EP 05 คำขู่ของพ่อเปลว - EP 06 เธอไม่ใช่

2812 Words
และแล้ววันของเวทมนต์ก็มาถึง หลังจากที่บลูเบลล์ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังใหญ่ได้ไม่ถึงอาทิตย์ เปลวเริ่มเบาใจจนตกลงจะไปร่วมงานที่ไนจีเรีย แถมการไปครั้งนี้ยังค่อนข้างที่จะใช้ระยะเวลานานพอสมควร กว่างานจะลงตัว ให้เขาห่างจากภรรยาแน่นอนว่าเขาทำไม่ได้ “พ่อหวังว่าจะไม่มีเรื่องแย่ ๆ เข้าหูของพ่อนะเวทมนต์ แกอย่าคิดว่าจะสั่งให้ทุกคนปกปิดได้ เพราะฉันเป็นพ่อของแกและรู้ทันทุกอย่างที่แกคิดจะทำ” “พ่อมองผมในแง่ร้ายเกินไปแล้วนะ” เวทมนต์พูดเหมือนกำลังน้อยใจ เขากลายเป็นคนอื่นในครอบครัวตั้งแต่บลูเบลล์เข้ามา “ฉันไม่ได้มองแกในแง่ร้าย แต่ฉันรู้จักลูกชายตัวเองดีต่างหาก เพราะแบบนั้น อย่าคิดว่าพ่อแกโง่” เปลวย้ำอีกครั้งและหวังว่าเวทมนต์จะไม่ลองของกับเขา “ทำไม ถ้าผมทำร้ายลูกสาวพ่อ พ่อจะเอาเธอไปซ่อนหรือจะช่วยเธอหนีเหมือนที่ปู่กับลุงครามทำกับพ่อใช่มั้ย?” “ผิดแล้วเวทมนต์ เพราะแบบนั้นมันเข้าทางแก ถ้าแกทำ ถ้าแกทำฉันสัญญาเลยว่าฉันจะจัดงานแต่งแกกับบลูเบลล์ให้เร็วที่สุด และแขกคนแรกที่ฉันจะเชิญคือผู้หญิงที่แกรักนักรักหนา” “พ่อ!” “อย่าลองดี ฉันใจดีกับแกและไม่เคยบังคับแกเลยสักครั้ง แต่ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกถ้าไม่เชื่อฟัง” บลูเบลล์ที่นั่งฟังอยู่เม้มปากแน่นด้วยความหวาดหวั่น เธอรู้ดีว่าเวทมนต์กลัวพ่อ แต่ถ้าจะให้เชื่อง่าย ๆ ว่าเวทมนต์จะไม่ทำอะไรเธอ มันยากเกินไป “หึ! ผมจะไปทำอะไรเธอได้ พ่ออย่าลืมว่าผมมองไม่เห็น” “ก็ตกลงผ่าตัดสักที อย่าดื้อด้านให้มันมากนัก” “ผมไม่อยากรักษา ต้องให้ผมพูดอีกกี่ครั้ง” เวทมนต์เบื่อที่จะต้องมาพูดเรื่องนี้ ทั้งที่เขาชัดเจนมาตลอด “แกคิดเหรอเวทมนต์ ว่าการที่แกตรอมใจไม่รักษาแล้วผู้หญิงคนนั้นจะกลับมา แกคิดแบบนั้นจริง ๆ เหรอ?” “มันเป็นเรื่องส่วนตัวของผม พ่อไม่ควรยุ่ง” “แกมันได้ความโง่มาจากไหน ทำไมไม่เข้าใจสักทีว่าผู้หญิงคนนั้นมันเห็นแก่ตัว ถ้ามันรักแกจริง แค่เดือนเดียวที่รอร่างกายแกพร้อมผ่าตัด ทำไมมันรอแกไม่ได้” คนเป็นลูกเถียงไม่ออก แต่แล้วยังไง ในเมื่อเขาก็ยังเข้าใจคนรักเก่าอยู่ดี “เอาล่ะ เรื่องส่วนตัวของแก ฉันยุ่งมากไม่ได้ แต่จำไว้นะเวทมนต์ถ้าวันไหนที่แกรู้ความจริง แกจะขยักแขยงจนลืมไม่ลง” เปลวลุกเดินจากไป ที่เขาเลือกไม่บอกเพราะเขามีเหตุผล ใจเปลวอยากจะบอกความจริงไปให้จบ ๆ ด้วยซ้ำ ลูกชายเขาจะได้ตัดใจสักที แต่กลัวว่ามันจะไม่เป็นแบบนั้นนี่สิ เพราะไม่แน่นอกจากเวทมนต์จะไม่ตัดใจแล้ว เขาอาจจะตัดทางการรักษาออกไปเลย “สาแก่ใจเธอหรือยัง เห็นหรือยังว่าเธอมันตัวปัญหาในชีวิตของฉัน” “หนูขอโทษค่ะ” เธอเข้าใจเขาดี เขาจะเกลียดเธอก็คงไม่แปลก เพราะเขาไม่ได้ตั้งใจจะหมั้นกับเธอ เธอเข้ามาทำให้ความหวังในการคืนดีกับผู้หญิงคนนั้นหายไป เวทมนต์จะเกลียดเธอมันก็สมควรแล้ว “ขอโทษแล้วมันช่วยอะไรฉัน ออกไปจากชีวิตฉันสิ ที่ฉันต้องการ ทำได้มั้ยล่ะ?” “หนูทำแบบนั้นไม่ได้จริง ๆ ค่ะคุณเวทมนต์” บลูเบลล์ก้มหน้าลงด้วยความละอายใจ แม่บ้านที่ยืนแอบกันที่มุมห้องครัว ทำได้แค่เห็นใจว่าที่นายหญิงของบ้าน “ทำไม่ได้ก็ไม่ต้องมาขอโทษ เธอมันผู้หญิงเห็นแก่ตัว เด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้า” คำนี้อีกแล้ว เขาว่าเธอแบบนี้อีกแล้ว แต่มันก็ถูกเพราะเธอแค่คนที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างที่เขาพูดจริง ๆ “คุณอยากกินอะไรดีคะมื้อกลางวัน” “ฉันอยากกินสเต็กร้านโปรด เธอคงไม่ติดขัดอะไรถ้าต้องไปซื้อให้ฉัน” “ได้ค่ะ เดี๋ยวหนูจะขอให้ลุงแบงค์พาไปซื้อ” บลูเบลล์ลุกจากโซฟาและเตรียมจะเดินออกไป “ไม่! ไปด้วยตัวเอง ห้ามมาใช้คนในบ้านนี้เด็ดขาด เพราะเธอไม่ใช่คนในครอบครัว” “แต่ว่า…” “แค่นี้ทำไม่ได้งั้นเหรอ?” เธอพยายามที่จะบอกเขาว่าเธอไม่เคยเดินทางไปไหนไกล ๆ ด้วยตัวเองเลย แต่ให้เดาเล่น ๆ เขาก็คงตอบมาว่ามันเป็นเรื่องของเธอ บลูเบลล์จึงทำได้แค่ทำตามที่เขาอยากให้ทำ “ร้านอยู่ตรงไหนเหรอคะ?” “ฉันจะให้แม่บ้านบอกทางเธอแล้วกัน เพราะฉันคงไม่มีปัญญากดโทรศัพท์ส่งโลเคชั่นให้เธอได้หรอก” “ค่ะ” บลูเบลล์เดินกลับขึ้นมาบนห้องเพื่อหยิบกระเป๋าเงิน ไม่นานเธอก็เดินลงมาและเตรียมจะออกประตู “หนูบลูเบลล์จะออกไปไหนเหรอครับ?” แบงค์วิ่งเข้ามาถามเมื่อเห็นว่าเด็กสาวมีท่าทีจะเดินไปที่ประตูบ้านใหญ่ “ไปซื้อสเต็กให้คุณเวทมนต์ค่ะ” เธอยิ้มตอบบาง ๆ “ไปครับ เดี๋ยวลุงพาไป” “ไม่ได้นะคะลุงแบงค์” “หื้ม ทำไมครับ ถ้าไม่ให้ลุงพาไปหนูจะไปยังไง มันไกลนะ?” แบงค์ขมวดคิ้วด้วยความเข้าใจ “หนูอยากลองไปเองดูค่ะ อีกอย่างถ้าลุงแบงค์พาหนูไป เกิดคุณเวทมนต์ต้องการให้ใครซื้ออะไรจะทำยังไง” บลูเบลล์คิดแล้วว่าหากบอกไปตามความจริง แบงค์ต้องรายงานเปลวผู้เป็นเจ้านายแน่ และหากเป็นแบบนั้นเวทมนต์อาจจะโดนพ่อดุ แถมเขายังมาลงกับเธอทีหลังหาว่าเธอขี้ฟ้องแน่นอน “จะเอาแบบนั้นเหรอครับ?” แบงค์ทำหน้าหนักใจ เพราะเปลวสั่งเขาไว้ว่าให้ดูแลบลูเบลล์ให้ดี ให้ไปรับไปส่งเธอที่มหาวิทยาลัยเพราะเธอไม่เคยเดินทางด้วยตัวเองมาก่อน การไปร้านโปรดของเวทมนต์นั้นยากกว่านั่งรถไปเรียนอีก “เอาแบบนี้แหละค่ะ หนูไปได้คุณลุงไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ” ความสดใสของเธอทำให้แบงค์จำยอม “งั้นไปดี ๆ นะครับ เดี๋ยวลุงให้คนไปส่งที่ป้ายรถ นั่งแท็กซี่ไปได้นะมันง่ายกว่า ถ้านั่งรถเมย์ดูท่าจะต้องขึ้นสามต่อเลย” “ขอบคุณค่ะ” บลูเบลล์ยืนรอไม่นาน พ่อบ้านก็ขับมอไซต์มาจอดที่ตรงหน้าของเธอ “ขึ้นได้มั้ยครับคุณหนู เดี๋ยวผมไปส่งที่ปากทาง” “ได้ค่ะ สบายมาก” เธอขึ้นไปนั่งและจับกันตกไว้แน่นด้วยความกลัว ไอคำตอบนั่นที่ตอบก็เพราะไม่อยากให้คนอื่นต้องลำบากใจ “งั้นไปกันเลยนะครับ” พ่อบ้านสังเกตได้ว่าบลูเบลล์กลัว เขาจึงเลือกขับช้า ๆ เมื่อถึงป้ายรถที่แบงค์สั่งให้มาส่ง บลูเบลล์ลงจากรถและยกมือไหว้พ่อบ้าน “ไปได้แน่นะครับ รถเมย์ไม่ได้ขึ้นกันง่าย ๆ นะครับ” “หนูไปได้ค่ะ ไม่ต้องห่วง จะรีบกลับมาให้ทันคุณเวทมนต์ทานข้าวแน่นอนค่ะ” สุดท้ายพ่อบ้านทำได้แค่ขับรถกลับบ้านหลังใหญ่ เพราะบลูเบลล์ยืนยันแบบเดิมว่าจะไม่ให้ใครพาไป ดูเหมือนการเดินทางที่แสนจะง่ายสำหรับคนอื่น พอบลูเบลล์ได้ลองมาทำเองแล้วมันยากกว่าที่เธอคิดไว้มาก ยิ่งคนที่ไม่เคยใช้รถประจำทางแบบเธอมันยิ่งยากเข้าไปอีก ตอนนี้เธอลงจากรถเมย์คันแรกเพื่อเตรียมจะขึ้นคันที่สองเพื่อต่อไปขึ้นคันที่สาม “เอ่อ..ขอโทษนะคะ รถเมย์สายนี้ขึ้นตรงนี้หรือเปล่าคะ?” บลูเบลล์เดินเข้าไปถามคนที่ยืนรอรถอยู่เหมือนกันกับเธอเพื่อความแน่ใจ “ใช่ค่ะ นี่จะไปไหนเหรอคะ?” หญิงสาวเอ่ยถาม เพราะดูจากท่าทางเงอะงะของบลูเบลล์แล้วเหมือนเธอตอนที่กำลังหัดขึ้นรถเมย์ครั้งแรกไม่มีผิด “ไปร้านนี้ค่ะ” เธอเปิดชื่อร้านให้อีกคนดู คนเห็นถึงกับขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ “จะไปสมัครงานเหรอคะ?” “เอ๋.. ไม่ใช่นะคะ พอดีจะไปซื้อของน่ะค่ะ” เธอแปลกใจที่ผู้หญิงคนนึงมีรสนิยมในการกินอาหารดี ๆ ที่มื้อหนึ่งไม่ต่ำกว่ารายได้พนักงานประจำทำงานรวมกันแล้วสามสี่วัน ทำไมถึงมานั่งรถเมย์ได้ “ขึ้นแท็กซี่ไปจะง่ายกว่านะคะ” “งั้นเหรอคะ” บลูเบลล์พรึมพรำกับตัวเองเบา ๆ “คุณจะไปไหนเหรอคะ มันอยู่ทางเดียวกันมั้ย จะรบกวนมั้ยคะถ้าบลูเบลล์ขอให้คุณไปแท็กซี่ด้วยกัน” เธอดูข่าวมาเยอะและกลัวว่ารถแท็กซี่ที่เธอเลือกนั้นจะไม่ดีอย่างที่เห็นบ่อย ๆ “เอ่อมันก็ทางเดียวกันแต่ว่าฉัน….” “บลูเบลล์จ่ายค่ารถเองค่ะ ไม่ต้องห่วงนะคะ บลูเบลล์แค่กลัว ถ้าไม่ได้ไปทางเดียวกันไม่เป็นไรค่ะ” เธอเข้าใจดีว่าไม่มีคนใจดีที่ไหนยอมเสียค่ารถเพื่อไปเป็นเพื่อนคนแปลกหน้าหรอก “งั้นได้ค่ะ ทางเดียวกัน” โชคดีของเธอที่ผู้หญิงคนนั้นตกลง ไม่นานทั้งสองก็มาถึงที่ที่บลูเบลล์ต้องการ แต่อีกคนจะต้องนั่งรถต่อไปอีกหน่อย บลูเบลล์เลือกที่จะยื่นค่ารถโดยสารให้เธอ เผื่อจนเธอถึงที่หมาย “ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยบลูเบลล์” หญิงแปลกหน้ายิ้มด้วยความเต็มใจ และนึกเอ็นดูบลูเบลล์ “ไม่เป็นไรค่ะ ขอให้กลับบ้านได้ง่าย ๆ นะคะ” บลูเบลล์ส่งยิ้มเบา ๆ และเธอหมุนตัวเตรียมจะเดินเข้าไปสั่งของในร้าน “เอ่อ..” “รับอะไรดีคะ?” พนักงานเอ่ยถามหญิงสาวที่ดูเหมือนไม่รู้ต้องสั่งอาหารยังไง “คะ..คือว่ามีเมนูนี้มั้ยคะ?” โชคดีที่แม่บ้านจดชื่อเมนูที่เวทมนต์ชอบใส่กระดาษมาให้ ไม่งั้นเธอแย่แน่ ๆ “อ่อ มีค่ะ รับกี่ที่ดีคะ?” “1 ค่ะ กลับบ้านนะคะ” เธอยิ้มร่าเมื่อคิดว่าตัวเองทำได้แล้ว ก้าวผ่านความกลัวในการไปไหนคนเดียวได้แล้ว “นั่งรอสักครู่นะคะ” บลูเบลล์นั่งรออาหารอย่างใจจดใจจ่อโดยไม่รู้ว่าเมนูนี้ค่อนข้างที่จะใช้เวลาในการทำ ผ่านไปราว 15 นาที เธอเริ่มวิตกเพราะคำนวณเวลาที่กลับบ้านยังไงก็ไม่ทันอาหารมื้อเที่ยงของเวทมนต์ หากเป็นแบบนั้นเธอจะต้องโดนดุแน่ ๆ “เอ่อ..ใกล้ได้หรือยังเหรอคะ?” เธอค่อนข้างจะเกรงใจพนักงานไม่น้อย เพราะรู้ดีว่ามันดูเป็นการเสียมารยาทและเร่งทางร้าน “ใกล้แล้วค่ะ พอดีมีคนสั่งเมนูเดียวกันก่อนหน้าคุณไม่กี่นาทีก่อน ทางร้านจึงต้องทำให้คิวนั้นก่อนค่ะ” “อ่อค่ะ” เธอเข้าใจและก้มหน้ารับชะตากรรมนั้น โดนดุโดนด่าแค่ไหนเธอก็คงต้องยอมเพราะมันเป็นเหตุสุดวิสัย อีกอย่างเวทมนต์อยากจะกินร้านที่ไกลขนาดนี้ เขาน่าจะเข้าใจว่ามันนานคงไม่แปลก 20 นาทีต่อมา อาหารที่บลูเบลล์สั่งก็ได้ตามที่ต้องการ เธอเดินไปจ่ายเงินและเตรียมตัวจะกลับ ปัญหาเริ่มเข้ามาอีกครั้ง เพราะขามาเธอโชคดีที่มีเพื่อนร่วมเดินทาง แต่ขากลับมันคงไม่โชคดีแบบนั้น บลูเบลล์เริ่มเดินหาป้ายรถประจำทาง แต่เดินมาเกือบกิโลก็ยังไม่เจอ “ขอโทษนะคะ ป้ายรถเมย์อยู่ตรงไหนเหรอคะ?” เธอถามคนข้างทางอีกเช่นเคย “จะขึ้นรถเมย์เหรอครับ มันต้องไปอีกกิโลเลย” ชายที่แต่งตัวเหมือนพนักงานออฟฟิศตอบไปตามความเป็นจริง “งั้นเหรอคะ” เธอเริ่มคิดแล้วว่าตัวเองซื่อบื่อ หากต้องเดินอีกกิโลนึง เธอตายแน่ ๆ อากาศที่ร้อนขนาดนี้ ระยะทางที่ค่อนข้างไกลจะยิ่งทำให้เธอตัดสินใจโบกรถแท็กซี่ “ไปไหนดีครับ?” คนขับเป็นลุงที่ค่อนข้างแกแล้วทำให้บลูเบลล์เบาใจลงบ้าง “เอ่อ ลุงไปตาม gps ได้มั้ยคะ หนูบอกทางไม่ถูก” “ได้ครับ งั้นลุงขอโทรศัพท์ดูเส้นทางหน่อย” บลูเบลล์ยื่นให้อย่างไม่ลังเล จากนั้นแท็กซี่เริ่มออกจากต้นทางไปยังบ้านหลังใหญ่ รถที่ติดทำให้เวลาในการเดินทางยาวนาน กว่าชั่วโมงที่บลูเบลล์ใช้เวลากลับ พอถึงบ้านเธอรีบยื่นเงินให้คนขับและวิ่งด้วยความเร็วเพื่อให้เวทมนต์เห็นว่าเธอพยายามที่จะรีบมาแล้ว “มาแล้วค่ะ คุณเวทมนต์จะทานเลยมั้ยคะ?” บลูเบลล์รีบที่จะไปเตรียมอาหารจึงไม่ได้มองก่อนว่าเวทมนต์กำลังทำอะไร “ไม่เห็นหรือไงว่าฉันกินแล้ว?” อาหารที่เหมือนกันวางอยู่ตรงหน้าของเวทมนต์ มันหายไปกว่าครึ่งแน่นอนว่าชายหนุ่มคงกินมันมาได้สักพักแล้ว “นะ..นี่” เธอตกใจและนึกถึงตอนที่ร้านบอกว่ามีคนสั่งเมนูเดียวกัน “ฉันลืมไปว่ามันมีบริการส่ง อีกอย่างให้ฉันรอเธอฉันหิวตายพอดี ไม่ได้เรื่อง ไปก็นาน ไปเอากับใครข้างทางมาหรือเปล่าล่ะ?” แค่การที่ให้เธอลำบากไปหาอาหารมันก็แย่พอแล้ว เขายังพูดจาดูถูกเธอและความตั้งใจของเธออีก “บลูเบลล์ขอโทษนะคะ บลูเบลล์ไม่รู้ว่ามันจะช้ามากขนาดนี้” ความจริงแล้วเธอไม่ได้ผิดอะไรด้วยซ้ำ คนที่รู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรู้ว่าเวทมนต์ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้ “เธอนี่มันชอบขอโทษจริง ๆ นะ ทำอะไรได้มากกว่าขอโทษอีกมั้ย พ่อฉันคิดยังไงถึงเอาเธอมาดูแลฉัน ไม่ได้เรื่องสักอย่าง ให้ไปซื้อข้าวแค่นี้ก็มาช้า ไร้ประโยชน์” “คราวหน้าหนูจะไปให้เร็วกว่านี้ค่ะ หนูขอโทษจริง ๆ” น้ำตาที่ไหลลงมาเวทมนต์ไม่เห็นและไม่รับรู้ถึงมัน เพราะมันคือการร้องไห้เงียบ ๆ อีกครั้ง หลายวันที่เข้ามาอยู่ที่นี่ เขาพูดจาแรง ๆ ใส่เธอตลอด แถมยังทำเธอร้องไห้ทุกวัน หากเขาจะสงสารเขาคงหยุดทำมันตั้งแต่วันแรกแล้ว แต่นี่เขาไม่หยุด แสดงว่าชายหนุ่มคนนี้ไม่มีวันเห็นใจเธอ “ดูเหมือนสิ่งเดียวที่เธอจะทำมันได้ดีคงมีแค่เรื่องบนเตียงสินะ เพราะฉันรู้สึกแบบนั้น มันคงเป็นงานถนัดของเธอ ก่อนหน้าที่พ่อฉันจะให้มาหมั้น อาชีพเธอคือการขายบริการหรือเปล่าล่ะ?” เวทมนต์เหยียดยิ้มหลังจากที่พูดจบ ประโยคนั้นทำเอาบลูเบลล์สะอึกจนพูดไม่ออก “หนูไม่เคยทำอะไรแบบนั้น ฮึก และหนูขอร้อง คุณช่วยเลิกดูถูกหนูได้มั้ยคะ หนูทำผิดมากขนาดนั้นเลยใช่มั้ย คุณถึงต้องว่าหนูระ..แรง ๆ แบบนี้” “เธอมันไร้สำนึกอย่างที่ฉันคิดจริง ๆ การเข้ามาทำให้ฉันทรมานที่ต้องหมั้นกับเธอมันยังไม่ร้ายแรงพออีกเหรอ ฉันอึดอัดแค่ไหนรู้มั้ยที่ต้องให้เธอมาอาศัยในห้องของฉัน ที่ที่เป็นของฉัน ยังมีหน้ามาถามอีกหรือไงว่ามันผิดมากหรือเปล่า” “ฝืนตะ..ตัวเองหน่อยนะคะ ฮึก ถ้าคุณหายดี หนูจะไปให้พ้นคุณแน่นอน” “ก็เพราะเธอรู้ว่าฉันไม่รักษา รู้ว่าฉันจะไม่หาย ถึงพูดแบบนี้ใช่มั้ย?” เขามองเธอแง่ลบทุกอย่าง ต่อให้เธอสรรหาเหตุผลมาแค่ไหน มันก็ลบความคิดแรกของเขาไม่ได้อยู่ดี “งั้นคุณรักษาเถอะค่ะ หนูไม่เคยอยากทรมานคุณ” “เธอเป็นใคร คิดว่าตัวเองสำคัญขนาดนั้นเลย คิดว่าตัวเองมีสิทธิ์มาสั่งให้ฉันไปรักษางั้นเหรอ! ขนาดพ่อฉัน ยังสั่งฉันไม่ได้เลย!” เวทมนต์เริ่มตวาดเธอเสียงดัง จนแม่บ้านเดินออกมามุงดู “หนูไม่ได้คิดบะ..แบบนั้นฮึก” การโดนทุกคนจ้องมองมันรู้สึกแย่มาก ๆ จนเธอเริ่มร้องไห้ออกมา “จำใส่กระโหลกของเธอเอาไว้บลูเบลล์ ผู้หญิงคนเดียวที่จะสั่งได้มีแค่ผู้หญิงที่ฉันรักเท่านั้น ส่วนเธอน่ะไม่ใช่!”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD