ตอนที่14
บาดเจ็บ
“องค์ชายสี่พักก่อนดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”หย่งเสียนรีบควบม้าขนาบข้างและตะโกนออกไปด้วยสีหน้าร้อนรน
“ไม่พัก!!..” กู่เหว่ยหยวนตะโกนตอบออกไป พร้อมกับตวัดบังเ**ยนและกระทุ้งขาลงไปที่ข้างลำตัวของม้า อาชาเหงื่อโลหิตยิ่งฮึกเหิมควบออกไปเร็วขึ้นไปอีก
กู่เหว่ยหยวนกัดฟันควบม้าอย่างเร่งรีบ จะให้เขาพักได้อย่างไร กี่วันแล้วที่เขาไม่ได้พบหน้าหลิวอวี่หนิง เขาได้ข่าวจากหย่งฝานแล้วว่า นางฟื้นแล้ว และนอกจากนางจะฟื้นแล้ว อินจูหลีก็ยังไปเยี่ยมนางที่จวนอีกด้วย เขาไม่อยากจะให้นางกับสตรีผู้นั้นสนิทกันเช่นเดิม หนิงหนิงของเขาใสซื่อถึงเพียงนั้นจะตามเล่ห์เหลี่ยมของนางได้อย่างไร
หย่งเสียนหันไปสบสายตากับหย่งฟาน แววตาของสององครักษ์ดูกังวลเป็นอย่างมาก ทว่ามัวแต่จ้องมองกันเช่นนี้จะมีประโยชน์อันใด ในเมื่อหย่งเสียนพูดไม่สำเร็จ เช่นนั้นเขาจึงต้องพูดเอง องครักษ์หนุ่มกระทุ้งเท้าตีเข้าที่กลางลำตัวอาชาตัวใหญ่เร่งความเร็วขึ้นไปขนาบข้าง ก่อนจะตะโกนด้วยน้ำเสียงห่วงใย
“องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอบังอาจทูลให้องค์ชายหยุดพักก่อนได้หรือไม่”
“ข้าบอกว่าไม่พักอย่างไรเล่า อาฟานถอยออกไป โอ๊ย!!..”อาชาเหงื่อโลหิตพลันผ่อนความเร็วลดลง กู่เหว่ยหยวนยกมือกุมหน้าอกตนเอาไว้ กลิ่นคาวเลือดโชยขึ้นมา องค์ชายสี่กัดฟันแน่น ฝืนควบอาชาขึ้นไปอีก ทว่าหย่งฟานไม่ยอมให้ทำเช่นนี้ เขากระตุกบังเ**ยนควบอาชาไปดักหน้า และกระโดดลงไปคุกเข่าที่พื้น
“โปรดลงโทษด้วยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมบังอาจขัดขวางไม่ยอมให้ไปต่อ แต่ถึงวันนี้กระหม่อมจะต้องทิ้งชีวิตเอาไว้ที่นี่ ก็จะไม่ยอมให้พระองค์ฝืนพระวรกายเด็ดขาด”
“หย่งฟาน!!..เจ้าช่างบังอาจนัก”กู่เหว่ยหยวนตวาดเสียงกร้าว เตรียมจะบังคับม้าไปอีกทาง ทว่าหย่งเสียนเห็นเช่นนั้นก็รีบกระโดดลงมานั่งคุกเข่าขวางเอาไว้
“กระหม่อมก็ขอรับโทษด้วยเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”
“ดี!! ดี!! พวกเจ้าช่างบังอาจนัก”องค์ชายสี่สูดลมหายใจเข้า ทว่าความเจ็บปวดกลับแผ่กระจายขึ้นมา ร่างหนาเอนเอียงจนแทบจะตกจากหลังม้า
“กระหม่อมรู้ว่าพระองค์รีบ แต่หากพระองค์ยังฝืนเช่นนี้ นอกจากจะไปถึงช้าแล้ว อาการบาดเจ็บก็อาจจะเป็นหนักยิ่งกว่าเดิม พักก่อนเถิดพ่ะย่ะย่ะ”กู่เหว่ยหยวนยังไม่ทันจะได้ตอบออกไป ร่างหนาก็เอนลง สององครักษ์รีบวิ่งเข้ามารับเอาไว้ก่อนที่องค์ชายสี่จะตกลงกระแทกพื้น
“หมอหลวง!!..รีบมาดูอาการองค์ชายเร็วเข้า” หย่งเสียนตะโกนเสียงดังลั่น พร้อมกับอุ้มร่างองค์ชายสี่ขึ้นไปนอนบนรถม้า และปล่อยให้หมอหลวงขึ้นไปรักษา
หย่งฟานเห็นว่าเจ้านายได้รับการรักษาแล้ว เขาก็ควบอาชาออกไปเพื่อหาโรงเตี้ยมให้องค์ชายได้พัก ทว่าตอนนี้ขบวนเสด็จอยู่ห่างไกลชุมชนเมืองนัก กว่าจะเดินทางเข้าเมืองบาดแผลบนพระวรกายอาจจะฉีกอีกได้ เขาจึงเร่งให้เหล่าทหารตั้งกระโจม และจัดเวรยามเฝ้าอย่างแน่นหนา
กู่เหว่ยหยวนรู้สึกว่าตนเองหลับไปเพียงแค่แวบเดียว ทว่าความจริงแล้วเขานอนไปถึงสองวัน กว่าจะตื่นขึ้นมากระโจมแห่งนี้ก็ตั้งขึ้นมาได้สามวันแล้ว ร่างหนาลืมตาขึ้นมองเพดานข้างบน ลำคอแห้งผาก เขาค่อย ๆ หันไปมองรอบด้าน พลางยกมือขึ้นทาบบนหน้าอกตนเอง
“องค์ชายฟื้นแล้ว กระหม่อมจะไปตามหมอหลวงพ่ะย่ะค่ะ” กู่เหว่ยหยวนไม่ทันจะได้ตอบออกไป องครักษ์หนุ่มก็หายไป และกลับเข้ามาพร้อมกับหมอหลวงเสียแล้ว เขานอนหลับตานิ่ง ๆ ปล่อยให้หมอหลวงตรวจดูอาการ
“พ้นขีดอันตรายแล้วพ่ะย่ะค่ะ สามวันนี้ร่างกายได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่ ดื่มยาอีกสองเทียบ และไม่ฝืนร่างกายอีกสักสองวันก็ทรงเดินทางกลับได้แล้ว” กู่เหว่ยหยวนขมวดคิ้วขึ้น เขารู้เพียงว่าก่อนหน้านั้นสององครักษ์เข้ามาขัดขวางเอาไว้ และหลังจากนั้นเขาก็ไม่รับรู้สิ่งใดอีกเลย
“ข้าหลับไปถึงสามวันเชียวหรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ” ครั้นได้ยินคำยืนยันจากหมอหลวง องค์ชายสี่ก็พลันเบิกตาขึ้น ก่อนจะรีบยันตัวเองนั่ง ทว่าเพียงแค่ยกหัวไหล่ ใบหน้าก็เบ้ด้วยความเจ็บ เขาทิ้งตัวลงไปนอนหอบหายใจอีกครั้ง
“นานเกินไป เตรียมตัวออกเดินทางได้”
“ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ หากทรงฝืนอีกครั้ง กระหม่อมเกรงว่าบาดแผลที่เพิ่งจะสมานจะปริขาดอีกครั้ง และครั้งนี้พระองค์อาจจะไม่หลับเพียงแค่สามวัน องค์ชายก็รู้ว่าพระองค์มิได้บาดเจ็บธรรมดา ถึงแม้กระหม่อมจะขับพิษออกมาจนหมดแล้วก็ตาม”
กู่เหว่ยหยวนหมดแรงจะเถียงกับหมอหลวงผู้นี้แล้ว เขาโบกมือไล่อีกฝ่ายออกไป หากไม่ใช่หมอหลวงที่เสด็จแม่มอบให้ติดตามมาด้วย เขาคงจะจับอีกฝ่ายมัดปากไว้เสีย จะได้ไม่สั่งห้ามนั่นนี่อยู่ตลอดเช่นนี้
“อาเสียนมีจดหมายจากอาฝานบ้างหรือไม่” หย่งเสียนล้วงกระดาษใบเล็กออกมาและยื่นให้กับองค์ชายสี่ ครั้งเห็นพระองค์รับไปแล้ว เขาก็ขยับออกไปยืนรอรับใช้อยู่ที่เดิม
‘คุณหนูหลิวอยู่แต่ในจวน คุณชายจางมาหาสามครั้ง’
คุณชายจางมาหาสามครั้งเช่นนั้นหรือ กู่เหว่ยหยวนสูดลมหายใจเข้าลึก มือขยำกระดาษแผ่นเล็กเป็นก้อนและโยนทิ้งลงพื้น
“ทำลายเสีย!!” ไม่ต้องรอให้เอ่ยซ้ำหย่งเสียนก็รีบคว้าเอากระดาษแผ่นนั้นไปเผาจนไหม้ไปทั้งแผ่น
องค์ชายสี่ทิ้งตัวลงนอนบนตั่ง มือหนายกขึ้นมากุมบาดแผลตนเองเอาไว้ อาจเพราะเมื่อสักครู่ใช้แรงเหวี่ยงกระดาษมากไป บาดแผลจึงได้เจ็บขึ้นมาอีกครั้ง ยามนี้ใจเขาอยากจะโบยบินกลับไปลั่วหยางยิ่งนัก หากไม่ติดที่อาการบาดเจ็บจะกำเริบเขาคงจะเร่งเดินทางไปแล้ว ถึงแม้จะอยากไปเพียงใด ทว่าเพียงแค่เขวี้ยงกระดาษใบเดียวก็ทำเอาเจ็บแผลขึ้นมาแล้ว เช่นนั้นก็อย่าได้ไปเอ่ยถึงเรื่องขี่ม้าเลย
ก่อนหน้านั้นกู่เหว่ยหยวนถูกเรียกตัวเข้าวังหลวง เสด็จพ่อมีพระประสงค์จะส่งเขาออกมาปราบโจรภูเขาที่เมืองตงซาน แน่นอนว่ายามนั้นเขาปฏิเสธออกไป เพราะถึงอย่างไรกู่เหว่ยจื่อพี่สามของเขาก็เสนอตัวขึ้นมาก่อนแล้ว ในเมื่อเมื่อองค์ชายสามอยากเสนอหน้า เขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องขัดขวาง และอีกอย่างยามนั้น หลิวอวี่หนิงก็ยังคงไม่ฟื้นขึ้นมา แล้วเขาจะทิ้งนางไปได้อย่างไร เขาจะไม่ยอมทิ้งนางไปไหนอีกแล้ว เขาก็อยากจะพานางไปด้วยทุกที่ หากจะเกิดสิ่งใดขึ้นเขาก็พร้อมจะเอาตนเองเป็นโล่กำบังให้กับนาง
ทว่าเรื่องราวไม่ง่ายดายเช่นนั้น เสด็จแม่ไม่ต้องการให้กู่เหว่ยจื่อได้หน้าจากเสด็จพ่อ จึงได้บังคับให้เขาต้องออกมาปราบโจรที่นี่ เพื่อแลกกับโสมพันปี กู่เหว่ยหยวนไม่มีทางเลือก เขาจึงรับปากทันที แต่เหตุการณ์ของโจรภูเขาที่เมือง ตงซานเป็นเช่นไร เขาไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย เพราะชาติที่แล้วเป็นองค์ชายรองกู่เหว่ยเกาต่างหากที่เป็นคนลงมา และหากจำไม่ผิดครั้งนั้นองค์ชายรองกู่เหว่ยเกาก็ถูกพิษเช่นเดียวกันเหตุการณ์ในอดีตและปัจจุบัน คล้ายคลึงกันยิ่งนัก เพราะเขาไม่รู้ล่วงหน้า จึงต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างมาก แต่กระนั้นก็ยังพลาดท่า ถูกโจรที่จับมาเป็นเชลยลอบยิ่งลูกดอกอาบอาพิษเข้าที่หน้าอกด้ายซ้าย เหนือหัวใจไปเพียงแค่สี่ชุนเท่านั้น
แม้จะกล่าวว่าเหตุการณ์ในอดีตและปัจจุบันล้วนคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แต่เขาที่อดีตไม่เคยรับรู้เรื่องราวเหล่านี้เลย ในวันนี้จึงกล่าวได้ว่าช่างไร้ประโยชน์สิ้นดี ทว่าแม้จะระมัดระวังและวางแผนเป็นอย่างดีแต่สุดท้ายตัวเขาก็ยังพลาดท่า ถูกโจรภูเขาลอบยิงด้วยลูกดอกอาบอาพิษจนสิ้นสติและถูกจับมาเป็นเชลย