ตอนที่ 4.

1600 Words
                 แต่เขาไม่ยอมให้มันเอาล็อกเกตที่แม่ของเขาทิ้งไว้ให้ก่อนตายไป จึงเกิดการต่อสู้กันอีกครั้ง เขาตัวเล็กสู้ไม่ไหวโดนทำร้ายจนหน้าตายับเยิน แท็กซี่ดึงมีดมาหมายจะจ้วงแทงเขาให้ตาย โดยไม่คิดไว้ชีวิตเหยื่ออย่างเขา แต่                 เปรี๊ยง!!!                 ร่างของแท็กซี่โจรที่กำลังเงื้อมีดหงายหลังก่อนจะทันได้ปักมีดบนตัวเขา คนที่มาช่วยชีวิตเขายืนจังกล้าในมือถือปืนอยู่ ก่อนจะลดปืนลงเดินมาดุสภาพของเขาที่ตอนนี้นอนหายใจรวยรินหน้าแตกยับมีแต่เลือดเต็มหน้า  ชายคนนั้นเก็บปืนเหน็บเอวแล้วยอบตัวลงยืนมือมาแตะไหล่ของเขา                 “เป็นยังไงบ้าง ไหวไหมไอ้หนู” เสียงนั้นแม้ไม่นุ่มนวล แต่ก็มากพอจะทำให้คนฟังรู้สึกดี                 “ผมเจ็บ… ช่วยผมด้วย” เขาพูดออกมาได้แค่นั้น                 “เดี๋ยวฉันโทรเรียกรถพยาบาลให้ นายคงลุกไม่ไหวนอนนิ่งๆ นะ เดี๋ยวหมอก็มาช่วย”                 เขายกโทรศัพท์กดโทรเรียกรถพยาบาล แล้วเรียกลูกน้องให้มาจัดการกับศพของแท็กซี่                 “คุณไป่หลางครับ พวกเราเคลียร์พื้นที่เรียบร้อยแล้ว ขอตัวก่อนครับ”                 ลูกน้องของไปหลางจัดการเอาแท็กซี่ยัดใส่รถ แล้วขับออกจากบริเวณนั้น ปล่อยให้หวังเล่ยเทียนกับไป่หลางรอรถพยาบาลอยู่ตรงนั้น                 “คุณชื่อ ไปหล่างเหรอครับ”                 หวังเล่ยเทียนเอ่ยถาม เขามองใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่าย คล้ายต้องการจดจำผู้มีพระคุณเอาไว้ในลึกสุดใจ สักวันหากมีโอกาสเขาจะตอบแทนชายคนนี้บ้าง                 “ใช่ แต่อย่าสนใจเลย เราคงไม่ได้เจอกันอีก รถพยาบาลมาแล้วฉันคงต้องไปก่อน ระวังตัวหน่อยนะ ครั้งหน้าอาจจะไม่โชคดีเหมือนครั้งนี้”                 ไป่หลางตบบ่าเขาก่อนจะเดินหนีขึ้นรถ ปล่อยให้หมอและพยาบาลพาร่างของเขาขึ้นรถพยาบาลไป หลังจากเกิดเหตุบิดาก็ส่งเขาไปเรียนต่อที่อังกฤษ ห้าปีผ่านไปเขาเพิ่งได้พบผู้มีพระคุณอีกครั้งในวันนี้เอง แต่ไป่หลางจะจำคนที่เขาเคยช่วยได้หรือเปล่า หวังเล่ยเทียนได้แต่จ้องมองชายหนุ่มอยู่แบบนั้น                 “เชิญข้างในดีกว่าครับ ผมสั่งให้ทางร้านเตรียมอาหารรสเลิสไว้ต้อนรับคุณหลิว เชิญทางนี้ครับ”               เสียงของบิดา ทำให้หวังเล่ยเทียนหลุดจากมโนภาพในอดีต เขาขยับเดินตามหลังทุกคน โดยปล่อยให้บิดาเดินนำไปพร้อมหลิวเฟยหลงและพี่สาว โดยเลือกเดินตามไป่หลางไป เมื่อทุกคนเดินเข้าไปในห้องอาหาร มีไป่หลางและเขาเดินรั้งท้าย คล้ายเป็นโอกาสอันดีให้หวังเล่ยเทียนได้พูดคุยกับอีกฝ่าย เขายื่นมือไปจับข้อศอกของไป่หลางไว้รั้งให้หยุดเดิน อีกฝ่ายหันมามองหน้า                 “มีอะไรหรือเปล่าครับคุณชายหวัง” ไป่หลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ                 หวังเล่ยเทียนคลายมือที่จับออก “พี่ชาย พี่ชื่อไป่หลางใช่ไหมครับ” เขาเอ่ยถาม                 ไป่หลางนิ่วหน้า “ครับ ผมไป่หลางเป็นเลขาของคุณหลิวเฟยหลงครับ คุณชายรู้จักผมด้วยหรือครับ” เขามองหน้าคุณชายตระกูลหวังด้วยความสงสัย ว่าอีกฝ่ายรู้จักชื่อเขาได้อย่างไร                 “พี่จำผมได้ไหมครับ เมื่อห้าปีก่อน พี่เคยช่วยผมไว้”                 หวังเล่ยเทียนรีบทวนความหลัง เขายิ้มกว้างขึ้นใบหน้าดูกระจ่างใสเบิกบานอย่างคนดีใจ เมื่อรู้ว่าตัวเองไม่ได้จำคนผิด                 “ห้าปีก่อน...” ไป่หลางย่นคิ้ว ทบทวนความจำ ก่อนจะส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ผมจำไม่ได้ครับ”                 รอยยิ้มบนใบหน้าอ่อนใสคลายลง เมื่อได้ยินคำตอบนั้น หัวใจพองฟูพลันห่อเหี่ยวราวกับผักโดนน้ำร้อนลวก นี่ไป่หลางจำเขาไม่ได้จริงๆ ใช่ไหม หวังเล่ยเทียนถอนหายใจแรง                 “พี่จำผมไม่ได้ แต่ผมจำพี่ได้ครับ เมื่อห้าปีก่อนตอนเดือนกุมภา พี่เคยช่วยเด็กผู้ชายคนหนึ่งจากการถูกปล้น พี่ช่วยชีวิตผมไว้ผมจำได้ไม่ลืม พี่คือผู้มีพระคุณของผมครับ” หวังเล่ยเทียนเล่าความหลังให้อีกฝ่ายฟัง                 “นายคือเด็กคนนั้นเหรอ…”                 ไป่หลางนิ่งงัน ไม่คิดว่าคนที่เขาเคยช่วยไว้จะเป็นหวังเล่ยเทียน ตอนนั้นเขาขับรถแล้วปวดปัสสาวะเลยแวะข้างทาง บังเอิญเจอเด็กหนุ่มกำลังถูกทำร้ายเลยช่วยไว้ เขาจำแทบไม่ได้แล้วว่าเคยช่วยเด็กชายไว้ ผ่านมาตั้งห้าปีมันนานจนเขาแทบลืม                 “ครับ ขอบคุณพี่มากที่ช่วยชีวิตผมไว้ ขอโอกาสให้ผมทดแทนบุญคุณพี่ได้ไหมครับ”                 หวังเล่ยเทียนมีสีหน้าดีขึ้น เมื่อเห็นว่าไป่หลางจำเขาได้แล้ว อยากตอบแทนพระคุณของอีกฝ่าย                 “ไม่เป็นไร เรื่องมันผ่านไปแล้ว” ไป่หลางส่ายหน้าปฏิเสธ “เข้าไปข้างในเถอะ ไปช้าจะเสียมารยาท”                 ไป่หลางไม่อยากโอ้เอ้ต่อ เขาไม่อยากคุยกับหวังเล่ยเทียนให้มากความ แต่เด็กหนุ่มไม่ยอมจับข้อมือเขารั้งไว้ ไม่ให้เข้าไปในห้องอาหาร                 “คุณพ่อกับเจ้านายพี่ชายกำลังคุยเรื่องสำคัญกัน เขาไม่สนใจพวกเราหรอกครับ พี่มาทางนี้ดีกว่าผมมีเรื่องอยากถามพี่เกี่ยวคุณหลิว”                 หวังเล่ยเทียนลากแขนไป่หลางพาเดินออกมาข้างนอกภัตตาคาร ไป่หลางจำยอมให้เด็กหนุ่มลากออกมา ตัวเขาเองไม่จำเป็นต้องเข้าไปเฝ้าผู้เป็นนายในห้องนั้นก็ได้ แค่ดูแลอยู่ภายนอกก็พอ ที่สำคัญเขาไม่อยากฟังเรื่องการหมั้นหมายของหลิวเฟยหลงกับหวังลี่จูนัก ออกมาคุยเล่นกับหวังเล่ยเทียนคงไม่เป็นไร เพราะมีบอดี้การ์ดดูแลอยู่โดยรอบห้องอาหาร คงไม่มีใครกล้าทำอะไร                 “หยุดเรียกฉันว่าพี่ชายได้แล้ว ฉันชื่อไป่หลางเรียกชื่อฉันสิ”                 ไป่หลางนั่งลงที่ม้านั่งในสวนสาธารระ ใกล้ๆ ภัตตาคาร โดยมีหวังเล่ยเทียนตามมานั่งข้างๆ ท่าทางของเด็กหนุ่มดูตื่นเต้นและเข้ามาใกล้ชิดเขาเกินเหตุ จึงต้องปรามให้หยุดดี้ด้า                 “ครับพี่หลาง เรียกแบบนี้ได้ใช่ไหมครับ พี่ก็เรียกผมว่าอาเล่ยก็ได้นะครับ ดูสนิทสนมดี” หวังเล่ยเทียนไม่วายกวนอารมณ์                 “อยากเรียกอะไรก็ตามใจนาย มีอะไรอยากถามก็ถามมา ฉันให้เวลาสิบห้านาที” ไป่หลางบอกเสียงขรึม คล้ายรำคาญ                 หวังเล่ยเทียนยังยิ้มแป้นแล้น ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะหงุดหงิดเข้าใส่เขา ตอนนี้เขาอารมณ์ดีมีความสุขเกินกว่าจะสนใจสิ่งเล็กน้อยๆ นี่                 “มีแฟนหรือยังครับ”                 คำถามของเด็กหนุ่ม ทำเอาคนฟังขมวดคิ้ว ก่อนจะทำหน้าไม่ถูกเมื่ออีกฝ่ายหัวเราะชอบใจ                 “ฮ่า ฮ่า ฮ่า ผมหมายถึงคุณหลิวครับ ไม่ได้หมายถึงพี่หลางสักหน่อย อย่างพี่หลางหล่อๆ แบบนี้ คงมีสาวข้างกายเยอะแยะ ใช่ไหมครับ”                 “ไม่มี ฉันหมายถึงเจ้านายของฉันยังโสด ส่วนฉันก็ยังไม่มีใครเหมือนกัน”                  ไป่หลางสะบัดเสียงตอบห้วนๆ อยากตบหัวคนที่หัวเราะคิกคักนี่สักทีสองที ให้เลิกปีนเกลียว หน้าตาใส่ซื่อแบบนี้ แสบไม่ใช่เล่น ถึงจะคล้ายคิมมินจุนคนรักเก่าของผู้เป็นนาย แต่หวังเล่ยเทียนนิสัยต่างกันคนละขั้ว คิมมินจุนไม่ช่างพูด สุภาพ และกิริยาเรียบร้อยน่าเอ็นดู ไม่เคยพูดเล่นกับเขาแบบนี้ คิมมินจุนให้ความสำคัญแค่หลิวเฟยหลงไม่ลงมาคลุกคลี หรือพูดคุยกับคนรับใช้เช่นเขา ตอนนั้นเขายังไม่มีความสัมพันธ์กับผู้เป็นนาย ถูกส่งไปเรียนด้วยกันเพื่อคอยรับใช้หลิวเฟยหลง พอคิมมินจุนตายเขาถูกหลิวเฟยหลงใช้เป็นเครื่องระบายอารมณ์ ในยามที่ปรารถนา เป็นความสัมพันธ์ที่เขาไม่อาจปฏิเสธได้                 “ค่อยสบายใจหน่อย พี่ลี่จูเขาจะได้ไม่มีปัญหากับผู้หญิงของคุณหลิว พี่สาวผมเขาไม่สู้คน ถ้าต้องรับมือกับผู้หญิงของคุณหลิว พี่ลี่จูคงเอาแต่ร้องไห้กระอืดๆ” หวังเล่ยเทียนนินทาพี่สาวให้ฟัง                 “ถ้าพี่สาวนายแต่งงานกับคุณหลิว แล้วนายล่ะ” ไป่หลางถามบ้าง                 “ก็คงกลับไปเรียนต่อ อีกสองปีผมก็เรียนจบแล้ว จากนั้นค่อยกลับมาช่วยคุณพ่อทำงาน”                 หวังเล่ยเทียนวางอนาคตของตัวเองง่ายๆ เขาแค่ตั้งใจเรียนให้จบ กลับมาช่วยบิดาทำงาน พี่สาวก็แต่งงานไปแล้ว จะมีอะไรให้ห่วงอีก                 “ก็ดี ฉันว่าเรากลับเข้าไปข้างในเถอะ ฉันต้องดูแลคุณหลิว”                 ไป่หลางขยับลุกขึ้น เดินนำเข้าไปในภัตตาคาร หวังเล่ยเทียนเดินตามมาจนทัน เขายิ้มแป้นเดินเคียงข้างผู้มีพระคุณของตนด้วยหัวใจเบิกบาน พอมาถึงหน้าประตูห้องอาหาร ก็ยืนรอผู้เป็นนายอยู่ตรงนั้น หวังเล่ยเทียนยังตามเป็นเงาไม่ยอมเข้าไปข้างใน แต่ยืนคุยกับไป่หลางต่อ 
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD