาไม่เพียงแค่ไม่ชายตาแลนาง ทว่ายังกระตุกม้าผ่านหน้านางไปอย่างรวดเร็ว เขากลัวว่าหากช้าเพียงนิดนางอาจจะเข้ามาตะโกนบอกคิดถึงเขาก็เป็นได้... กู่เหว่ยหยวนหลับตาลง ปล่อยให้เรื่องราวเหล่านั้นตีกระแทกกลางหัวใจ สายลมที่พัดกระแทกหาได้เจ็บไม่ เมื่อเทียบกับการกระทำในครั้งนั้นของเขา หลังจากนี้ไปจะไม่มีอีกแล้ว หากนางบอกรักเขา เขาก็จะตอบกลับทุกคำ หากนางบอกว่าคิดถึงเขา เขาก็บอกกับนางว่าเขาคิดถึงนางมากกว่า ยิ่งคิดร่างหนาก็ยิ่งกระตุกม้าเร็วยิ่งขึ้น หัวใจชายหนุ่มเต้นแรง ยิ่งใกล้ประตูเมือง หัวใจก็เหมือนจะเต้นอย่างบ้าคลั่งขึ้นไปอีก เขาคิดถึงรอยยิ้มของนางเหลือเกิน ทว่าเมื่ออาชาตัวใหญ่ก้าวพ้นประตูเมืองเข้ามา เขาก็กระตุกเพื่อชะลอความเร็ว เขาหันไปยังที่ที่นางเคยรอ ทว่า..ก็มีเพียงความว่างเปล่า ไร้ร่างอรชรบนหลังม้าเช่นเคย สายตาคมกวาดมองไปทั่วผ่านเหล่าสตรีที่ออกมายืนรอรับ ไม่ว่าจะมองหาเท่าไร ก็ไม่มีร่างอรชรอยู่ในกลุ่มคนเหล่านั้น มือหนากำเชือกม้าแน่น หัวใจที่เต้นพลันกระตุกลง เหตุใดนางจึงไม่มา “องค์ชายหยุดทำไมหรือพ่ะย่ะค่ะ เกิดสิ่งใดขึ้นกระหม่อมจะเร่งไปดู” “อาเสียนเจ้าเห็นหนิงหนิงของข้าหรือไม่” หย่งเสียนพลันกวาดสายตามองไปตามข้างทางและตามโรงน้ำชาที่อยู่บนชั้นสอง ทว่าก็หาได้มีสตรีที่องค์ชายสี่อยากพบไม่ “เห็นแต่คุณหนูอินพ่ะย่ะค่ะ” “ข้าให้เจ้ามองหาใครก็บอกแค่นั้น คนอื่นหาได้คู่ควรกับสายตาข้าไม่!!” ยิ่งเป็นสตรีน่ารังเกียจเช่นอินจูหลี ยิ่งไม่คู่ควร
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD