และแล้ววันของเวทมนต์ก็มาถึง หลังจากที่บลูเบลล์ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังใหญ่ได้ไม่ถึงอาทิตย์ เปลวเริ่มเบาใจจนตกลงจะไปร่วมงานที่ไนจีเรีย แถมการไปครั้งนี้ยังค่อนข้างที่จะใช้ระยะเวลานานพอสมควร กว่างานจะลงตัว ให้เขาห่างจากภรรยาแน่นอนว่าเขาทำไม่ได้
“พ่อหวังว่าจะไม่มีเรื่องแย่ ๆ เข้าหูของพ่อนะเวทมนต์ แกอย่าคิดว่าจะสั่งให้ทุกคนปกปิดได้ เพราะฉันเป็นพ่อของแกและรู้ทันทุกอย่างที่แกคิดจะทำ”
“พ่อมองผมในแง่ร้ายเกินไปแล้วนะ” เวทมนต์พูดเหมือนกำลังน้อยใจ เขากลายเป็นคนอื่นในครอบครัวตั้งแต่บลูเบลล์เข้ามา
“ฉันไม่ได้มองแกในแง่ร้าย แต่ฉันรู้จักลูกชายตัวเองดีต่างหาก เพราะแบบนั้น อย่าคิดว่าพ่อแกโง่” เปลวย้ำอีกครั้งและหวังว่าเวทมนต์จะไม่ลองของกับเขา
“ทำไม ถ้าผมทำร้ายลูกสาวพ่อ พ่อจะเอาเธอไปซ่อนหรือจะช่วยเธอหนีเหมือนที่ปู่กับลุงครามทำกับพ่อใช่มั้ย?”
“ผิดแล้วเวทมนต์ เพราะแบบนั้นมันเข้าทางแก ถ้าแกทำ ถ้าแกทำฉันสัญญาเลยว่าฉันจะจัดงานแต่งแกกับบลูเบลล์ให้เร็วที่สุด และแขกคนแรกที่ฉันจะเชิญคือผู้หญิงที่แกรักนักรักหนา”
“พ่อ!”
“อย่าลองดี ฉันใจดีกับแกและไม่เคยบังคับแกเลยสักครั้ง แต่ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกถ้าไม่เชื่อฟัง” บลูเบลล์ที่นั่งฟังอยู่เม้มปากแน่นด้วยความหวาดหวั่น เธอรู้ดีว่าเวทมนต์กลัวพ่อ แต่ถ้าจะให้เชื่อง่าย ๆ ว่าเวทมนต์จะไม่ทำอะไรเธอ มันยากเกินไป
“หึ! ผมจะไปทำอะไรเธอได้ พ่ออย่าลืมว่าผมมองไม่เห็น”
“ก็ตกลงผ่าตัดสักที อย่าดื้อด้านให้มันมากนัก”
“ผมไม่อยากรักษา ต้องให้ผมพูดอีกกี่ครั้ง” เวทมนต์เบื่อที่จะต้องมาพูดเรื่องนี้ ทั้งที่เขาชัดเจนมาตลอด
“แกคิดเหรอเวทมนต์ ว่าการที่แกตรอมใจไม่รักษาแล้วผู้หญิงคนนั้นจะกลับมา แกคิดแบบนั้นจริง ๆ เหรอ?”
“มันเป็นเรื่องส่วนตัวของผม พ่อไม่ควรยุ่ง”
“แกมันได้ความโง่มาจากไหน ทำไมไม่เข้าใจสักทีว่าผู้หญิงคนนั้นมันเห็นแก่ตัว ถ้ามันรักแกจริง แค่เดือนเดียวที่รอร่างกายแกพร้อมผ่าตัด ทำไมมันรอแกไม่ได้” คนเป็นลูกเถียงไม่ออก แต่แล้วยังไง ในเมื่อเขาก็ยังเข้าใจคนรักเก่าอยู่ดี
“เอาล่ะ เรื่องส่วนตัวของแก ฉันยุ่งมากไม่ได้ แต่จำไว้นะเวทมนต์ถ้าวันไหนที่แกรู้ความจริง แกจะขยักแขยงจนลืมไม่ลง” เปลวลุกเดินจากไป ที่เขาเลือกไม่บอกเพราะเขามีเหตุผล
ใจเปลวอยากจะบอกความจริงไปให้จบ ๆ ด้วยซ้ำ ลูกชายเขาจะได้ตัดใจสักที แต่กลัวว่ามันจะไม่เป็นแบบนั้นนี่สิ เพราะไม่แน่นอกจากเวทมนต์จะไม่ตัดใจแล้ว เขาอาจจะตัดทางการรักษาออกไปเลย
“สาแก่ใจเธอหรือยัง เห็นหรือยังว่าเธอมันตัวปัญหาในชีวิตของฉัน”
“หนูขอโทษค่ะ” เธอเข้าใจเขาดี เขาจะเกลียดเธอก็คงไม่แปลก เพราะเขาไม่ได้ตั้งใจจะหมั้นกับเธอ เธอเข้ามาทำให้ความหวังในการคืนดีกับผู้หญิงคนนั้นหายไป เวทมนต์จะเกลียดเธอมันก็สมควรแล้ว
“ขอโทษแล้วมันช่วยอะไรฉัน ออกไปจากชีวิตฉันสิ ที่ฉันต้องการ ทำได้มั้ยล่ะ?”
“หนูทำแบบนั้นไม่ได้จริง ๆ ค่ะคุณเวทมนต์” บลูเบลล์ก้มหน้าลงด้วยความละอายใจ แม่บ้านที่ยืนแอบกันที่มุมห้องครัว ทำได้แค่เห็นใจว่าที่นายหญิงของบ้าน
“ทำไม่ได้ก็ไม่ต้องมาขอโทษ เธอมันผู้หญิงเห็นแก่ตัว เด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้า” คำนี้อีกแล้ว เขาว่าเธอแบบนี้อีกแล้ว แต่มันก็ถูกเพราะเธอแค่คนที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างที่เขาพูดจริง ๆ
“คุณอยากกินอะไรดีคะมื้อกลางวัน”
“ฉันอยากกินสเต็กร้านโปรด เธอคงไม่ติดขัดอะไรถ้าต้องไปซื้อให้ฉัน”
“ได้ค่ะ เดี๋ยวหนูจะขอให้ลุงแบงค์พาไปซื้อ” บลูเบลล์ลุกจากโซฟาและเตรียมจะเดินออกไป
“ไม่! ไปด้วยตัวเอง ห้ามมาใช้คนในบ้านนี้เด็ดขาด เพราะเธอไม่ใช่คนในครอบครัว”
“แต่ว่า…”
“แค่นี้ทำไม่ได้งั้นเหรอ?” เธอพยายามที่จะบอกเขาว่าเธอไม่เคยเดินทางไปไหนไกล ๆ ด้วยตัวเองเลย แต่ให้เดาเล่น ๆ เขาก็คงตอบมาว่ามันเป็นเรื่องของเธอ บลูเบลล์จึงทำได้แค่ทำตามที่เขาอยากให้ทำ
“ร้านอยู่ตรงไหนเหรอคะ?”
“ฉันจะให้แม่บ้านบอกทางเธอแล้วกัน เพราะฉันคงไม่มีปัญญากดโทรศัพท์ส่งโลเคชั่นให้เธอได้หรอก”
“ค่ะ” บลูเบลล์เดินกลับขึ้นมาบนห้องเพื่อหยิบกระเป๋าเงิน ไม่นานเธอก็เดินลงมาและเตรียมจะออกประตู
“หนูบลูเบลล์จะออกไปไหนเหรอครับ?” แบงค์วิ่งเข้ามาถามเมื่อเห็นว่าเด็กสาวมีท่าทีจะเดินไปที่ประตูบ้านใหญ่
“ไปซื้อสเต็กให้คุณเวทมนต์ค่ะ” เธอยิ้มตอบบาง ๆ
“ไปครับ เดี๋ยวลุงพาไป”
“ไม่ได้นะคะลุงแบงค์”
“หื้ม ทำไมครับ ถ้าไม่ให้ลุงพาไปหนูจะไปยังไง มันไกลนะ?” แบงค์ขมวดคิ้วด้วยความเข้าใจ
“หนูอยากลองไปเองดูค่ะ อีกอย่างถ้าลุงแบงค์พาหนูไป เกิดคุณเวทมนต์ต้องการให้ใครซื้ออะไรจะทำยังไง” บลูเบลล์คิดแล้วว่าหากบอกไปตามความจริง แบงค์ต้องรายงานเปลวผู้เป็นเจ้านายแน่ และหากเป็นแบบนั้นเวทมนต์อาจจะโดนพ่อดุ แถมเขายังมาลงกับเธอทีหลังหาว่าเธอขี้ฟ้องแน่นอน
“จะเอาแบบนั้นเหรอครับ?” แบงค์ทำหน้าหนักใจ เพราะเปลวสั่งเขาไว้ว่าให้ดูแลบลูเบลล์ให้ดี ให้ไปรับไปส่งเธอที่มหาวิทยาลัยเพราะเธอไม่เคยเดินทางด้วยตัวเองมาก่อน การไปร้านโปรดของเวทมนต์นั้นยากกว่านั่งรถไปเรียนอีก
“เอาแบบนี้แหละค่ะ หนูไปได้คุณลุงไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ” ความสดใสของเธอทำให้แบงค์จำยอม
“งั้นไปดี ๆ นะครับ เดี๋ยวลุงให้คนไปส่งที่ป้ายรถ นั่งแท็กซี่ไปได้นะมันง่ายกว่า ถ้านั่งรถเมย์ดูท่าจะต้องขึ้นสามต่อเลย”
“ขอบคุณค่ะ” บลูเบลล์ยืนรอไม่นาน พ่อบ้านก็ขับมอไซต์มาจอดที่ตรงหน้าของเธอ
“ขึ้นได้มั้ยครับคุณหนู เดี๋ยวผมไปส่งที่ปากทาง”
“ได้ค่ะ สบายมาก” เธอขึ้นไปนั่งและจับกันตกไว้แน่นด้วยความกลัว ไอคำตอบนั่นที่ตอบก็เพราะไม่อยากให้คนอื่นต้องลำบากใจ
“งั้นไปกันเลยนะครับ” พ่อบ้านสังเกตได้ว่าบลูเบลล์กลัว เขาจึงเลือกขับช้า ๆ เมื่อถึงป้ายรถที่แบงค์สั่งให้มาส่ง บลูเบลล์ลงจากรถและยกมือไหว้พ่อบ้าน
“ไปได้แน่นะครับ รถเมย์ไม่ได้ขึ้นกันง่าย ๆ นะครับ”
“หนูไปได้ค่ะ ไม่ต้องห่วง จะรีบกลับมาให้ทันคุณเวทมนต์ทานข้าวแน่นอนค่ะ” สุดท้ายพ่อบ้านทำได้แค่ขับรถกลับบ้านหลังใหญ่ เพราะบลูเบลล์ยืนยันแบบเดิมว่าจะไม่ให้ใครพาไป
ดูเหมือนการเดินทางที่แสนจะง่ายสำหรับคนอื่น พอบลูเบลล์ได้ลองมาทำเองแล้วมันยากกว่าที่เธอคิดไว้มาก ยิ่งคนที่ไม่เคยใช้รถประจำทางแบบเธอมันยิ่งยากเข้าไปอีก ตอนนี้เธอลงจากรถเมย์คันแรกเพื่อเตรียมจะขึ้นคันที่สองเพื่อต่อไปขึ้นคันที่สาม
“เอ่อ..ขอโทษนะคะ รถเมย์สายนี้ขึ้นตรงนี้หรือเปล่าคะ?” บลูเบลล์เดินเข้าไปถามคนที่ยืนรอรถอยู่เหมือนกันกับเธอเพื่อความแน่ใจ
“ใช่ค่ะ นี่จะไปไหนเหรอคะ?” หญิงสาวเอ่ยถาม เพราะดูจากท่าทางเงอะงะของบลูเบลล์แล้วเหมือนเธอตอนที่กำลังหัดขึ้นรถเมย์ครั้งแรกไม่มีผิด
“ไปร้านนี้ค่ะ” เธอเปิดชื่อร้านให้อีกคนดู คนเห็นถึงกับขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ
“จะไปสมัครงานเหรอคะ?”
“เอ๋.. ไม่ใช่นะคะ พอดีจะไปซื้อของน่ะค่ะ” เธอแปลกใจที่ผู้หญิงคนนึงมีรสนิยมในการกินอาหารดี ๆ ที่มื้อหนึ่งไม่ต่ำกว่ารายได้พนักงานประจำทำงานรวมกันแล้วสามสี่วัน ทำไมถึงมานั่งรถเมย์ได้
“ขึ้นแท็กซี่ไปจะง่ายกว่านะคะ”
“งั้นเหรอคะ” บลูเบลล์พรึมพรำกับตัวเองเบา ๆ
“คุณจะไปไหนเหรอคะ มันอยู่ทางเดียวกันมั้ย จะรบกวนมั้ยคะถ้าบลูเบลล์ขอให้คุณไปแท็กซี่ด้วยกัน” เธอดูข่าวมาเยอะและกลัวว่ารถแท็กซี่ที่เธอเลือกนั้นจะไม่ดีอย่างที่เห็นบ่อย ๆ
“เอ่อมันก็ทางเดียวกันแต่ว่าฉัน….”
“บลูเบลล์จ่ายค่ารถเองค่ะ ไม่ต้องห่วงนะคะ บลูเบลล์แค่กลัว ถ้าไม่ได้ไปทางเดียวกันไม่เป็นไรค่ะ” เธอเข้าใจดีว่าไม่มีคนใจดีที่ไหนยอมเสียค่ารถเพื่อไปเป็นเพื่อนคนแปลกหน้าหรอก
“งั้นได้ค่ะ ทางเดียวกัน” โชคดีของเธอที่ผู้หญิงคนนั้นตกลง ไม่นานทั้งสองก็มาถึงที่ที่บลูเบลล์ต้องการ แต่อีกคนจะต้องนั่งรถต่อไปอีกหน่อย บลูเบลล์เลือกที่จะยื่นค่ารถโดยสารให้เธอ เผื่อจนเธอถึงที่หมาย
“ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยบลูเบลล์” หญิงแปลกหน้ายิ้มด้วยความเต็มใจ และนึกเอ็นดูบลูเบลล์
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอให้กลับบ้านได้ง่าย ๆ นะคะ” บลูเบลล์ส่งยิ้มเบา ๆ และเธอหมุนตัวเตรียมจะเดินเข้าไปสั่งของในร้าน
“เอ่อ..”
“รับอะไรดีคะ?” พนักงานเอ่ยถามหญิงสาวที่ดูเหมือนไม่รู้ต้องสั่งอาหารยังไง
“คะ..คือว่ามีเมนูนี้มั้ยคะ?” โชคดีที่แม่บ้านจดชื่อเมนูที่เวทมนต์ชอบใส่กระดาษมาให้ ไม่งั้นเธอแย่แน่ ๆ
“อ่อ มีค่ะ รับกี่ที่ดีคะ?”
“1 ค่ะ กลับบ้านนะคะ” เธอยิ้มร่าเมื่อคิดว่าตัวเองทำได้แล้ว ก้าวผ่านความกลัวในการไปไหนคนเดียวได้แล้ว
“นั่งรอสักครู่นะคะ” บลูเบลล์นั่งรออาหารอย่างใจจดใจจ่อโดยไม่รู้ว่าเมนูนี้ค่อนข้างที่จะใช้เวลาในการทำ
ผ่านไปราว 15 นาที เธอเริ่มวิตกเพราะคำนวณเวลาที่กลับบ้านยังไงก็ไม่ทันอาหารมื้อเที่ยงของเวทมนต์ หากเป็นแบบนั้นเธอจะต้องโดนดุแน่ ๆ
“เอ่อ..ใกล้ได้หรือยังเหรอคะ?” เธอค่อนข้างจะเกรงใจพนักงานไม่น้อย เพราะรู้ดีว่ามันดูเป็นการเสียมารยาทและเร่งทางร้าน
“ใกล้แล้วค่ะ พอดีมีคนสั่งเมนูเดียวกันก่อนหน้าคุณไม่กี่นาทีก่อน ทางร้านจึงต้องทำให้คิวนั้นก่อนค่ะ”
“อ่อค่ะ” เธอเข้าใจและก้มหน้ารับชะตากรรมนั้น โดนดุโดนด่าแค่ไหนเธอก็คงต้องยอมเพราะมันเป็นเหตุสุดวิสัย อีกอย่างเวทมนต์อยากจะกินร้านที่ไกลขนาดนี้ เขาน่าจะเข้าใจว่ามันนานคงไม่แปลก
20 นาทีต่อมา อาหารที่บลูเบลล์สั่งก็ได้ตามที่ต้องการ เธอเดินไปจ่ายเงินและเตรียมตัวจะกลับ ปัญหาเริ่มเข้ามาอีกครั้ง เพราะขามาเธอโชคดีที่มีเพื่อนร่วมเดินทาง แต่ขากลับมันคงไม่โชคดีแบบนั้น บลูเบลล์เริ่มเดินหาป้ายรถประจำทาง แต่เดินมาเกือบกิโลก็ยังไม่เจอ
“ขอโทษนะคะ ป้ายรถเมย์อยู่ตรงไหนเหรอคะ?” เธอถามคนข้างทางอีกเช่นเคย
“จะขึ้นรถเมย์เหรอครับ มันต้องไปอีกกิโลเลย” ชายที่แต่งตัวเหมือนพนักงานออฟฟิศตอบไปตามความเป็นจริง
“งั้นเหรอคะ” เธอเริ่มคิดแล้วว่าตัวเองซื่อบื่อ หากต้องเดินอีกกิโลนึง เธอตายแน่ ๆ อากาศที่ร้อนขนาดนี้ ระยะทางที่ค่อนข้างไกลจะยิ่งทำให้เธอตัดสินใจโบกรถแท็กซี่
“ไปไหนดีครับ?” คนขับเป็นลุงที่ค่อนข้างแกแล้วทำให้บลูเบลล์เบาใจลงบ้าง
“เอ่อ ลุงไปตาม gps ได้มั้ยคะ หนูบอกทางไม่ถูก”
“ได้ครับ งั้นลุงขอโทรศัพท์ดูเส้นทางหน่อย” บลูเบลล์ยื่นให้อย่างไม่ลังเล จากนั้นแท็กซี่เริ่มออกจากต้นทางไปยังบ้านหลังใหญ่ รถที่ติดทำให้เวลาในการเดินทางยาวนาน กว่าชั่วโมงที่บลูเบลล์ใช้เวลากลับ พอถึงบ้านเธอรีบยื่นเงินให้คนขับและวิ่งด้วยความเร็วเพื่อให้เวทมนต์เห็นว่าเธอพยายามที่จะรีบมาแล้ว
“มาแล้วค่ะ คุณเวทมนต์จะทานเลยมั้ยคะ?” บลูเบลล์รีบที่จะไปเตรียมอาหารจึงไม่ได้มองก่อนว่าเวทมนต์กำลังทำอะไร
“ไม่เห็นหรือไงว่าฉันกินแล้ว?” อาหารที่เหมือนกันวางอยู่ตรงหน้าของเวทมนต์ มันหายไปกว่าครึ่งแน่นอนว่าชายหนุ่มคงกินมันมาได้สักพักแล้ว
“นะ..นี่” เธอตกใจและนึกถึงตอนที่ร้านบอกว่ามีคนสั่งเมนูเดียวกัน
“ฉันลืมไปว่ามันมีบริการส่ง อีกอย่างให้ฉันรอเธอฉันหิวตายพอดี ไม่ได้เรื่อง ไปก็นาน ไปเอากับใครข้างทางมาหรือเปล่าล่ะ?” แค่การที่ให้เธอลำบากไปหาอาหารมันก็แย่พอแล้ว เขายังพูดจาดูถูกเธอและความตั้งใจของเธออีก
“บลูเบลล์ขอโทษนะคะ บลูเบลล์ไม่รู้ว่ามันจะช้ามากขนาดนี้” ความจริงแล้วเธอไม่ได้ผิดอะไรด้วยซ้ำ คนที่รู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรู้ว่าเวทมนต์ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้
“เธอนี่มันชอบขอโทษจริง ๆ นะ ทำอะไรได้มากกว่าขอโทษอีกมั้ย พ่อฉันคิดยังไงถึงเอาเธอมาดูแลฉัน ไม่ได้เรื่องสักอย่าง ให้ไปซื้อข้าวแค่นี้ก็มาช้า ไร้ประโยชน์”
“คราวหน้าหนูจะไปให้เร็วกว่านี้ค่ะ หนูขอโทษจริง ๆ” น้ำตาที่ไหลลงมาเวทมนต์ไม่เห็นและไม่รับรู้ถึงมัน เพราะมันคือการร้องไห้เงียบ ๆ อีกครั้ง หลายวันที่เข้ามาอยู่ที่นี่
เขาพูดจาแรง ๆ ใส่เธอตลอด แถมยังทำเธอร้องไห้ทุกวัน หากเขาจะสงสารเขาคงหยุดทำมันตั้งแต่วันแรกแล้ว แต่นี่เขาไม่หยุด แสดงว่าชายหนุ่มคนนี้ไม่มีวันเห็นใจเธอ
“ดูเหมือนสิ่งเดียวที่เธอจะทำมันได้ดีคงมีแค่เรื่องบนเตียงสินะ เพราะฉันรู้สึกแบบนั้น มันคงเป็นงานถนัดของเธอ ก่อนหน้าที่พ่อฉันจะให้มาหมั้น อาชีพเธอคือการขายบริการหรือเปล่าล่ะ?” เวทมนต์เหยียดยิ้มหลังจากที่พูดจบ ประโยคนั้นทำเอาบลูเบลล์สะอึกจนพูดไม่ออก
“หนูไม่เคยทำอะไรแบบนั้น ฮึก และหนูขอร้อง คุณช่วยเลิกดูถูกหนูได้มั้ยคะ หนูทำผิดมากขนาดนั้นเลยใช่มั้ย คุณถึงต้องว่าหนูระ..แรง ๆ แบบนี้”
“เธอมันไร้สำนึกอย่างที่ฉันคิดจริง ๆ การเข้ามาทำให้ฉันทรมานที่ต้องหมั้นกับเธอมันยังไม่ร้ายแรงพออีกเหรอ ฉันอึดอัดแค่ไหนรู้มั้ยที่ต้องให้เธอมาอาศัยในห้องของฉัน ที่ที่เป็นของฉัน ยังมีหน้ามาถามอีกหรือไงว่ามันผิดมากหรือเปล่า”
“ฝืนตะ..ตัวเองหน่อยนะคะ ฮึก ถ้าคุณหายดี หนูจะไปให้พ้นคุณแน่นอน”
“ก็เพราะเธอรู้ว่าฉันไม่รักษา รู้ว่าฉันจะไม่หาย ถึงพูดแบบนี้ใช่มั้ย?” เขามองเธอแง่ลบทุกอย่าง ต่อให้เธอสรรหาเหตุผลมาแค่ไหน มันก็ลบความคิดแรกของเขาไม่ได้อยู่ดี
“งั้นคุณรักษาเถอะค่ะ หนูไม่เคยอยากทรมานคุณ”
“เธอเป็นใคร คิดว่าตัวเองสำคัญขนาดนั้นเลย คิดว่าตัวเองมีสิทธิ์มาสั่งให้ฉันไปรักษางั้นเหรอ! ขนาดพ่อฉัน ยังสั่งฉันไม่ได้เลย!” เวทมนต์เริ่มตวาดเธอเสียงดัง จนแม่บ้านเดินออกมามุงดู
“หนูไม่ได้คิดบะ..แบบนั้นฮึก” การโดนทุกคนจ้องมองมันรู้สึกแย่มาก ๆ จนเธอเริ่มร้องไห้ออกมา
“จำใส่กระโหลกของเธอเอาไว้บลูเบลล์ ผู้หญิงคนเดียวที่จะสั่งได้มีแค่ผู้หญิงที่ฉันรักเท่านั้น ส่วนเธอน่ะไม่ใช่!”