17 เด็กน้อยดีใจ

1331 Words
เจาซื่อไปถึงคฤหาสน์ตระกูลจินก็ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี จินฮูหยินที่กำลังยุ่งถึงกับออกมาต้อนรับนางด้วยตนเอง กล่าวทักทายได้ไม่กี่คำน้ำตาก็ไหล “เมื่อคืนตอนหัวค่ำท่านแม่ยังดีๆ อยู่เลย แต่จู่ๆ กลางดึกอาการก็ทรุดหนัก ถึงตอนนั้นจะตามท่านหมอมาก็ไม่ทันกาลเสียแล้ว” เจาซื่อปลอบโยนสหายไปหลายคำ ต่างก็จูงแขนกันเข้าไปบริเวณห้องโถง “วันนี้ฉือหมิงได้หยุดพอดี จึงมาที่นี่ดูว่ามีอะไรพอจะช่วยได้บ้าง” จินฮูหยินมองอย่างซาบซึ้งใจ “วันหยุดของหลานชายทั้งที จะกล้ารบกวนได้อย่างไร ไหนๆ มาแล้วก็ไปจุดธูปเซ่นไหว้ฮูหยินผู้เฒ่าเสียหน่อยเถอะ” ชางฉือหมิงประคองมารดาเข้าไปโดยมิได้เอ่ยคำ หลังจากจุดธูปเคารพผู้ตายเสร็จแล้ว มารดายังคงนั่งพูดคุยปรับทุกข์กับจินฮูหยิน เสียงฝีเท้าแผ่วเบาเข้ามาใกล้ น้ำเสียงหวานดังขึ้นอย่างเอาใจ “ชางฮูหยิน น้ำชาเจ้าค่ะ” เจาซื่อพอเห็นใบหน้านั้นก็เอ่ยน้ำเสียงปลาบปลื้ม “ชางฮูหยินอะไรกัน อาหลิงเห็นข้าเป็นคนอื่นคนไกลไปแล้วหรือ” ได้ยินเช่นนี้ ดรุณีนางนั้นก็ก้มหน้าเอียงอาย ทำท่าทางชมดชม้ายพลางเอ่ยเสียงเบา “ท่านป้า” เจาซื่อยิ้มอย่างเมตตา “อีกหน่อยก็เป็นคนครอบครัวเดียวกันแล้ว อย่าได้ทำท่าห่างเหินเช่นนี้อีก” ใบหน้าของชางฉือหมิงแข็งค้าง เขาก้มลงจิบชาไม่มองผู้ใด “ฉือหมิง แม่หนูจินหลิงอุตส่าห์ยกชามาให้ด้วยตนเอง เจ้าจะไม่ทักทายน้องเสียหน่อยหรือ” เมื่อถูกมารดาดุ ชางฉือหมิงจึงเอ่ยอย่างเสียมิได้ “คุณหนูจิน” มารดาถลึงตาใส่เขาอย่างไม่ได้ดั่งใจ แต่ชางฉือหมิงไม่สนใจ เพียงนั่งหลังตรงไม่ว่อกแว่ก สายตาของเขาหลุบลงมองหน้าตัก ผู้อาวุโสสองคนสบตากัน หากไม่ติดว่าเป็นงานศพของฮูหยินผู้เฒ่าคงจะหาโอกาสให้หนุ่มสาวทั้งสองได้ทำความคุ้นเคยกัน เพียงไม่นานข่าวการเสียชีวิตของฮูหยินผู้เฒ่าคงจะกระจายไปทั่วเมืองแล้ว ผู้คนจึงเริ่มทยอยมา จินฮูหยินต้องออกไปคอยรับแขกจึงไม่ว่างสนทนาเป็นเพื่อนเจาซื่ออีก เจาซื่อเห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยขอตัว จินหลิงเป็นคนออกมาส่งถึงประตูหน้า “อาหลิง ในเรือนเจ้ากำลังยุ่ง ไม่ต้องมาส่งหรอก” เจาซื่อเอ่ยกับหญิงสาวที่ตนเองหมายตาเป็นลูกสะใภ้ “ท่านป้ากับพี่ฉือหมิงอุตส่าห์แวะมา จะไม่มาส่งได้อย่างไรเจ้าคะ” จินหลิงกล่าวพลางแอบชำเลืองมองชางฉือหมิงอย่างเขินอาย แต่ชายหนุ่มกำลังมองไปทางอื่นโดยมิได้เหลือบแลนางสักนิด เจาซื่อมองตามสายตาของเด็กสาว เห็นลูกชายตัวเองทำท่าไม่ยินดียินร้ายก็เอ่ยเสียงเย็น “ฉือหมิง!” ชางฉือหมิงดึงสายตากลับมา เขาก้มหน้าเล็กน้อยพลางกล่าว “ขอบคุณคุณหนูจิน” เจาซื่อลอบถอนใจก่อนจะหันไปปั้นยิ้มให้อีกฝ่าย “พี่ฉือหมิงเป็นคนไม่ค่อยพูด อาหลิงอย่าถือสาพี่เขาเลยนะ” ดวงตาที่จินหลิงมองอีกฝ่ายเป็นประกายชื่นชม ตั้งแต่ได้รู้ว่าตนเองหมั้นหมายกับเขา นางก็ดีใจแทบตาย นึกหลงรักเขามาโดยตลอด ตอนที่เขาแต่งไปกับลี่เซียง นางยังปิดห้องร้องไห้อยู่เป็นเดือน รถม้ามาพอดี ชางฉือหมิงจึงพยุงมารดาขึ้นรถโดยมีจินหลิงมองอยู่ข้างๆ ชางฉือหมิงรูปร่างหน้าตาสง่างาม ต่อให้ไม่พิจารณาชาติตระกูลและความรู้ความสามารถของเขา หญิงสาวมากมายล้วนอยากแต่งเป็นภรรยา เขาเป็นลูกชายคนเดียวของมารดา ย่อมต้องแบกรับความคาดหวังและภาระหน้าที่ของผู้สืบทอดบรรดาศักดิ์จิ้งหยางป๋อมาตั้งแต่เด็ก ทำให้มีอุปนิสัยเคร่งขรึมจริงจัง เรื่องบ้าบิ่นเหลวไหลที่สุดในชีวิตที่เขาเคยทำคือการแตะต้องลี่เซียงด้วยความเข้าใจผิดในคืนนั้น พอรถม้าออกวิ่ง เจาซื่อก็เอ่ยกับบุตรชาย “เป็นอย่างไร แม่หนูจินหลิงงามมากใช่หรือไม่” สตรีที่งามกว่านี้ก็เป็นภรรยาของเขาแล้ว ชางฉือหมิงมีหรือจะเห็นจินหลิงอยู่ในสายตา แต่เมื่อมารดาถามอย่างคาดหวังเขาก็จำต้องตอบอย่างเสียมิได้ “ก็ดีขอรับ” เจาซื่อพ่นลมออกจมูกอย่างหงุดหงิดใจ รู้ดีว่าบุตรชายมิได้ต้องตาจินหลิงเลยแม้แต่น้อย แต่เรื่องนี้ต้องค่อยเป็นค่อยไป จะบีบบังคับมิได้ เจาซื่อคิดว่ารอตระกูลจินจัดการเรื่องงานศพฮูหยินผู้เฒ่าเรียบร้อยแล้วจึงค่อยเดินทางไปหารือเรื่องการแต่งงานอีกสักครั้ง ตอนนี้เพิ่งเป็นยามสาย กลับถึงจวนชางฉือหมิงก็บอกมารดาว่ายังมีสำนวนคดีอีกมากต้องสะสาง เจาซื่อรู้ว่าบุตรชายเป็นคนจริงจังกับการงานจึงไม่รั้งเขาไว้ พอออกจากเรือนมารดา ชางฉือหมิงก็ตรงกลับเรือนซวี่หยางของตนโดยมิให้ผิดสังเกต เขาเอาสำนวนคดีขึ้นมาพิจารณาอยู่ประมาณครึ่งชั่วยาม จากนั้นก็เก็บเอกสารเรียบร้อย สั่งอาตงว่าหากมีคนมาให้บอกว่าเขานอนหลับ จากนั้นก็เดินลัดเลาะไปตามเส้นทางสายเล็กคดเคี้ยวที่หลบเลี่ยงสายตาผู้คนจนไปปรากฏตัวอยู่ที่เรือนชิงฟาง พอเขามาถึงก็ตรงไปยังห้องของลี่เซียง นางกำลังปักถุงหอมอย่างตั้งใจ อาเยว่นอนอยู่ในเปล เหนือเปลเด็กยังมีแมลงปอสานที่ท่านพ่อซื้อให้แขวนเอาไว้ ชางเยว่นอนมองแมลงปอตัวนั้นหมุนไปหมุนมาทุกองศาจนคิดว่าตัวเองน่าจะสานเป็นแล้ว พอได้ยินเสียงคนในห้องเอ่ยทักท่านพ่อ เด็กน้อยก็คลายสีหน้าเบื่อหน่าย รีบส่งเสียงทักทายจากในเปลตั้งแต่ยังไม่เห็นตัว ทำเอาหัวใจคนเป็นพ่อพองฟู “อาเยว่ลูกรัก” ชางฉือหมิงก้าวพรวดมาที่เปลแล้วอุ้มนางขึ้นมาชูเหนือศีรษะ สองพ่อลูกยิ้มร่าทักทายกันอย่างเบิกบานจนคนข้างๆ อดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้ แม่หนูที่ยังพูดไม่ได้ส่งเสียงเจื้อยแจ้วไม่หยุด ชางฉือหมิงกอดนางไว้แนบอกแล้วก้มลงหอมแก้มยุ้ยอย่างรักใคร่ ทักทายกันอยู่ครู่ใหญ่เขาจึงค่อยเหลือบมองไปทางภรรยา “เย็บอะไรอยู่หรือ” เมื่อคืนจากไปอย่างกะทันหัน ครั้นเจอหน้ากันอีกครั้งต่างฝ่ายต่างก็หมดความกล้าที่จะสานต่อเรื่องเมื่อคืนแล้ว ลี่เซียงวางชิ้นผ้าในมือลงแล้วสนทนากับเขาอย่างมีมารยาท “เย็บถุงหอมเจ้าค่ะ” ชางฉือหมิงพยักหน้า แววตาเปี่ยมไปด้วยความยินดี ถุงหอมนั้นสีน้ำเงิน เป็นสีที่ปกติบุรุษใช้ นางคงจะเย็บให้เขาเป็นแน่ ในใจพลันหวานล้ำ สีหน้าก็เป็นสุขขึ้นมาก เขาให้บ่าวไพร่ออกไปจากห้อง จากนั้นก็อุ้มอาเยว่ไว้บนตักแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ “เมื่อเช้าข้าเพิ่งไปงานศพฮูหยินผู้เฒ่าจิน” ลี่เซียงได้ฟังตอนแรกยังมึนงงอยู่บ้าง พอเรียบเรียงความคิดได้ก็อ้าปากค้างอย่างประหลาดใจที่เรื่องราวเกิดขึ้นอย่างกะทันหันเหลือเกิน ชางฉือหมิงเห็นสีหน้าภรรยาก็อมยิ้มอย่างนึกเอ็นดู “เรื่องรับอนุนั่น เห็นทีคงจะละเว้นไปได้ก่อน จากนี้ไปเจ้ากับอาเยว่คอยไปปรนนิบัติเอาใจท่านแม่ดีๆ ถึงตอนนั้นท่านแม่อาจจะเปลี่ยนใจแล้วก็ได้” พอชางเยว่ได้ยินเรื่องนี้ก็ตบมือหัวเราะร่าอย่างดีใจ ทำเอาผู้ใหญ่สองคนตกใจ จากนั้นก็อดหัวเราะขำขึ้นมาไม่ได้ เด็กตัวแค่นี้ไฉนทำท่าราวกับเข้าใจเรื่องราวของผู้ใหญ่ได้ดีเหลือเกิน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD