EPISODE 03 ตัวอักษรบนกำแพง

3390 Words
EPISODE 03 ตัวอักษรบนกำแพง หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป ชุดสูทสีดำหรูหราสองชุดตัดเย็บเสร็จแล้ว รัญกรติดต่อหาพี่ชายคนโตของบ้านจ.จาน เพื่อจะแจ้งว่าชุดของจุลเกียรติและเจตพิพัฒน์เสร็จเรียบร้อย ต้องการให้เจ้าตัวเข้ามาลองสวมก่อน เผื่อมีตรงไหนปรับแก้เขาจะจัดการให้ทันที ผ่านมาสามวันก็ยังติดต่อจิรากรไม่ได้ บางสายโทรไปก็ไม่รับเลย บางสายรับแล้วพอรัญกรบอกรายละเอียดงานว่าเสร็จแล้วสองชุด ปลายสายก็แค่นหัวเราะหึ ๆ กลับมาแล้ววางสายไป สุดท้ายแล้วก็คุยกันไม่รู้เรื่องสักที เวลาล่วงเลยหลังจากนั้นมาจนเข้าวันที่เจ็ด เจ้าของชุดก็ยังไม่เข้ามาที่ห้องเสื้อเลย เป็นไปได้ว่าจิรากรไม่ได้ส่งข่าวให้น้องชายได้รู้ เหมือนตั้งใจจะกวนประสาทกันชัด ๆ “เราทำแบบผิดหรือเปล่าพี่รัญ งานเร่งแบบนี้เขาคงรีบใช้น่าดู แต่ทำไมเขาไม่สนใจงานเราเลยล่ะ” “ไม่ใช่สักหน่อย เราทำตรงแบบแล้ว อย่าคิดมาก เดี๋ยวพี่จัดการเอง” งานของลูกค้าท่านอื่นยังมีค้างส่งอยู่หลายชิ้น ไม่มีเวลามาเอาใจงานของสามพี่น้องมากมายนัก แต่จะไม่ทำอะไรเลยก็ไม่ได้อีก อยากรีบส่งมอบเพื่อจะได้รับเงินส่วนที่เหลือ อย่างน้อยเสร็จไปสองชุดแล้วก็น่าจะได้เงินมาบ้าง วันนี้รัญกรเลยตั้งใจจะนำชุดที่เสร็จเข้าไปส่งที่บ้านจิรากร ต้องการให้จุลเกียรติและเจตพิพัฒน์ได้ลองสวมดู แล้วที่สำคัญต้องเอาแบบกระดุมไปให้พี่ชายคนโตของบ้านเลือกด้วย พออุปกรณ์ไม่ครบเขาก็ไม่กล้าขึ้นแบบ กลัวว่าเจ้าตัวจะเปลี่ยนแบบชุดแทนการเปลี่ยนกระดุม ยิ่งเป็นคนเดาใจได้ยากขนาดนั้น รัญกรเลยต้องมาตกลงกันให้ชัดเจนก่อนเริ่มการตัดเย็บ ช่วงเย็นหลังเคลียร์งานหน้าร้านเสร็จ เขาก็หิ้วถุงกระดาษใบใหญ่ที่ด้านหน้าเป็นโลโก้ของห้องเสื้อตัวเอง ในถุงเป็นชุดที่เสร็จแล้วสองชุด หากลองแล้วมีแก้จะได้นำกลับมาแก้ ถ้าไม่มีแก้จะนำกลับมารีดให้เข้ารูปแล้วส่งมอบเลย อีกทั้งเขายังต้องหอบแบบเสื้อผ้าไปให้เลือกใหม่อีกหนึ่งชุดด้วย เผื่อจิรากรจะเปลี่ยนใจเลือกแบบชุดใหม่ที่เข้ากับกระดุมลายอื่นมากกว่า รัญกรไม่เคยเหนื่อยกับการบริการลูกค้าเลย ถ้าลูกค้าติดต่อได้สะดวกแล้วให้คำตอบได้ทันท่วงทีแบบที่จะไม่ทำให้เสียงาน แต่พอมาเจอกับจิรากร เขาคิดเอาไว้แล้วว่าถ้ายังเป็นแบบนี้อีกงานหน้าจะไม่รับแล้ว ร่วมงานกับคนกวนประสาทไม่ไหวจริง ๆ รถยนต์กะทัดรัดคันเดิมเป็นยานพาหนะนำเขาไปยังคฤหาสน์หลังใหญ่ โดยระหว่างทางเขาได้แวะซื้อขนมร้านเดิม แต่ครั้งนี้เปลี่ยนเมนูการซื้อ ไม่ซื้อเซตโปรโมชันที่เคยซื้อครั้งก่อนแล้ว เขาเลือกซื้อแยกชิ้นและหลากหลาย เพราะอยากรู้ว่ามันจะเกิดเหตุการณ์แบบเดิมอีกหรือไม่ หากคนอยู่เบื้องหลังของเรื่องนี้ยังพยายามยัดเยียดความผิดให้เขา ถึงขนาดซื้อขนมสะเปะสะปะตาม แสดงว่ามีจุดประสงค์มุ่งร้ายและดูจะไม่รามือง่าย ๆ แน่ เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าแต่ละย่างก้าวของเขาถูกใครบางคนสะกดรอยตาม แต่ถ้ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็ถือว่ารัญกรคิดมากไปเอง... เมื่อขับรถมาถึงคฤหาสน์หรูของจิรากร มีความประหลาดใจเกิดขึ้นตั้งแต่เขาลดกระจกลงเพื่อจะรายงานบอดี้การ์ดที่หน้าประตู ทว่ากระจกรถเลื่อนลงไม่ถึงครึ่ง เขาก็ถูกต้อนรับให้เข้าไปด้านในโดยไม่สอบถามอะไรเพิ่มเติมเหมือนคราวก่อน ราวกับรู้อยู่แล้วว่ารัญกรจะมาที่นี่ ทั้งที่เขาก็ไม่ได้แจ้งไว้ล่วงหน้า รัญกรจอดรถเสร็จเรียบร้อยก็หอบของลงมา ตั้งใจจะนำเข้าไปให้เจ้าของบ้านโดยเร็ว แต่เห็นว่าบริเวณทางเข้าหน้าบ้านที่เป็นลานกว้างมีเหล่าบอดี้การ์ดกำลังประชุมใหญ่กันอยู่ แต่ละคนยืนเรียงแถวเป็นหน้ากระดาน และมีคนหนึ่งยืนพูดอยู่ด้านหน้า ดูแล้วคงจะเป็นหัวหน้าบอดี้การ์ด ครั้นจะให้เขาเดินฝ่าเข้าไปก็ไม่กล้า กิจกรรมของบอดี้การ์ดขวางจนรัญกรต้องหาทางเข้าด้านหลังด้วยตนเองโดยไม่ถามใคร ‘ลูกน้องประชุมกันจนเครียดก็ไม่แปลก มีเจ้านายกวนประสาทขนาดนั้น คงจะอารมณ์แปรปรวนใส่ลูกน้องบ่อย’ เขาคิดในใจพลางเริ่มก้าวเท้าเดินเลี่ยงไปอีกทาง ตึก ตึก ตึก รัญกรเดินลัดผ่านสนามหญ้าข้างบ้าน ซึ่งกว้างและลึกพอสมควรกว่าจะเดินมาถึงตัวบ้านด้านหลัง และเขาเดินย่ำไม่ทันระวังทำให้เหยียบหญ้าที่มีดินเปียกชื้นเข้า โคลนสีน้ำตาลเปื้อนรองเท้าคู่สวยของเขาเข้าจนได้ ก๊อกน้ำด้านหลังถูกเปิดอย่างวิสาสะ มือเรียวรองน้ำเพื่อนำมาถูทำความสะอาดรองเท้าที่เลอะโคลนจนสะอาด ก่อนจะเดินไปถอดมันที่หน้าประตูด้านหลัง แล้วเดินเข้าไปในตัวบ้านเพียงสวมถุงเท้าสีดำคู่บาง “คุณจิรากรครับ ผมเอาชุดสูทมาส่งครับ” “...” ในบ้านเงียบมากเหมือนไม่มีใครอยู่ ไม่มีแม้กระทั่งแม่บ้าน อืม... จะว่าไปแล้วรอบก่อนที่มาก็ไม่เห็นมีแม่บ้านเลยนี่นา “คุณจุลเกียรติ คุณเจตพิพัฒน์ ผมเอาชุดมาส่งครับ มีคนอยู่ไหมครับ?” “...” เมื่อไม่มีเสียงตอบรับกลับมาแม้แต่น้อย รัญกรจึงเดินเข้าไปในบ้านลึกอีกหน่อยด้วยท่าทางระแวดระวัง ต้องพูดตามตรงว่าเขาไม่ไว้ใจจิรากร หากจิรากรคิดจะเอาคืนที่เขาเคยตั้งใจขว้างปากกาใส่ ตอนนี้อาจซุ่มอยู่ตรงไหนของมุมบ้านก็ได้เพื่อที่จะกลั่นแกล้งหรือลอบทำร้าย เคร้ง แกรก มีเสียงดังมาจากห้องหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากจุดที่รัญกรยืนนัก เขาสาวเท้าตามเสียงไปอย่างไม่ลังเล ใกล้ถึงกรอบประตูเขาก็เบาฝีเท้าลง แล้วชะโงกศีรษะแอบมองภายในห้องนั้น มันคือห้องครัวขนาดใหญ่ ด้านในมีชายร่างสูงใหญ่ยืนหั่นผักอย่างคล่องแคล่ว ใบหน้าผ่อนคลายดูอารมณ์ดีนัก จิรากรเป็นคนไหวพริบดี เพียงอึดใจเดียวเขาก็สัมผัสได้ว่ามีคนมองเขาอยู่ที่ประตู “เมี้ยว ๆ แมวที่ยืนอยู่หน้าประตูน่ะ เข้ามาสิครับ” “แมวที่ไหนกัน ผมเอง” “ถืออะไรมา เอาออกไปวางที่โซฟาแล้วคุณก็เข้ามานี่” รัญกรเดินนำของออกไปวางตามที่เจ้าของบ้านบอก เขาเดินกลับเข้ามาในครัวอีกครั้งด้วยมือเปล่า เพิ่งได้มองจิรากรเต็มตา จึงเห็นว่าเขาสวมผ้ากันเปื้อนสีน้ำตาลและผูกโบด้านหลังเสียสวยงามเหมือนเข้าครัวบ่อยจึงผูกผ้าได้ชินมือ ตอนนี้เขาขยับตัวหยิบจับอะไรก็ชำนาญไปเสียหมด ราวกับทำอาหารทานเองเป็นประจำ “แปลกจัง คุณไม่มีแม่บ้านทำอาหารให้เหรอครับ?” “ตั้งแต่พ่อผมเสีย ผมก็ไม่เคยกินอาหารที่คนอื่นทำ ผมทำกินเองตลอด” “เอ่อ แล้วน้องชายคุณล่ะครับอยู่ไหม ผมเอาชุดมาให้เขาลอง” “บ้านหลังนี้ผมอยู่คนเดียว น้องผมก็อยู่บ้านเขา แต่ช่วงนี้ไม่ว่างหรอก จุลไปต่างประเทศ เจตงานยุ่ง” “แล้วตอนผมโทรมาทำไมคุณไม่บอก ผมก็รอไปเถอะ” “ถ้าบอก คุณก็ไม่มาหาผมน่ะสิ” เกิดความเงียบขึ้นระหว่างพวกเขา คนหนึ่งหันหลังทำอาหารต่อไป อีกคนยืนกอดอกพิงกรอบประตูมองเจ้าของบ้านด้วยความรู้สึกแปลก มวลบรรยากาศมันแปลกจนรัญกรเริ่มสังเกตรอบตัวด้วยสัญชาตญาณ มีดเล่มที่จิรากรใช้เมื่อครู่ถูกวางลงบนโต๊ะ ด้ามมีดหันมาทางประตูเหมือนท้าทายให้เข้าไปสัมผัส การวางมีดก็วางไว้ข้างตะกร้าผักเหมือนตั้งใจหลบซ่อนมันไม่ให้โจ่งแจ้งเกินไป รัญกรมองบนโต๊ะก็นึกขำ ของบางอย่างมันเพิ่งถูกหยิบมาจัดวางในตอนที่เขาเอาของออกไปวางที่โซฟานี่เอง ไหน ๆ เจ้าของบ้านก็วางแผนมาแบบนี้แล้ว คงต้องเล่นด้วยสักหน่อย รัญกรเดินเข้าไปคว้ามีดหั่นผักปลายแหลมมาไว้ในมือ ควงด้ามมีดไปกับนิ้วมือขึ้นลงอย่างชำนาญ สายตาคมกริบจับจ้องไปที่จิรากร ที่เริ่มตัวเกร็งทุกขณะเมื่อรัญกรก้าวเดินเข้าหา ลำแขนขวาของจิรากรที่โผล่พ้นเสื้อเชิ้ตเผยให้เห็นมัดกล้ามชัดขึ้นจากการเกร็งเกินปกติ ไม่ใช่การออกแรงจับตะหลิวเพื่อผัดอาหารแน่นอน ที่สำคัญสมาธิเจ้าตัวคงแตกกระเจิงไปแล้ว เพราะเขาผัดมั่วซั่วไม่โดนวัตถุดิบในกระทะเลยสักนิด หมับ! มือเรียวเอื้อมไปตบบ่าพ่อครัวจนสะดุ้งโหยง จิรากรถองศอกไปข้างหลังหวังจะต่อสู้เพื่อป้องกันตัว แต่รัญกรหลบได้เสียก่อน เขายกยิ้มชอบใจที่ได้เห็นสีหน้าตื่นตระหนกของเจ้าของบ้าน มือขวาที่ควงมีดหยุดลงแล้วนำมีดเก็บเข้าฝักให้ด้วยความใจเย็น “อยากให้ผมมาหา เพราะคุณอยากลองใจผมใช่ไหม? ผมเริ่มคิดจริงแล้วนะว่าองค์กรสั่งให้คุณมาทดสอบความสามารถผม ถ้าเป็นแบบนั้นจริงขอบอกเลยว่าผมยังชำนาญการใช้มีดอยู่ แต่ผมไม่คิดจะทำร้ายใครอีกแล้ว” “รัญ ตั้งแต่เราเจอกันคุณคิดจะทำร้ายผมบ้างหรือเปล่า?” “หลังจากภารกิจสามปีก่อน ผมก็ไม่เคยคิดจะทำร้ายคุณ ไม่ใช่แค่คุณนะ ทุกคนเลย ผมสาบานกับตัวเองไว้แล้วว่าจะไม่ฆ่าใครอีก ที่ผ่านมาผมก็ชดใช้ให้พวกเขาไม่หมดแล้ว” จิรากรปิดเตาไฟฟ้า เหลือบมองแววตาเศร้าสลดของรัญกรแวบหนึ่งแต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา เขาตักผัดผักในกระทะใส่จาน และเปิดเตาอบเพื่อนำเนื้อหมูอบชิ้นใหญ่ออกมาหั่น โรยเกลือนิด พริกไทยหน่อย “รัญ ตักข้าวให้ผมสองจาน อยู่กินข้าวกับผมสักมื้อค่อยคุยเรื่องงานนะ” “ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมกลับไปกินของผมเอง” “ตักมาเถอะ กินด้วยกัน” เขาทำตามอย่างเลี่ยงไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจิรากรคงไม่ยอมคุยเรื่องงานสักที ชุดของน้องชายที่เสร็จแล้วก็จะไม่ได้นำออกมาตรวจงาน กระดุมสิงโตสีทองที่อยากได้ก็จะไม่ได้เปลี่ยนแบบ งานจะไม่เดินเลยถ้าวันนี้ไม่คุยกันให้แล้วเสร็จ บรรยากาศบนโต๊ะอาหารแสนเรียบง่ายผ่านไปด้วยความเงียบ ต่างฝ่ายต่างเกิดการหวาดระแวงกันไปมา ดีที่รสชาติอาหารมันชูโรงจนเผลอลืมเรื่องที่วิตกในใจไปได้ชั่วขณะ “คุณทำอาหารอร่อยนะครับ” “ขอบใจ ถึงคุณจะชมเป็นมารยาทก็เถอะ” “ผมพูดจริง ๆ รสชาติแบบนี้ทำขายยังได้เลยนะ อาจเพราะผมทำอาหารไม่เป็นสักอย่างเลยมั้งครับ เลยรู้สึกว่ารสชาติแบบนี้มันดีมาก” จบบทสนทนานี้ไปก็พากันเงียบอีกพักใหญ่จนอาหารตรงหน้าหมดเกลี้ยง รัญกรเจริญอาหารเป็นพิเศษ ยอมรับตามตรงว่าติดใจหมูอบของชายผมขาวคนนี้เสียแล้ว และที่เขายอมนั่งทานอาหารด้วยเพราะอยากแสดงความจริงใจ เขายอมลดอคติลงก่อน ยอมเชื่อใจที่จะตักอาหารฝีมือจิรากรเข้าปากโดยไม่แสดงท่าทีหวาดกลัวว่าในอาหารจะมีการวางยาหรือไม่ แม้ในใจจะหวาดหวั่นแต่ก็ไม่แสดงออกมาให้เห็น เพราะถ้าผ่านเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ไปได้ มันจะสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจกันเพิ่มขึ้นมาอีกหน่อย อย่างน้อยก็อาจจะซื้อเวลาไปได้จนจบงาน ส่งมอบชุดครบสามชุดเมื่อไรค่อยชังหน้ากันก็ยังไม่สาย จิรากรเองก็พออกพอใจที่เห็นอีกฝ่ายกินเก่งขนาดนี้ มองเพลินตาเสียจนตักอาหารตามไม่ทัน ความเชื่อใจมีเพิ่มขึ้นทันตา ที่จริงก็เริ่มเชื่ออย่างจริงจังแล้วว่ารัญกรไม่ได้คิดจะทำร้ายเขา ทั้งที่ตอนอยู่ในครัวมีโอกาสใช้มีดแทงจากด้านหลังเข้ามาได้เลยโดยไม่ต้องรีรอ เหมือนตอนที่รัญกรเคยจู่โจมเข้ามาเมื่อสามปีก่อน แต่วันนี้เขากลับไม่ทำ ก็ถือเป็นการเริ่มต้นทำความรู้จักกันใหม่อีกครั้งในทางที่ดีขึ้น อยากทำความรู้จักกับอดีตนักฆ่าคนนี้สักครั้งหนึ่ง คนที่เคยทำงานสกปรกแบบนั้นแท้จริงแล้วจะเป็นคนแบบไหนกันแน่ จิรากรใคร่จะรู้มาตลอด “รัญ คุณล้างจานให้ผมหน่อย ผมจะออกไปสูบบุหรี่” “ใช้แขกล้างจานให้เนี่ยนะ แต่ก็ได้แหละ เดี๋ยวผมจัดการให้ครับ ตอบแทนอาหารที่กินไป” ทั้งคู่แยกย้ายกันไปคนละที่ จิรากรเดินออกไปข้างนอก รัญกรรวบจานชามบนโต๊ะอาหารเดินเข้าห้องครัว เขายืนล้างจานอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเสร็จก็คว่ำจานไว้บนที่พักจาน โดยไม่ลืมสำรวจว่าตนเองล้างสะอาดดีหรือไม่ มีคราบหลงเหลือหรือเปล่า กลิ่นอาหารยังติดจานชามอีกไหม เขาไม่มั่นใจสักเท่าไรเพราะปกติไม่ค่อยได้ล้างจานเอง เขาชอบออกไปฝากท้องไว้กับร้านอาหารเสียมากกว่า เมื่อเสร็จแล้วก็เดินออกจากห้องครัว เขาได้กลิ่นควันบุหรี่คละคลุ้ง มือเรียวยกขึ้นพัดเพื่อเลี่ยงรับกลิ่น ก่อนจะเห็นว่าจิรากรคือต้นเหตุ เขายืนพิงโซฟาแล้วคาบบุหรี่ไว้ที่ริมฝีปาก แต่พอเห็นท่าทางของรัญกรดูไม่ชอบใจเขาจึงรีบดับมันลงในจานเขี่ยบุหรี่ทันที “มานี่ ผมมีเรื่องจะถาม” ท่าทีของจิรากรผิดกับเมื่อครู่นี้ลิบลับ ทั้งสีหน้าและแววตามีแต่ความดุดัน เรียบนิ่ง ไม่ได้ใจดีเหมือนก่อนหน้านี้เลยสักนิด พอเห็นแบบนี้รัญกรได้แต่ถอนหายใจ ไม่รู้จะต้องรับมือกับอารมณ์ไหนอีก “มีอะไรครับ?” “คุณเขียนหนังสือมือไหน?” “ผมเขียนได้ทั้งซ้ายและขวา แต่ถนัดขวามากกว่า” “คุณลองเขียนคำว่า DIE ลงในกระดาษที่วางบนโต๊ะ เขียนด้วยมือทั้งสองข้างอย่างละแผ่น เขียนตัวใหญ่ ๆ เลยนะ” ถึงจะไม่เข้าใจ แต่น้ำเสียงจริงจังของจิรากรก็ข่มให้อีกฝ่ายยอมทำตามโดยง่าย ตาคมหลุบมองมือสวยจับปากกาเขียนตัวอักษรทีละตัวจนครบคำ พบว่าลายมือของการเขียนด้วยมือซ้ายก็เป็นอีกแบบหนึ่ง มือขวาก็เป็นอีกแบบหนึ่ง “ให้ผมทำอะไรอีก ลองให้เขียนด้วยเท้าซ้ายหรือเท้าขวาดูไหมครับ?” “ผมขอถามอีกหน่อย คุณเข้ามาในบ้านทางไหน?” “อ้อ ผมเข้ามาทางประตูด้านหลัง เพราะด้านหน้าเห็นบอดี้การ์ดคุณประชุมขวางประตู ผมไม่กล้าเดินเข้าไป” “ก่อนเข้ามาในตัวบ้านคุณทำอะไรบ้าง?” “อืม... ผมเหยียบโคลนเลยเปิดก๊อกน้ำเพื่อล้างรองเท้า แค่นั้นเลยนะ” จิรากรรวบกระดาษสองแผ่นที่ถูกเขียนมาไว้มือหนึ่ง เอื้อมมือไปจูงรัญกรเดินอีกมือหนึ่ง คนถูกจูงตกใจกับการถึงเนื้อถึงตัวครั้งนี้ ครั้นจะออกแรงสะบัดก็ยากในเมื่อคนจูงอยู่ด้านหน้าจับข้อมือเขาไว้แน่นเหลือเกิน จึงต้องปล่อยเลยตามเลยแล้วเดินตามเขาไปจนถึงประตูด้านหลังอย่างว่าง่าย มือใหญ่ผละออกจากข้อมือสวย เปลี่ยนมาโอบเอวบางแล้วดึงเข้าประชิดตัว แล้วชี้นิ้วไปที่กำแพงสีขาวเบื้องหน้า “คุณดูนี่ เรื่องบ้านี่เกิดขึ้นอีกแล้ว” ตัวอักษรสีแดงขีดเขียนเป็นคำว่า DIE บนกำแพง ดูออกว่าเป็นสีแดงสด ไม่ใช่เลือด ตรงปลายตัวอักษรมีรอยนิ้วมือที่ไม่ชัดเจนอยู่ จึงมั่นใจได้ว่านี่ถูกเขียนจากมือ ไม่ใช่พู่กันหรือใช้สีกระป๋องฉีด น่าเสียดายที่สีเลอะจนเห็นลายมือไม่ชัด “ตอนผมมายังไม่มีเลย มันก็เป็นกำแพงสีขาวโล่ง ๆ ปกติ” “แล้วคุณดูนี่” เอวบางถูกรวบแน่นขึ้นก่อนจะพากันชะเง้อมองไปยังก๊อกน้ำ เห็นได้ชัดเลยว่าบนพื้นปูนใต้ก๊อกน้ำมีสีแดงจาง ๆ ละลายน้ำอยู่ หากประกอบเหตุการณ์เข้าด้วยกันก็คือคนที่เขียนกำแพงเดินมาล้างมือตรงนี้ ซึ่งมันตรงกับที่รัญกรบอกว่าเขาเองก็เปิดน้ำใช้เหมือนกัน “คุณจิ ผมว่าแบบนี้มันไม่ใช่แล้ว” จิรากรเทียบลายมือดูแล้วก็ไม่เหมือนที่รัญกรเขียนจริง ๆ จะเป็นมือซ้ายหรือมือขวาก็ไม่ใช่ลายมือบนกำแพง เขาจับมือทั้งสองข้างของรัญกรขึ้นมาดม สูดดมทุกนิ้วมือจนครบสิบนิ้วก็ยังไม่ได้กลิ่นสีหลงเหลืออยู่เลย ครั้งนี้จึงไม่กล้ากล่าวหาว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของคนที่เขาโอบเอวอยู่ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้รัญกรรู้สึกโดนท้าทายแบบหยามหน้ามาก แผนกระจอกแบบนี้ทำอะไรเขาไม่ได้อยู่แล้ว เขาเดินเข้าไปที่หน้ากำแพง ใช้นิ้วเทียบกับขนาดของลายเส้น พบว่าขนาดที่เขียนมันใหญ่กว่านิ้วเขาทุกนิ้ว “หมายความว่าต้องเป็นฝีมือคนที่นิ้วใหญ่กว่าคุณ” “เข้าไปคุยในบ้านครับ” ทั้งคู่เดินเข้ามาในบ้านโดยไม่ลืมปิดประตูด้านหลังแล้วล็อกเอาไว้ ตอนนี้กลายเป็นว่ารัญกรร้อนใจเป็นฝ่ายจูงมือเจ้าของบ้านแล้วเดินนำแทน “รัญ คุณรู้สึกใช่ไหมว่ามันแปลก” “รู้สึกมากด้วย ในบ้านหลังนี้มีตรงไหนที่ปลอดภัยบ้าง จุดไหนที่ไม่เคยมีใครเข้าไปถึง?” “ห้องนอนผม” “โอเค งั้นขึ้นไปคุยกันบนห้องนอน” “ไม่รู้ว่าอะไรยังไง แต่ผมเริ่มเชื่อว่าคนทำไม่ใช่คุณ เสือร้ายเมื่อสามปีก่อนวันนี้กลายเป็นลูกแมวแล้ว ผมเชื่อสัญชาตญาณตัวเอง” “อย่ามาพูดเลย ครั้งก่อนคุณเชื่อสนิทใจว่าผมฆ่าลูกน้องคุณหมกท้ายรถตัวเอง ถ้าผมหาข้อพิสูจน์ให้ตัวเองไม่ได้ป่านนี้คุณคงไม่ทำตาหวานใส่ผมหรอก ดีแต่จะมองผมเป็นคนร้ายสิไม่ว่า” “ตาผมหวานใส่คุณมากเลยเหรอ อืม... น่าสนใจจัง มันคงเลือกคนมองแหละมั้ง” เจ้าของบ้านเดินนำไปที่ห้องนอนของตนเองบนชั้นสอง รัญกรตกใจในความร่ำรวยจนพูดไม่ออก ชั้นบนถูกตกแต่งอย่างหรูหราไม่ต่างจากชั้นล่าง ห้องนอนของจิรากรใหญ่พอ ๆ กับห้องเสื้อของเขาที่ทุบตึกแถวสามห้องรวมกัน นี่ยังไม่รวมห้องอื่นที่ไม่ถูกใช้ ทั้งที่อยู่คนเดียวแท้ ๆ จะสร้างบ้านให้ใหญ่ขนาดนี้เพื่ออะไรก็ไม่รู้ โซฟาตัวยาวภายในห้องนอนถูกเลือกเป็นที่นั่งของทั้งคู่ จิรากรละทิ้งความสนใจจากใบหน้าจริงจังของรัญกรไม่ได้เลย ยามที่คิ้วเรียวขมวดตึง ดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัย แล้วยังมีไฝเม็ดเล็กที่ใต้ตาซ้ายขับให้ใบหน้านี้ดูน่าหลงใหลมากขึ้นไปอีก จิรากรอยากรู้ว่าคนตรงหน้าจะแก้สถานการณ์แบบนี้ได้อย่างไร คิดเห็นอย่างไร และจะทำอะไรต่อ มั่นใจแล้วว่าคนฉลาดอย่างรัญกรคงไม่ทำเรื่องที่กระจอกและมีหลักฐานมัดตัวได้ง่ายแบบนี้หรอก
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD