“โธ่! แจ็ครู้นะพี่จ๋า พ่อกับแม่กดดันพี่จ๋าหาว่าทำงานไม่มีหน้ามีตาใช่ไหม ไหนๆก็ไหนๆ พี่จ๋าไม่ลองจริงจังไปเลยล่ะ”
“แต่นี่มันร้านของพี่สุ พี่จะไปทำอะไรมากไม่ได้หรอก” จารวีบอก
“ผมรู้แล้ว แต่ผมคิดว่าถ้าพี่จ๋าจะเอาดีด้านนี้ พี่จ๋าทำได้อยู่แล้ว อย่างพี่จ๋านะ เรื่องความอดทนเป็นเลิศกว่าทุกคนในบ้านอยู่แล้ว ที่พี่จ๋าออกจากงานเก่าต้องมีอะไรแน่ๆเลย”
“รู้ด้วยเหรอ”
พี่สาวหันมามองหน้าอย่างไม่เชื่อ เพราะนอกจากพี่สุมาลี พี่สาวข้างบ้านแล้วก็ยังไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง และก็เชื่อว่าพี่สุมาลีคงไม่เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังแน่ๆ เพราะถ้าพ่อกับแม่รู้ เธอคงไม่ได้ใช้ชีวิตสงบสุขอย่างนี้หรอก คงรีบให้เธอฟ้องร้องเรียกอะไรต่อมิอะไรไปแล้ว หรือได้ออกข่าวช่องใดช่องหนึ่งไปนานแล้วล่ะ
“เดี๋ยวนี้ใครๆ เค้าก็คิดเรื่องมีธุรกิจส่วนตัวแล้วนะพี่ พี่เชียร์พี่จ๋าเลยนะ ถ้าพี่อยากทำเวบไซต์หรือโฮมเพจประชาสัมพันธ์ร้านละก็...ผมช่วยได้เต็มที่เลยล่ะ”
เพราะนอกจากจะเก่งด้านดนตรีแล้ว จามรยังชอบเรื่องโปรแกรมคอมพิวเตอร์อีกด้วย
“ก็น่าสนใจนะ”
“น่าสนใจมาก” น้องชายเน้นย้ำ “เดี๋ยวนี้เค้าไม่รอลูกค้ามาหาแล้วนะพี่ เราต้องไปหาลูกค้า มีบริการไปรับผ้าที่บ้านแล้วบริการส่งถึงที่ด้วย แถมยังมีไลน์มีเฟซบุ๊คให้ลูกค้าติดต่อได้สะดวกขึ้นนะพี่จ๋า”
หญิงสาวเริ่มคิดตามน้องชาย จริงๆ ก็ได้ยินพี่สุมาลีบ่นเหนื่อยอยากพักแต่เป็นห่วงป้าอมรกับอรอุมา ถ้าเลิกกิจการไปทั้งสองก็จะตกงาน เธออาจไม่มีเงินทุนมาเซ็งกิจการต่อ หากแต่ถ้าจะขอปรับปรุงระบบการทำงานของร้านให้ทันสมัยมากขึ้น อย่างน้อยเธอก็จะมีเงินเดือนและการงานที่มั่งคงไปอีกนานเลยล่ะ
“ลองดูก็ไม่เสียหายอะไรนี่นะ”
“ใช่ไหมละ อย่างที่พี่จ๋าบอกผมไง ผมเองก็จะลองไปเรียนด้านดนตรีดู ถ้ามันไม่ใช่ค่อยหาทางใหม่ที่ใช่กว่าเดิม”
สองพี่น้องมองหน้ากันก่อนจะหัวเราะออกมา เหมือนจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ ทั้งสองอยู่คุยกันกันเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้
แต่ที่แน่ๆ คืนนี้ไม่มีเสียงดังมาจากข้างห้อง ทำให้เธอหลับสบายกว่าหลายคืนที่ผ่านมา
......................
กัมปนาถกลับจากบ้านชานเมืองมาที่อพาร์เม้นท์พร้อมอาหารกล่องที่พี่สาวทำให้ราวกับกลัวว่าเขาจะอดอยาก แต่ก็นั้นแหละ กับข้าวที่บ้านอร่อยๆทั้งนั้น แช่ตู้เย็นไว้ พอจะกินเอามาใส่ไมโครเวฟอุ่นกินได้สบายๆ ไม่ได้ลำบากอะไรตามประสาหนุ่มโสดอยู่แล้ว
เขาหยุดยืนหน้าประตูห้องตัวเอง แอบคาดหวังว่าที่หน้าประตูห้องไม่มีกระดาษอะไรติดอยู่ เขาเหลือบมองไปที่ห้องข้างๆ เมื่อตอนเดินเข้ามาก็ไม่เห็นเงาร่างของหญิงสาวคนนั้น เมื่อคืนคงหลับสบายเพราะไม่มีเสียงดังมาจากห้องของเขา ขณะที่มือใหญ่กำลังไขกุญแจเข้าห้องตัวเอง เขาก็ได้ยินเสียงประตูข้างห้องเปิดออก ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิดแต่ก็อดตกใจไม่ได้ แล้วดวงตาคมก็ประหลาดใจที่เห็นเด็กวัยรุ่นเดินออกมาจากห้อง เด็กหนุ่มในชุดนักเรียนสะพายเป้ก้าวออกมาแล้วปิดประตูใส่กุญแจ
จามรรู้สึกว่าตัวเองถูกจ้องมองอยู่ เขาเงยหน้าไปสบตาด้วย อีกฝ่ายส่งยิ้มให้ เขาก็เพียงแค่ยิ้มนิดๆ อย่างงุนงง
‘พี่เค้าคงไม่คิดอะไรกับเราหรอกนะ’
เด็กหนุ่มรู้สึกเสียวสันหลังชอบกล เขาหลบสายตาแล้วกระชับเป้ที่สะพายบนบ่า วันนี้ไม่มีเรียนเพราะคุณครูติดพานักเรียนอีกห้องไปแข่งขันวิชาวิทยาศาสตร์อีกโรงเรียน พี่จารวีเลยให้เขาตื่นสายได้แล้วค่อยลงไปเจอกันข้างล่าง จามรเดินผ่านคนตัวสูงแล้วตรงดิ่งไปที่นัดหมายกับพี่สาว
“อะไรเนี้ย ทำเป็นรำคาญที่เราเสียงดัง ตัวเองกลับเลี้ยงต้อยนี่หว่า”
กัมปนาถหัวเราะแล้วเปิดประตูเข้าห้องตัวเอง เขาแยกข้าวของที่ขนมาจากบ้านออกจากถุง อาหารเอาใส่ตู้เย็น รวมทั้งผลไม้ มีหนังสือหลายเล่มที่เอามาอ่าน กลับบ้านทีก็ขนของกลับไปกลับมาแบบนี้ ไม่อย่างนั้นสมบัติบ้าคงเต็มห้องไปหมดจนไม่มีที่จะซุกหัวนอนแน่ๆ
ชายหนุ่มมองถุงผลไม้ที่ซื้อติดรถกลับมาอพาร์ทเม้นด้วย ส้มโอหวานๆ หิ้วมาตั้งสามสี่ลูก กะว่าจะฝากคนข้างห้องแทนคำขอโทษ นี่คงไม่ต้องแล้วละมั้ง? แหมๆ ก็ที่ตัวเองยังคั่วเด็กเอามาเคี้ยวได้เลยนี่ กัมปนาถรู้สึกได้ว่าตัวเองหงุดหงิดที่เห็นผู้ชายออกมาจากห้องผู้หญิงคนนั้น
แล้วทำไมเขาถึงหงุดหงิดล่ะ ไม่ได้รู้จักอะไรกันสักหน่อย
ใช่! เขาไม่ได้หงุดหงิดอะไรนี่ และไม่มีเหตุผลให้หงุดหงิดด้วย ถ้าอย่างนั้น ส้มโอนี่ซื้อมาแล้วก็ต้องเอาไปให้ซินะ แต่ถ้าเอายื่นให้เฉยๆ แล้วแฟนเขาเข้าใจผิดจะทำอย่างไรล่ะ
ขณะหยิบโน้นหยิบนี้ เขาก็ดันหยิบกระดาษที่รับมาจากร้านซักอบรีด ชายหนุ่มมองกระดาษในมือกับลายมือเหมือนเด็กนั่นแล้วก็ยิ้มออกมา
“เอาไปฝากที่ร้านดีกว่า จะได้ไม่น่าเกลียดไป”
กัมปนาถจัดการข้าวของที่ตัวเองหิ้วมาเรียบร้อยแล้ว ก็หิ้วถุงส้มโอลงมาที่ร้านซักอบรีดด้านล่างของอาคารอย่างรวดเร็ว และเป็นจังหวะที่จารวีกลับมาจากร้านถ่ายเอกสาร เธอเพิ่งจะปริ้ตแผ่นพับขนาดครึ่งกระดาษA4 ตั้งใจจะเอาไว้แจกหอพักใกล้เคียง และเธอยังไปสั่งทำนามบัตรกับบัตรสะสมแต้มเอาไว้ด้วย
หลังจากที่คุยกับจามรแล้ว เจ้าน้องชายช่วยออกไอเดียดีๆหลายอย่าง เช้ามาเธอก็โทรศัพท์ไปปรึกษาพี่สุมาลี ซึ่งพี่สุมาลีก็เห็นดีเห็นงามด้วย
“ทำไปเลยจ๋า คิดว่าเป็นร้านของตัวเอง มีอะไรให้พี่ช่วยก็บอกได้เลยนะ”
“ขอบคุณมากค่ะพี่สุ”
จารวีรู้สึกสนุกกับสิ่งที่เริ่มต้นทำอยู่ วิชาบริหารที่ร่ำเรียนมาถูกขุดขึ้นมาในสมอง อะไรที่ต้องทำ อะไรที่ช่วยประชาสัมพันธ์ให้คนเข้าถึงร้านได้ ตลอดจนการทำบัญชีรายรับรายจ่ายเพื่อที่จะได้เห็นผลกำไรหรือขาดทุนได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
หญิงสาวเดินเข้ามาในร้านก็พอดีที่น้องชายรออยู่ก่อนแล้ว เธอยื่นใบปลิวที่เพิ่งถ่ายเอกสารมาปึกใหญ่ให้น้องชายดู
“นี่ไง โอเคป่ะ”
“พี่สาวผมนี่ไฟแรงจริงๆ คุยกันเมื่อคืน ตื่นมาทำเสร็จแล้ว” จามรพยักหน้ารับ
“จะทำอะไรก็ต้องทำตอนยังมีไฟนี่แหละ” จารวีหัวเราะร่า
“ผมไปก่อนนะพี่จ๋า ไว้คราวหน้าจะขอมาซุกหัวนอนอีก”
“ไม่กินข้าวด้วยกันก่อนเหรอ”
“ยังไม่หิวเลยพี่ พี่จ๋าก็อย่าทำงานเพลินจนลืมกินข้าวล่ะ”
“จ๊ะๆ ไปเถิดพ่อคุณ”
“ครับ ไปแล้วครับ” จามรพูดปนหัวเราะ แล้วยกมือไหว้ลาพี่สาวกับป้าอมรก่อนจะเดินออกไป
“ดูเป็นเด็กดีไม่เกเรนะคะคุณจ๋า”
“โอ๊ย! ดื้อเงียบเลยละคะป้าอมร”
จารวีเดินเข้ามาด้านใน กำลังชื่นชมผลงานของตัวเองอยู่ได้ไม่กี่นาที ก็รู้สึกว่ามีคนจ้องมองอยู่ เธอเงยหน้าขึ้นก็พบดวงตาคมที่มีแววระรื่นอยู่ในนั้น หญิงสาวเผลอขมวดคิ้ว คนไม่ได้สนิทกันเสียหน่อยทำไมต้องทำตาเป็นประกายอย่างกับรู้จักกันดี สงสัยเมื่อวานไม่อยู่ไปเปลี่ยนบรรยากาศนอกบ้านเลยอารมณ์ดีมาละซิ!
อ๊ะ! แล้วเธอจะหงุดหงิดทำไม ไม่ได้เป็นอะไรกันเสียหน่อย ก็แค่คนข้างห้องเท่านั้น
“มารับเสื้อผ้าหรือคะ” เธอถามเสียงขุ่นๆ พยายามข่มอารมณ์ที่สับสนของตัวเองอยู่
“ครับ”