EPISODE 02 ไม่น่าไว้ใจ

3971 Words
EPISODE 02 ไม่น่าไว้ใจ การที่รัญกรได้กลับมาพบเจอกับจิรากรอีกครั้งในบทบาทใหม่ ลางสังหรณ์ของเขาบอกให้ถอยห่างจากคนในบ้านหลังนั้นโดยเร็ว และเป็นครั้งแรกที่รัญกรคิดจะลัดคิวพิเศษให้ลูกค้า อยากรีบส่งงาน ไม่อยากมีอะไรข้องเกี่ยวหรือติดต่อกันอีก สิ่งที่รัญกรกลัวจับใจคงเป็นเรื่องอดีตของตัวเขาเอง อุตส่าห์ปกปิดทุกอย่างมาได้ตั้งนาน เปิดห้องเสื้อทำมาหากินอย่างสุจริตจนเริ่มมีฐานะ ไม่น่ามาเจอคนบ้าอย่างจิรากรเลย ผู้ชายคนนี้ไม่น่าไว้วางใจสักนิด ดูพร้อมจะเผยความลับในอดีตของรัญกรได้ทุกเมื่อ “พี่รัญ ลูกค้าเขาจ่ายหนักแน่เลยใช่ไหม พี่ถึงเร่งงานเขาขึ้นมาทำก่อน” “เปล่าหรอก พี่ไม่อยากคุยกับคนบ้านาน ๆ รีบทำรีบส่งให้เขาน่ะดีแล้ว” “ต้องนิสัยเสียมากเลยนะถึงทำให้พี่รัญพูดแบบนี้ได้ ปกติพี่เคยว่าใครที่ไหน” ‘แซน’ กับ ‘ซัน’ เด็กหนุ่มฝาแฝดที่เรียนจบก็เข้ามาทำงานที่นี่เป็นที่แรก เรียกได้ว่าเป็นพนักงานสองคนแรกของห้องเสื้อ เข้ามาสมัครวันแรกที่รัญกรแปะป้ายรับสมัครเลย และเพราะอยู่ด้วยกันมานานจึงรู้นิสัยใจคอ รู้ดีว่าเจ้านายเป็นคนจิตใจดี ไม่พูดจาให้ร้ายใครก่อน “แต่เขาก็จ่ายหนักจริง ๆ นั่นแหละ เลือกอะไรที่แพงที่สุดในทุกแบบ รีบส่งงานก็ดี พี่เกรงใจเขา” ส่วนนี้เป็นความจริงครึ่งหนึ่ง พูดปดครึ่งหนึ่ง สามพี่น้องบ้านจ.จานมีกำลังจ่ายที่สูงจริง มีรสนิยมทางแฟชั่นค่อนข้างดี รู้ว่าตนเองใส่แบบไหนถึงจะเหมาะกับรูปร่าง นั่นทำให้การเลือกแบบผ้า รูปทรงชุด ทุกอย่างออกมาดูดี ซึ่งแน่นอนว่าเขาเลือกแต่ของแพง แต่เรื่องเกรงใจที่พูดรั้งท้ายประโยคนี้ไม่ใช่ความจริง รัญกรอยากส่งงานเพราะรำคาญมากกว่า ไม่อยากเข้าไปข้องเกี่ยวกับความวุ่นวายในบ้านหลังนั้น ไม่อยากให้จิรากรพูดเรื่องอดีตออกมา เป็นไปได้ตอนส่งงานเขาก็จะไม่ไปเอง จะส่งลูกน้องไปแทนเพราะไม่อยากเจอหน้า “พี่รัญคะ หนูโทรไปเช็กของมา กระดุมสีทองขอบดำ ลายหัวสิงโต ที่ลูกค้ารีเควสต์มามันไม่มีแล้วนะพี่ ทางแบรนด์เลิกผลิตแล้ว มันเป็นคอลเล็กชันเก่า หรือไม่งั้นก็ต้องให้ลูกค้าเปลี่ยนแบบค่ะ” “เหรอ อืม... บีดูให้พี่หน่อย กระดุมนี้เป็นชุดของใคร?” “ของคุณจิรากรค่ะ” มือเรียวยกขึ้นตบหน้าผากอย่างจนใจ เพิ่งคิดไปไม่กี่วินาทีก่อนว่าจะไม่ติดต่อกับบ้านนั้นอีก ไม่คิดว่าระหว่างดำเนินงานจะมีอุปสรรคเข้าจนได้ โดยปกติงานที่ร้านจะตัดชุดออกงานกลางคืนเป็นส่วนใหญ่ ชุดราตรีของผู้หญิง ชุดสูทออกงานผู้ชาย สูทแฟชั่น การใช้แบบเสื้อผ้าจะไม่ต่างกันมาก มีต่างแค่สีผ้า แบบผ้า และขนาด หากใช้แบบเดิมรัญกรจะมีทุกอย่างพร้อมตัดเย็บอยู่แล้ว แต่งานของสามพี่น้องผมขาวดันเป็นงานศพที่หรูหรา ดูดี คนที่อ้างบอกว่าตัวเองจะตายในปีหน้าต้องการแต่งตัวดีที่สุดทุกกระเบียดนิ้วในวาระสุดท้าย อุปกรณ์บางชิ้นทางร้านไม่เคยมีมาก่อน จึงต้องสั่งซื้อมาใหม่ โอเค ก็พอเข้าใจได้ ต่อให้ไม่ใส่ในโอกาสแบบนั้น ใครก็อยากแต่งตัวดูดีอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว ถ้ารัญกรรู้วันตายของตัวเอง เขาคงจะเลือกตัดชุดใส่เองด้วยสีฉูดฉาดแบบที่เขาชอบ ในเมื่อรู้ว่าตัวเขาใส่สีสว่างแล้วจะดูดี ตอนตายก็อยากดูดีที่สุด ส่วนจิรากรถ้าได้ใส่ชุดที่เขาเลือกไว้ก็คงหล่อไม่เบาเหมือนกัน “บีโทรไปแจ้งเขาให้พี่หน่อยสิ” “ได้ค่ะพี่รัญ” ชุดของเจตพิพัฒน์น้องชายคนเล็กถูกเลือกขึ้นมาตัดเย็บก่อน เนื่องจากเนื้อผ้าที่เลือกทางห้องเสื้อมีอยู่แล้ว รัญกรนั่งบรีฟงานให้ลูกน้องฝาแฝดถึงเทคนิคการตัดเย็บรูปทรงของชุด ซึ่งฝีมือของซันกับแซนก็พอจะทำได้อยู่แล้ว เขาจึงแบ่งให้คนหนึ่งตัดเสื้อเชิ้ตกับกางเกง อีกคนตัดเสื้อกั๊กตัวในกับสูทตัวนอก โดยปกติถ้างานไม่เร่งก็จะรับผิดชอบร่วมกัน งานหนึ่งชิ้นจะผ่านมือของทุกคน ถือเป็นการตรวจเช็กงานไปด้วยในที คนหนึ่งขึ้นแบบ เนาผ้า ตัดทรง ก่อนจะส่งต่ออีกคนให้ใช้จักรเย็บ ส่งมาต่อที่อีกคนเก็บตะเข็บ และตกแต่งกระดุมหรือลูกปัดอื่น ๆ ตามที่ลูกค้าต้องการ แต่งานนี้งานด่วน จึงมอบหมายให้รับผิดชอบงานคนละชิ้นไปเลย เมื่อเสร็จแล้วมาประกอบกันเป็นชุดจะได้เร็ว ส่วนงานของรัญกรดูท่าแล้วจะต้องเป็นคนตัดเย็บชุดที่ยากที่สุดเอง นั่นคือชุดของจิรากร ครู่หนึ่งที่รัญกรบรีฟงานลูกน้องสองคนเสร็จ เขาเดินออกมายังโซนด้านหน้าของร้าน เห็น ‘บี’ พนักงานผู้หญิงเพียงคนเดียววางสายจากจิรากรไปแล้ว เธอกำลังง่วนอยู่กับการเช็กสต็อกของเพื่อทำการจัดซื้อกับร้านขายส่งหรือแบรนด์ต่างประเทศ เห็นลูกน้องขยันกันทุกคนแบบนี้เขาก็ชื่นใจ แกรก! เสียงประตูกระจกหน้าร้านถูกผลักเข้ามา รัญกรที่ก้มจัดของใต้เคาน์เตอร์ฉีกยิ้มกว้างพร้อมเอ่ยต้อนรับตั้งแต่ยังไม่เห็นว่าใครมาเยือน “ยินดีต้อนรับค้าบบบ” ตุบ ทันทีที่ใบหน้าสดใสโผล่พ้นขอบเคาน์เตอร์ไม้ขึ้นมา ก็เห็นถุงขนมร้านโปรดถุงใหญ่ถูกวางไว้ตรงหน้าเสียแล้ว เมื่อช้อนตามองพร้อมยืนเต็มความสูงจึงเห็นว่าเป็นจิรากรนั่นเอง “ผมได้ดูกล้องวงจรปิดร้านขนมแล้ว ไม่มีใครมีพิรุธเลย ช่วงเวลานั้นมีลูกค้าต่อคิวซื้อขนมเซตเดียวกันปกติมาก ก็มันเป็นเซตโปรโมชันประจำเดือนพอดี ใครมาก็ซื้อเซตนี้ทั้งนั้น สองเคาน์เตอร์ทำการขายตลอด” “มาถึงก็พูดเรื่องอะไรของคุณ” “ผมร้อนใจ ผมอยากให้คุณรู้ เผื่อคุณก็สงสัยไอ้คนที่ทำเรื่องแบบนี้เหมือนกัน หรือไม่คุณก็คงเผยพิรุธออกมาถ้าคุณถูกจ้างให้มาทำแบบนี้ ฉะนั้นคุณควรรู้ว่าผมตามเรื่องนี้อยู่” “ผมไม่ได้อยากรู้สักหน่อย” ท่าทีของรัญกรแสดงออกชัดเจนว่าลำบากใจที่จะคุยเรื่องนี้ เขาไม่ต้องการให้ลูกน้องได้ยิน และที่นี่ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อวานมันเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง จิรากรเป็นคนมีไหวพริบ เขาเห็นลูกน้องในร้านทั้งสามคนหันมองเขาเป็นตาเดียว ส่วนหนึ่งคงตกใจที่เขาหุนหันเข้ามาด้วย จึงเข้าใจทันทีว่าคนอื่นไม่เข้าใจเรื่องที่เขาพูด คงจะสงสัยว่าเขาไปดูกล้องวงจรปิดของร้านขนมแล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้านายพวกเขา “สวัสดีครับ เมื่อกี้คุณโทรหาผมใช่ไหม ผมซื้อขนมมาฝากทุกคนเลยครับ เอาไปแบ่งกันได้เลย เมื่อวานคุณรัญบอกผมว่าลูกน้องชอบขนมร้านนี้มากครับ ผมมีธุระที่นั่นพอดีเลยนึกถึงพวกคุณด้วย” ท่าทางใจดีของจิรากรบรรเทาความสงสัยของทุกคนไปมาก เขาหิ้วขนมมาให้บีอย่างสุภาพ พลางหันไปส่งยิ้มจริงใจทักทายซันกับแซนที่อยู่ในโซนตัดเย็บด้วย พอทุกคนเห็นว่าจิรากรไม่ได้มาดร้ายอะไรเจ้านายเขา ก็เลยละทิ้งความสนใจไปจากเขาโดยปริยาย ขณะเดียวกันรัญกรเองก็เอื้อมมือไปเร่งเครื่องเสียงให้ดังขึ้นอีกหน่อย ดนตรีบรรเลงเพลงโอเปร่าแสนเสนาะหูนี้อาจช่วยกลบบทสนทนาของจิรากรได้ แต่ไม่ใช่ว่าเขาจะมานั่งฟังปัญหาวุ่นวายที่เกิดขึ้น รัญกรตั้งใจยื่นข้อตกลงที่เด็ดขาดระหว่างพวกเขาต่างหาก “คุณจิ ผมขอคุยด้วยหน่อย” “ทำไมต้องทำท่าดุใส่ด้วย” ชายผมขาวเดินตามไปนั่งที่โซฟารับแขก รัญกรรินชาร้อนใส่แก้วกระเบื้องทรงกลมให้ด้วยท่าทีจริงจัง ก่อนจะเริ่มพูดในสิ่งที่เขาคิด “ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน คุณอย่าเอามาพูดที่นี่ แล้วไม่ต้องบอกให้ผมรู้ก็ได้ ผมไม่เกี่ยวข้องอะไรด้วย และผมไม่สะดวกใจจะคุยเรื่องในอดีตด้วยเหมือนกัน ถือว่าผมขอร้องก็ได้ ทุกวันนี้ผมมีชีวิตใหม่แล้ว ผมอยากลืมอดีตให้หมด” “แต่ผมก็ยังไม่เลิกสงสัยคุณนะ เรื่องที่เกิดขึ้นผมรู้ว่าถ้าคุณจะทำคุณก็ทำได้ ผมสงสัยว่าใครจ้างคุณให้มาปั่นหัวผมหรือเปล่า คุณรู้ว่าผมมีปมเรื่องการตายใช่ไหม?” “ผมไม่ได้ทำอะไรจริง ๆ ไม่มีใครจ้างผมทั้งนั้น ผมออกจากงานตรงนั้นมาสองปีแล้วครับ” “ส่วนนั้นผมไม่รู้หรอก ไม่มีอะไรยืนยันได้นี่ว่าคุณกับองค์กรตัดขาดกันแล้ว แต่ผมไม่ได้จะว่าอะไรคุณหรอกนะ ถ้าถูกจ้างมาจริงคุณก็แค่ทำตามคำสั่ง ผมอยากรู้แค่ว่าคนว่าจ้างน่ะเป็นใคร เผื่อเป็นพวกแม่มดที่ผมตามหา ผมจะได้พลิกเกมนี้แล้วเอาคืนพวกเขา” “ถ้ามองกลับกัน คุณก็น่าสงสัยนะครับ หรือคุณยังติดต่อองค์กรเก่าของผม เขาจ้างให้คุณสร้างสถานการณ์พวกนั้นขึ้นมาเพื่อทดสอบผมหรือไง พวกเขาจะหลอกล่อให้ผมกลับไปทำงานใช่ไหม?” ต่างคนต่างมองหน้ากันแล้วเงียบ แต่ละฝ่ายมีเรื่องเคลือบแคลงใจและสงสัยกันและกัน ไม่รู้เลยว่าใครพูดความจริง ใครพูดโกหก ในเมื่อท่าทีที่พูดออกมาเมื่อครู่มันเต็มไปด้วยความจริงจัง “รัญ คุณเก่งนะที่พลิกสถานการณ์กลับมาสงสัยผมได้ ผมถึงอยากให้คุณอยู่ในสายตาจนกว่าผมจะพิสูจน์ได้ว่าคุณบริสุทธิ์ หรือจนกว่าผมจะเจอว่าใครอยู่เบื้องหลัง” “เอาแบบนี้ไหมครับ เพื่อความสบายใจ ผมขอไม่รับงานตัดชุดสูทของบ้านคุณก็แล้วกัน เดี๋ยวผมจะคืนเงินมัดจำให้เต็มจำนวนเลย คุณไม่ต้องเสียเวลามาจับตามองผม ผมก็จะได้ไม่ต้องระแวงคุณ ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นสักวันหนึ่งคุณคงสืบได้เอง” “ไม่ละ ผมชอบงานคุณ” “เดี๋ยวผมหาร้านที่ดีกว่าผมให้เลยก็ได้ครับ ห้องเสื้อคนดังมีเยอะแยะ ผมพอจะติดต่อให้ได้นะ” “ไม่เอา ผมจะตัดชุดกับร้านคุณ” “งั้นไว้งานหน้าก็ได้ครับ ช่วงนี้ถ้าไม่ไว้ใจกันก็ไม่น่าจะทำงานร่วมกันได้ ไว้ผมจะตัดชุดให้ฟรีหนึ่งชุดเลย แต่ในอนาคตนะ จนกว่าคุณจะจัดการเรื่องวุ่นวายนั้นได้ และผมพิสูจน์ตัวเองได้ว่าผมไม่เกี่ยวข้อง” “ไม่ ผมจะให้คุณตัดชุดงานศพผม ช่วยเห็นใจคนใกล้ตายหน่อยเถอะ ผมมีโอกาสตายครั้งเดียวก็อยากได้ชุดที่ถูกใจ และมันต้องเป็นฝีมือคุณเท่านั้น” รัญกรรินชาให้ตัวเองบ้าง ก่อนจะยกแก้วขึ้นเป่าไอร้อนเพียงเล็กน้อยแล้วดื่มมันจนหมดแก้วด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ ชารสชาติดีที่ร้อนกรุ่นไหลผ่านคออย่างรวดเร็ว ตอนนี้อะไรก็ร้อนไม่เท่าไฟโทสะในใจเขาแล้ว เกลี้ยกล่อมชายตรงหน้าอย่างไรก็ไม่สำเร็จสักทาง นอกจากแปลกคนแล้วยังดื้อด้านจนรับมือยากอีกด้วย หากจิรากรไม่แสดงท่าทางยียวนกวนประสาทให้เห็น รัญกรก็คงจะกดอารมณ์หงุดหงิดได้ดีกว่านี้ ทั้งสีหน้าดื้อดึง รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ แววตาวาววับที่มองเหมือนเจ้าของถิ่นกลายเป็นเหยื่อ ทุกอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้พาให้รัญกรอยากวางมวยกับเขาสักหมัด ลมหายใจอุ่นพ่นออกมาด้วยความอดทนอดกลั้น เขาเอนหลังพิงพนักโซฟาแล้วมองชายผมยาวด้วยแววตาเอาเรื่อง “ทำไมต้องเป็นผม เหมือนคุณตั้งใจเข้ามาข้องเกี่ยวกับผมเลยนะครับ ทำไมอยากตัดชุดกับผมนัก ไล่ก็ไม่ไป” “ขอไม่ปิดบังนะ ผมตั้งใจจะใช้บริการร้านคุณจริง ๆ รู้สึกว่าเราคุ้นเคยกันมาก่อน ต่อให้จะผ่านภารกิจก็เถอะ อ้อ ผมเห็นคุณครั้งแรกตอนเข้ามาตรวจงานผู้รับเหมาตั้งแต่ยังทำบ้านไม่เสร็จ เห็นคุณพยุงคนแก่เดินผ่านหน้ารถผมไปตอนติดไฟแดง ผมประทับใจมาก” “คุณรู้ทันทีเลยเหรอว่าเป็นผม ทำไมถึงจำผมได้แม่น ตอนที่ผมเข้าไปทำร้ายคุณ คุณไม่เห็นหน้าผมสักหน่อย” “แต่ผมเป็นคนจ้างให้คุณมาฆ่าผม ก็ต้องรู้ประวัติสิ อ่า ก็มีสืบเพิ่มเติมเองด้วยแหละ ผมเลือกที่จะตายในเงื้อมมือคุณเลยนะ รู้สึกว่าถ้าจะให้ใครเป็นฆาตกรที่ฆ่าผมได้ คนนั้นต้องเก่งพอ ซึ่งคุณเก่ง ผมชอบ...” “ชู่ว... เบาเสียงลงหน่อยครับ” จิรากรทำตามคำสั่งทันที แต่เขาขยับไปนั่งชิดขอบโซฟา และโน้มหน้าเข้าหารัญกรพลางผ่อนเสียงเบาจนกลายเป็นการกระซิบกระซาบกันสองคน “ผมชอบความสามารถของคุณ ทั้งงานในอดีตและปัจจุบัน ผมชอบคนเก่งน่ะ” “ขอบคุณที่ชม แต่ผมไม่อยากร่วมงานกับคุณ ผมอึดอัด คุณก็ระแวงผม ผมก็ระแวงคุณ” “อย่ารังเกียจคนอายุสั้นแบบผมเลย ปีหน้าผมก็ตายแล้ว คำสาปบ้านั่นมันกัดกินผมทุกวันนั่นแหละ ครั้งหนึ่งผมคิดจะชิงตายก่อนด้วยการจ้างคนมาฆ่าผม และผมเลือกคุณ แต่โทษทีที่ผมก็เก่งเรื่องต่อสู้เหมือนกัน คุณเลยพลาดท่าฆ่าผมไม่ได้ แต่ตอนนี้ผมไม่ได้อยากตายแล้ว” “ตอนนั้นผมรู้มาแค่ว่าคุณแม่นปืน เลยหาจังหวะที่คุณไม่อยู่กับปืนเข้าไปทำร้าย ไม่รู้ว่าคุณต่อสู้เก่งด้วย ส่วนเรื่องคำสาปอะไรของคุณนี่ผมไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น อย่าดึงผมเข้าไปยุ่งกับเรื่องที่เกิดขึ้นเลย ต่อให้ศพที่อยู่หลังรถผมตายเพราะคำสาปจริง ผมก็ไม่เกี่ยวอะไรด้วย ผมไม่เชื่อเรื่องพวกนี้” “ผมก็เคยไม่เชื่อเหมือนคุณนี่แหละ” “แล้ว?” “ขยับมาใกล้ ๆ สิ ผมจะเล่าให้ฟัง” สายตาเจ้าเล่ห์แบบนี้คืออะไรกันแน่ ผู้ชายคนนี้ดูแพรวพราวเกินกว่าที่รัญกรคิดไว้มาก ออกแนวเจ้าชู้เลยก็ว่าได้ เมื่อวานตอนเจอกันครั้งแรกคิดว่าจะเป็นคนเงียบขรึมและดุเสียอีก รัญกรถอนหายใจพรืดหนึ่งแล้วเอียงหน้าไปใกล้เขาเพื่อที่จะรับฟัง อยากให้รีบพูดจะได้รีบจบ เมื่อพูดสิ่งที่อยากพูดจบแล้วจะได้กลับไปเสียที “ว่ามาครับ” “ตระกูลผมถูกสาป คุณปู่ผมหลังหย่าร้างกับคุณย่าก็ตรอมใจตาย ผิดหวังในรักมั้ง ผมก็ไม่แน่ใจ ครอบครัวผมมีคุณแม่ป่วยและเสียชีวิตกะทันหัน คุณพ่อเสียสติเพราะหมกมุ่นที่จะแก้คำสาป สุดท้ายก็เสียชีวิตก่อน ส่วนพวกผมถูกสาปว่าจะเป็นทายาทรุ่นสุดท้ายของตระกูล มีอายุแค่สามสิบห้าปี” “คนเราเกิดมาก็ต้องตายครับ เป็นเรื่องปกติ อาจจะไม่เกี่ยวกับคำสาปก็ได้” “ไม่ใช่ครับ คำสาปนั้นเกิดขึ้นก่อน ผมจะไม่เชื่อเรื่องคำสาปเลยนะถ้ามันไม่เกิดขึ้นจริงแบบตรงตามนั้นทุกเรื่อง เหลือเรื่องสุดท้ายก็คือพวกผมจะตายตอนอายุสามสิบห้านี่แหละ สำหรับผมก็คือปีหน้า” เรื่องคำสาปที่เกิดขึ้น คนนอกคงยากจะเข้าไปวิจารณ์ได้ หากฟังผ่าน ๆ คงเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่ออยู่แล้ว แต่พอได้ยินจิรากรยืนยันเหตุการณ์ที่ผ่านมาก็เริ่มไม่กล้าขัดแย้งกับเขา เจ้าตัวเองคงแบกรับปัญหามามากพอแล้ว ที่น่าเห็นใจคือจิรากรมั่นใจมากว่าตนเองกำลังจะตายในอีกไม่ช้า ปีหน้าเขาจะได้ใช้ชีวิตบนโลกนี้เป็นปีสุดท้ายอย่างนั้นหรือ คนเราถ้ารู้เวลาตายคงไม่มีใครรู้สึกดี โดยเฉพาะการตายที่เราไม่ยินยอม “ในเมื่อคุณจะอยู่บนโลกนี้ได้อีกไม่นาน ทำไมตอนนั้นคุณยังจ้างให้ผมไปฆ่าคุณอีกล่ะครับ?” “เพราะผมอยากตายในรูปแบบที่ผมเลือกเอง ผมรู้สึกแพ้ถ้าผมจะตายเพราะคำสาปบ้านั่นจริง แต่เพราะการจู่โจมด้วยมีดสั้นของคุณคืนนั้นทำให้ผมรู้นะ ว่าที่แท้แล้วผมก็กลัวตายเหมือนกัน ตอนนั้นผมคิดน้อยเกินไป เหมือนแค่อยากทำบางอย่างประชดชีวิต รอยแผลที่คุณฝากไว้ย้ำเตือนผมทุกวันว่าครั้งหนึ่งผมเคยได้ต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด” เมื่อฟังจบรัญกรได้ขยับตัวออกห่าง เขากำลังใช้ความคิดปะติดปะต่อเรื่องราว ภาพเหตุการณ์คืนนั้นฉายขึ้นในหัวเป็นฉาก ๆ ซึ่งมันจริงอย่างที่กล่าวมา จิรากรปกป้องตัวเองเต็มที่เพื่อให้มีชีวิตรอด ดวงตาคมหลุบตามองหลังมือขวาของชายหนุ่มตรงหน้า แผลเป็นสีเข้มยังคงเป็นรอยเห็นเด่นชัด เขารู้ว่ามันมาจากเขาแน่นอนเพราะเขาตั้งใจทำรอยภายนอกไว้ ยังจำความรู้สึกตอนคว้าเศษแก้วที่แตกมาฟาดงวงฟาดงากลางอากาศเพื่อต่อสู้กับรัญกรได้อยู่เลย เดิมทีมาดหมายจะกรีดหน้า แต่มือเรียวสวยคู่นี้กลับยกขึ้นมาบดบังเสียก่อน น่าเสียดายที่ผิวละเอียดนี้ดันมีรอยด่างพร้อยเพราะจิรากรเสียได้ แกรก ประตูร้านถูกเปิดเข้ามาอีกครั้ง บอดี้การ์ดคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเจ้านายอย่างนอบน้อม รัญกรลุกออกมาเพราะตั้งใจจะหยิบคอลเล็กชันกระดุมมาให้จิรากรเลือก ในเมื่อเขาอยากตัดชุดกับห้องเสื้อแห่งนี้ก็ย่อมได้ จนใจจะไล่แล้วเหมือนกัน ทว่าสิ่งที่บอดี้การ์ดรายงานให้เจ้านายทราบ กลับเป็นสิ่งที่ทำให้รัญกรต้องชะงักแล้วหยุดฟัง “รอบร้านไม่มีอะไรผิดสังเกตเลยครับ ไม่พบอาวุธหรือบุคคลน่าสงสัยมาสอดแนมขณะที่นายใหญ่อยู่ที่นี่เลย” “อืม เข้าใจแล้ว” รัญกรหันมองชายผมขาวที่ตอนนี้เปลี่ยนท่าทีเป็นเคร่งขรึม ต่างจากคนเมื่อครู่ที่ส่งแววตาเจ้าเล่ห์มาไม่หยุดหย่อน ที่แท้การพูดคุยกันอยู่นานสองนานคือการยื้อเวลาให้ลูกน้องของเขาตรวจสอบบางเรื่องอย่างนั้นหรือ คล้อยหลังบอดี้การ์ดคนเมื่อครู่เดินออกไป รัญกรรีบเข้าไปถามด้วยความโมโห “คุณทำบ้าอะไร มากเกินไปไหมครับ หลอกผมให้คุยด้วยตั้งนานผมก็นึกว่าคุณเล่าเรื่องตัวเองให้ฟังอย่างจริงใจ ผมเกือบลืมไปแล้วว่าคุณสงสัยผม” “ผมจริงใจกับคุณนะรัญ ที่เล่าให้ฟังเพราะอยากให้รู้ ตอนนี้ผมรู้จุดอ่อนคุณแล้วหนึ่งข้อนั่นคือคุณกลัวเรื่องอดีตจะเปิดเผย ผมเลยบอกจุดอ่อนของผมหนึ่งข้อเรื่องคำสาปนั่นให้ฟัง มันเป็นสิ่งเดียวที่ผมกลัว แลกความลับกันคนละข้อไง” เขาทำเสียงอ่อนพลางมองกลับมาด้วยแววตาหยอกเย้า บุคลิกเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาจนยากที่จะเชื่อว่าจิรากรเป็นคนดี เจ้าเล่ห์เพทุบายขนาดนี้ต้องคิดอะไรไม่ดีอยู่แน่ ๆ “คุณนี่มันไว้ใจไม่ได้ ไม่น่าไว้ใจเลยสักนิด!” “ในเมื่อแลกความลับแล้วก็แลกความจริงกันสักข้อไหม? บอกผมทีว่าใครจ้างคุณ ผมสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรคุณเลย” “พูดรู้เรื่องไหมเนี่ย!! ผมบอกว่า...” “ชู่วว อย่าเสียงดังสิครับ เวลาคุณโมโหแล้วคิ้วขมวดเหมือนลูกแมวกำลังขู่ ไม่เห็นจะน่ากลัวเลย ไว้เดี๋ยวผมมาหาใหม่นะ คุยกับคุณแล้วสนุกดี” ร่างสูงเดินออกไปจากร้านด้วยท่าทางอารมณ์ดี ต่างกันสุดขั้วกับรัญกรที่โกรธจนเลือดขึ้นหน้า ส่งคนมาตรวจสอบรอบร้านก็ว่าเป็นการคุกคามพอแล้ว ยังพูดจาไม่รู้เรื่องอีก ดื้อดึง ยัดเยียดความผิดให้เขาทั้งที่เขาไม่ได้ถูกแม่มดที่ไหนจ้างมาปั่นหัวจิรากรทั้งนั้น ที่เกลียดที่สุดคงเป็นท่าทางเจ้าชู้ แววตาที่เต็มไปด้วยความหยอกเย้านั้นมันน่าหงุดหงิดที่สุดเลย ตึก ตึก ตึก ฟิ้ว! “ไอ้เวรรรรรรรรรรร!!!” รัญกรคว้าปากกาด้ามหนึ่งที่วางบนเคาน์เตอร์มาถือไว้แน่น เท้าข้างถนัดก้าวเดินเต็มน้ำหนักไปเปิดประตูหน้าร้าน ก่อนจะง้างแขนเขวี้ยงปากกาออกไปสุดแรงพร้อมกับตะโกนด่า เรื่องความแม่นกับของมีคมไว้ใจรัญกรได้เลย มันไม่เคยพลาดเป้า! อั้ก! มันไม่เคยพลาดเป้าถ้าไม่มีใครมารับแทน... ปลายแหลมของปากกาปักเข้าที่ไหล่ของบอดี้การ์ดคนหนึ่ง แทนที่จะปักเข้าบริเวณหลังคอของชายผมขาวอย่างที่รัญกรได้เล็งเอาไว้ อาจเป็นเพราะไหวพริบบอดี้การ์ดดีและเคลื่อนไหวตัวได้รวดเร็ว พอเห็นคนมุ่งร้ายเจ้านาย ก็กรูกันมาห้อมล้อมจิรากรเป็นวงกลม “พี่รัญ เกิดอะไรขึ้น” ลูกน้องในร้านวิ่งเข้ามาหาพร้อมขนมคนละชิ้นในมือ สีหน้าแตกตื่นทำให้รัญกรเริ่มมีสติ เขาจ้องมองไปยังปากกาด้ามนั้นที่เพิ่งถูกดึงออกมาจากแขน แม้จะทะลุชุดสูทสีดำจนเกิดบาดแผลภายในแล้วไม่เห็นเลือดทะลักออกมาชัดเจน แต่ก็รู้ได้ว่าคงได้รับบาดเจ็บไม่น้อย “ผะ ผมขอโทษครับ เดี๋ยวผมพาไปส่งโรงพยาบาล” “จุ๊ ๆ ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมจัดการแทนเอง” จิรากรก้าวเท้าออกมารับหน้า เห็นสีหน้ารู้สึกผิดกับอาการมือสั่นเทาของรัญกรแบบนั้นแล้วเขาก็เอาผิดไม่ลง วันนี้คงเป็นเขาเองที่ยั่วยุโทสะเกินไป “คุณจิ คือผมไม่ได้ตั้งใจนะ เมื่อกี้ผมขาดสติจริง ๆ ผมไม่น่าโมโหขนาดนั้นเลย ขอโทษครับ” “ไม่เป็นไร แต่ถ้ารอบหน้าคิดจะทำแบบนี้ก็เล็งให้แม่นหน่อยนะ เล็งเข้ามาตรงนี้เลย” นิ้วชี้ข้างถนัดจิ้มลงที่หน้าอกด้านซ้าย การกระทำเหมือนท้าทาย แต่สีหน้าท่าทางกลับดูใจดีเหมือนกำลังจะปลอบประโลมคนทำผิดว่าไม่เป็นไรจากใจจริง แล้วครั้งนี้ทั้งสองก็แยกย้ายกัน โดยที่ยังไม่ได้คุยกันเรื่องการเปลี่ยนแบบกระดุมเสื้อเลยสักนิด จากเดิมที่รัญกรคิดจะเร่งปิดงานโดยเร็ว ตอนนี้คงยากแล้ว ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่เข็ดไม่หลาบ ยังคิดจะมาหาเรื่องกวนใจเขาอยู่เรื่อย ๆ ไม่รู้เมื่อไรรัญกรจะหลุดพ้นจากข้อกล่าวหาที่ว่าเขาถูกจ้างวานให้มาปั่นหัวอีกฝ่าย และไม่รู้ว่าจิรากรจะแก้ตัวอย่างไรที่ถูกคิดว่าองค์กรให้เขามาทดสอบความสามารถของรัญกร เพื่อจะดึงกลับไปทำงานสกปรกเหมือนที่เคยทำ มาจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าเรื่องไหนจริง เรื่องไหนเท็จ...
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD