EPISODE 04-01
ภาพบาดตา
รัญกรมีข้อสงสัยมากมายเกิดขึ้นในบ้านหลังนี้ การมาเยือนของเขาทั้งสองครั้งพบเจอเหตุการณ์ประหลาดทุกครั้ง มันแปลกมากที่มีบอดี้การ์ดมากมายขนาดนั้นแต่กลับไม่มีใครเห็นว่าผู้กระทำเป็นใคร
“บ้านคุณมีบอดี้การ์ดกี่คน คัดกรองมาดีหรือเปล่า อาจจะเป็นพวกเขาก็ได้นะ การที่จับมือใครดมไม่ได้มันก็หมายความว่ามีคนในสมคบคิด”
“บอดี้การ์ดทั้งหมดก็มาจากบริษัทของผมเอง คัดกรองอย่างดีแน่นอน บริษัทรักษาความปลอดภัยนี้พ่อผมเป็นคนก่อตั้งขึ้นมา เป้าหมายก็เพื่อจะหาคนมาดูแลลูกชายทั้งสามคน แล้วบอดี้การ์ดที่คุณเห็นอยู่หน้าบ้านคือชุดใหม่ที่ถูกส่งมาทำงานที่นี่เป็นวันแรก คงไม่กล้าทำเรื่องแบบนี้ทันทีหรอก”
“นอกจากนี้ล่ะ มีใครอีกไหมที่เข้าออกบ้านคุณได้”
“ก็มีคนสวนอีกสามคนจะเข้ามาจัดสวนอาทิตย์ละครั้ง มีคนขับรถสองคนผลัดเปลี่ยนเวรกัน”
“แล้วในตัวบ้านล่ะ”
“จะมีหัวหน้าบอดี้การ์ดในแต่ละกะเข้ามารายงาน มีแม่บ้านที่จะเข้ามาแค่อาทิตย์ละสองวัน แล้วก็มีน้องชายผม มีคุณ”
การที่จิรากรยอมบอกความเคลื่อนไหวภายในบ้านให้รู้ขนาดนี้ แสดงออกว่าเชื่อใจรัญกรมากแค่ไหน เพราะถ้าอีกฝ่ายจะใช้ข้อมูลส่วนนี้หาลู่ทางเข้ามาทำร้ายเขาก็ย่อมได้ แต่ก็ไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก เพราะหากได้ต่อสู้กันตัวต่อตัวจริง ๆ ใช่ว่าจิรากรจะสู้ไม่ได้เสียเมื่อไร
“ไว้ใจใครไม่ได้เลยนะครับ ไม่แน่ว่าพื้นที่ภายในบ้านอาจจะถูกติดเครื่องดักฟังเอาไว้หมดแล้วก็ได้ ถ้าในห้องนี้ปลอดภัย คุณก็อย่าให้ใครเข้ามาเด็ดขาด อย่างน้อยก็รักษาพื้นที่ของตัวเองไว้ได้ที่หนึ่ง”
“แล้วไงต่อครับ คุณพูดต่อสิ ผมชอบฟังคุณพูด”
จิรากรเอียงตัวพิงพนักโซฟา ยกมือขึ้นเท้าคางตัวเองพลางมองคนตรงหน้าด้วยแววตาหวานหยด
หลังจากเหตุการณ์ลอบฆ่าเมื่อสามปีก่อน เขาก็เอาแต่นึกถึงนักฆ่าที่ต่อสู้กันคืนนั้นอยู่บ่อยครั้ง เคยจินตนาการไปหลากหลายว่าจะเป็นคนอย่างไร ใบหน้าที่แท้จริงจะเป็นแบบไหน นอกจากใช้กำลังเก่งแล้วเป็นคนมีทัศนคติอย่างไร
กว่าจะหารัญกรพบก็ใช้เวลาเกือบสองปี และใช้เวลาอีกหลายเดือนในการติดต่อซื้อขายที่ดินในละแวกเดียวกันเพื่อจะสร้างบ้านหลังใหม่ ทุกอย่างที่เขาลงทุนทำไปก็เพื่อจะได้พบคนคนนี้ก่อนตาย
ใครจะคิดว่าพอได้เจอกันแล้ว รัญกรก็เหมือนแมวน้อยตัวหนึ่งสำหรับเขา เป็นแมวที่เก่ง มีไหวพริบ หน้าหวาน ตัวบาง และไม่ดุเท่าไร แถมดูเป็นคนมีเหตุผลมากกว่าที่เขาคาดคิดไว้เสียอีก
“ที่ผมต้องคุยกับคุณในห้องนอนเพราะผมกลัวบริเวณอื่นจะมีการดักฟัง ผมจะบอกคุณว่าเรื่องนี้มันแปลกมาก เหมือนคนทำพยายามดึงผมเข้าไปเกี่ยวโยงกับอะไรสักอย่าง เหมือนมันต้องการอะไรจากผม ซึ่งผมคิดไม่ออกเลย”
“วันที่คุณไม่ได้เข้ามาก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่พอคุณมาก็เป็นแบบนี้ทุกที”
“แล้วคุณเชื่อผมไหมว่าผมไม่ได้ทำ?”
“เริ่มเชื่อบ้างแล้ว”
“เชื่อจากอะไร ผมขอเหตุผลประกอบ”
“เพราะคุณน่าจะเป็นคนรอบคอบกว่านั้น การที่ทำอะไรแล้วมีหลักฐานมัดตัวแบบนี้มันแปลกไปหน่อย ผมว่าการทำงานของคุณในอดีตมันไม่ธรรมดา นั่นหมายความว่าถ้าคุณจะกำจัดใครคุณเฉียบขาดมากพอที่จะทำให้จบทีเดียว ไม่ยื้อเวลาให้ผมประสาทเสียแบบนี้”
ที่พูดมาไม่ผิดเลย หากรัญกรคิดจะกำจัดแล้วละก็ ไม่มีออมมือหรือยื้อเวลาแบบนี้แน่นอน เพียงแต่ตอนนี้ทั้งคู่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าทำไมคนทำเหมือนตั้งใจจะมีเรื่องกับรัญกรให้ได้ ทำไมต้องทำเวลาที่เขาอยู่ ทำไมต้องพยายามยัดเยียดสิ่งที่เขาไม่ได้ทำมาให้เป็นความผิดเขา
“ผมขอถามคุณเป็นครั้งสุดท้ายนะคุณจิ องค์กรเก่าผมไม่ได้จ้างคุณให้มาทดสอบผมใช่ไหม?”
“ผมยังติดต่อกับพวกตลาดมืดอยู่จริง แต่เป็นเรื่องอื่น ไม่ได้ข้องแวะกับองค์กรคุณเลยตั้งแต่ภารกิจจบ หลังจากคืนนั้นผมก็รักษาแผลที่คุณทำไว้ แล้วก็ติดต่อไปขอปิดภารกิจ ทำเรื่องให้เงินไปก้อนหนึ่งฝากเป็นทิปให้คุณ”
“ผมได้ทิปจากคุณแล้วสองหมื่นบาท ขอบคุณครับ หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้ทำงานตรงนั้นแล้วเหมือนกัน”
“เดี๋ยว รัญ ผมฝากให้คุณสองล้านนะ”
“อ้อ ทำงานหักหนี้แล้วผมเหลือเท่านั้นแหละครับ คุณให้เยอะจัง ผมไม่รู้เรื่องเงินเลยว่าได้เท่าไร หักนั่นหักนี่ผมก็ได้มานิดหน่อย”
“ถ้าคุณกับผมไม่เกี่ยวข้องกับองค์กรแล้ว ก็ตัดปัจจัยตรงนี้ออก แต่ผมก็คิดไม่ออกอยู่ดีว่าระหว่างผมกับคุณมีอะไรเกี่ยวข้องกัน ไอ้คนทำถึงดูตั้งใจจะเล่นงานคุณมาก ๆ”
คิดอยู่ครู่หนึ่งก็คิดไม่ออกอยู่ดี จะปักใจเชื่อว่าเป็นคนในบ้านร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ไม่ได้เพราะไม่มีหลักฐาน ไม่มีเหตุจูงใจอะไรเลย
จิรากรถึงขั้นขอเอกสารบอดี้การ์ดชุดใหม่จากบริษัทเพื่อเปิดรูปให้รัญกรดู ว่าเขารู้จักกับใครในนี้หรือไม่ อาจมีคนรู้จักเก่าที่ไม่ชอบขี้หน้ากันก็เป็นได้ หากมีความแค้นในอดีตหลงเหลือมันก็มีเหตุจูงใจมากพอให้ชำระแค้นเมื่อมาพบเจอกันภายหลัง
แต่นั่งดูรูปไปจนครบสามสิบคน ดูวนอยู่สามรอบ รัญกรจึงส่ายหน้าเป็นคำตอบว่าเขาไม่รู้จักใครเลย นึกเหตุจูงใจที่จะทำให้คนแปลกหน้าเกลียดเขาจนอยากใส่ร้ายไม่ออก
ดูท่าคนที่ทำจะชังหน้าเขามากเป็นพิเศษด้วย เพราะการมาบ้านนี้ครั้งแรกรัญกรถูกต้อนรับด้วยการยัดศพไว้หลังรถ มันคือการขู่ที่หยาบช้ามาก
รัญกรถามย้อนไปถึงการจัดการศพนั้นว่ามีใครมีพิรุธหรือไม่ ทั้งการแสดงออกหรือออกหน้าว่าอยากรับผิดชอบ หรือเกี่ยงงานให้คนอื่นทำแทน แต่คำตอบที่ได้กลับมาก็ไม่มีอะไรส่อพิรุธได้เลยว่าเป็นหนึ่งในบอดี้การ์ดที่เหลืออยู่
ทั้งที่มีความรู้สึกชัดเจนขึ้นว่าคนทำคงเป็นหนึ่งในบอดี้การ์ดแน่นอน ก็หาจุดจับผิดได้ยากเหลือเกิน
น่าแปลกมากที่เลือกทำร้ายคนไม่มีญาติพี่น้อง ไม่มีครอบครัว และเป็นบอดี้การ์ดที่ผลัดเวรไปแล้วจึงไม่มีใครสงสัย ครั้นจะแจ้งครอบครัวหรือชดใช้อะไรก็ติดต่อไม่ได้ การที่จะรู้เรื่องพวกนี้ละเอียดและเลือกเหยื่อถูกคนได้ ต้องเป็นคนในอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าเป็นใครเท่านั้นเอง
ถ้ามุ่งเป้าไปที่กลุ่มคน เหล่าบอดี้การ์ดคงน่าสงสัยที่สุดแล้ว พวกเขารู้ว่าโรงจอดรถในตำแหน่งที่รัญกรจอดมันเป็นมุมอับที่กล้องวงจรปิดถ่ายไม่ถึงด้านหลังตัวรถ จะเห็นแค่ด้านหน้า แต่ศพนั้นถูกลำเลียงมาด้านหลัง แน่นอนว่าเป็นผู้รู้เส้นทางการหลบหลีกอย่างดีเยี่ยม
ยิ่งไปกว่านั้น หากเชื่อมโยงกับเหตุการณ์วันนี้ก็ยิ่งแปลก เพราะบริเวณด้านหลังของตัวบ้านมีกล้องวงจรปิดเสีย จิรากรบอกว่าพบกล้องหล่นลงมา ดูแล้วน่าจะนอตหลวมหรือติดตั้งไม่แน่นพอ และเพิ่งเสียเมื่อวาน ติดต่อช่างเข้ามาติดตั้งได้อีกทีสัปดาห์หน้า ตั้งใจจะติดเพิ่มอีกหลายจุด
นั่นหมายความว่าคนทำตั้งใจเลือกสถานที่ไว้อยู่แล้ว เพราะรู้ว่ากล้องเสียและจะไม่มีคนเห็น คงเตรียมการเรื่องสีเอาไว้รอรัญกรมาจึงได้เริ่มลงมือ
คนที่รู้ขนาดนี้ต้องเป็นหนึ่งในกลุ่มบอดี้การ์ดนี่แหละ ปักใจไปเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ก่อนแล้วกัน ที่เหลือต้องหาเหตุจูงใจให้เจอ ถึงจะตีกรอบความเป็นไปได้ให้แคบลงหน่อย
“ผมช่วยคุณคิดอยู่นะ ทำไมคุณเอาแต่มองหน้าผมแล้วยิ้มอยู่ได้ อันตรายจะมาถึงตัวอยู่แล้วยังมีอารมณ์ทำตาหวานอีกนะครับ”
“รัญตอนทำหน้าจริงจังนี่มีเสน่ห์ดึงดูดสุด ๆ เลย ผมหยุดมองไม่ได้”
“ก็รู้ตัวครับว่าผมหน้าตาดี มีคนบอกบ่อยจะตาย”
“คนจีบเยอะว่างั้น?”
“มีมาเรื่อยแหละ”
“แล้วคนพวกนั้นจีบคุณติดบ้างไหม?”
“ไม่ติดครับ”
“ผมอยากจีบรัญบ้างจัง แต่คนใกล้ตายอย่างผมคงไม่คู่ควร กลัวคุณตกหลุมรักผมขึ้นมาแล้วจะร้องไห้งอแงวันที่ผมจากไปแล้ว”
“เจ้าชู้ให้มันน้อย ๆ หน่อยเถอะครับ ทั้งตาทั้งปากของคุณมันหวานไปหมดจนผมเลี่ยน”
บทสนทนาทีเล่นทีจริงจบลงเท่านี้ เพราะรัญกรรีบเปลี่ยนหัวข้อมาคุยเรื่องจริงจังกันต่อ ไม่ยอมเปิดช่องว่างให้ชายผมขาวที่มองเขาด้วยแววตาหยาดเยิ้มได้หยอดคำหวานใส่อีกแม้แต่ครึ่งคำ
สีหน้าเจ้าเล่ห์ของจิรากรเปลี่ยนทันทีเมื่อถูกถามเรื่องคำสาป รัญกรอยากรู้ว่ามีใครรู้เรื่องนี้อีกหรือไม่ เพราะถ้าคนอื่นรู้ว่าเขากลัวเรื่องคำสาป ก็ไม่แปลกเลยที่จะเอาเรื่องความเป็นความตายมาขู่หรือทำให้รู้สึกหวาดกลัว
ความจริงแล้วคนที่เป็นเป้าหมายในการทำร้ายอาจเป็นจิรากร ไม่ใช่แขกหน้าใหม่ที่มีหน้าที่แค่ตัดเย็บชุดสูท
“ผมคิดว่าบอดี้การ์ดรู้ แต่ไม่แน่ใจว่าใครจะเชื่อมากน้อยหรือคิดยังไง ในสัญญาจะระบุการรักษาความปลอดภัยของผมถึงแค่ตอนที่ผมตาย คืออายุสามสิบห้าปี ไม่เกินสามสิบหก มันก็ดูน่าสงสัยแหละนะ ถ้าพวกเขาจะถามพวกบอดี้การ์ดรุ่นเก่าก็รู้เอง รุ่นก่อน ๆ เคยอยู่ตอนผมจิตตกเกือบเป็นบ้า เลยรู้ว่าผมกำลังเผชิญกับเรื่องอะไรอยู่”
“แบบนี้ก็ยากเลย ถ้าทุกคนรู้เรื่องนี้ได้ นั่นหมายความว่าทุกคนอาจเป็นคนร้ายนะครับ”
“แต่มันไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น จนกระทั่งผมย้ายมาอยู่ที่นี่ และคุณมาหาผมที่บ้านวันนั้น”
“อืม... นั่นสิ ทำไมต้องเป็นผม มันต้องมีเหตุผลสิ”
ใจหนึ่งก็คิดว่าผู้อยู่เบื้องหลังของความวุ่นวายนี้ต้องการจะเล่นงานจิรากร คงอยากจะให้เกรงกลัวความตายที่เขาเชื่อว่าจะมาในอีกไม่ช้านี้
ทว่าอีกใจหนึ่งก็อดคิดไม่ได้ว่าอีกเป้าหมายคืออยากขู่เข็ญรัญกร พยายามยัดเยียดความผิดมาให้ เพื่อให้คำสาปดูสมจริงแล้วจะดึงรัญกรไปเป็นพวกหรือเปล่านะ ไม่เข้าใจว่าการใช้รัญกรเป็นเครื่องมือแล้วจะมีผลต่อคำสาปอย่างไร
ถ้าเป็นอย่างนั้นการใช้ชีวิตของทั้งคู่หลังจากนี้คงไม่สู้ดีนัก เหมือนต้องคอยหวาดระแวงว่าจะโดนทำร้ายเมื่อไร ต้องรีบทำให้ความจริงเปิดเผยให้เร็วที่สุด
“แต่ผมก็ยังเชื่อใจในบอดี้การ์ดของผมนะ ไม่รู้สิ ผมหาเหตุผลที่พวกเขาจะกล้าทำแบบนี้ไม่เจอ”
“ไม่มีอะไรแน่นอน ต่อให้ตอนนี้คุณให้พวกเขาเขียนคำว่า DIE ทดสอบลายมือ คุณก็จับตัวไม่ได้หรอกครับ ถ้าไหวตัวทันแล้วแค่ลายมือมันก็ปลอมกันได้ ผลจะออกมาว่าลายมือไม่ตรงกับบนกำแพงก็ไม่แปลก หรือคุณจะเรียกมาสอบถามพยานที่อยู่ทีละคน ความจริงก็อาจบิดเบือนได้ถ้าพวกเขาวางแผนกันเป็นหมู่คณะ หรือถ้าจะวัดความใหญ่ของนิ้วก็ใช่ว่าจะแม่นยำ บอดี้การ์ดคุณแต่ละคนตัวใหญ่ทั้งนั้น แน่นอนว่ามือก็ใหญ่เกือบทุกคนนั่นแหละ”
“งั้นตอนที่คุณเขียนลงกระดาษให้ผม คุณปลอมลายมือหรือเปล่าล่ะ ถ้าคุณเป็นคนเขียนบนกำแพง ก็แน่นอนว่าคุณต้องปรับเปลี่ยนมันเพื่อไม่ให้โดนจับได้”
“ตกลงคุณเชื่อใจผมหรือเปล่าเนี่ย ผมบอกว่าไม่ได้ทำไง พิสูจน์แค่ขนาดนิ้วกับกลิ่นก็ได้แล้ว ตอนเราไปดูกลิ่นสียังฟุ้งอยู่เลย ถ้าผมทำจริงยังไงกลิ่นก็ต้องติดมือผมบ้าง แล้วจะไปดมมือบอดี้การ์ดตอนนี้คงยากแล้ว มันมีวิธีล้างสีออกให้หมดอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้กลิ่นหลงเหลือนะครับ เวลาผ่านไปนานเกินกว่าจะพิสูจน์เรื่องนี้กับพวกเขา”
“ไหนผมขอดมมือคุณอีกที”
รัญกรยื่นมือสองข้างไปให้ดมด้วยความบริสุทธิ์ใจ และเพิ่งรู้เดี๋ยวนั้นเองว่าเขาเสียท่าให้คนเจ้าเล่ห์อีกแล้ว จิรากรไม่ได้ใช้แค่ปลายจมูกสูดดม แต่ยังปล่อยริมฝีปากสัมผัสเข้ากับนิ้วมือด้วย หากทาบลงมาอีกนิดก็เรียกว่าจูบได้เลย