บทที่ 3.2
จิ้งจอกเดินตามรอยเท้าเสือ
จิ้งเจิ้งหลี่นั่งจามอยู่หลายครั้งในใจรู้สึกหงุดหงิดเสียทุกครั้งที่นึกถึงสาเหตุการไม่สบายในครั้งนี้ของตนเอง ยัยจิ้งจอกน้อยจูเพ่ยหลินทำเขาได้แสบมิน้อย งานนี้หากเขาไม่ได้เอาคืนนางอย่าเรียกเขาว่านายท่านจิ้งแห่งซีอาน!!!
จูเพ่ยหลินนั่งอ่านบัญชีของร้านเครื่องประดับสกุลจิ้งอยู่นาน ในครึ่งเล่มแรกรู้สึกอิจฉาเจ้าของกิจการนี้ยิ่งนักเมื่อหลายปีก่อนรายได้ของร้านเครื่องประดับนี้สูงเสียจนน่าทึ่งหากแต่ปีหลัง ๆ มานี้น่าแปลกที่รายได้ตกต่ำเสียจนไม่น่าจะยังคงดำเนินกิจการได้ จูเพ่ยหลินดูยอดการสั่งซื้อสินค้าเพื่อใช้ในการผลิตก็คล้ายแบบเก่า แต่สินค้าที่ขายออกกับลดลงอย่างน่าประหลาดใจ เหตุใดกิจการที่ดูเฟื่องฟูมาตลอดจึงซบเซาลงได้รวดเร็วเช่นนี้ แล้วนายท่านจิ้งผู้เก่งกาจเรื่องการค้ามิกระทำสิ่งใดเลยหรือไร ช่างน่าแปลกนัก
มือเรียวปิดสมุดบัญชีลงหากเป็นคนอื่นคงใช้เวลาในการศึกษาตีความอยู่หลายวันแต่สำหรับจูเพ่ยหลินที่ในภพก่อนเป็นนักการตลาดและนักวางแผนการบัญชีของบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง บัญชีเล่มเดียวย่อมไม่ยากเกินกำลังของนาง เพียงสองวันก็สามารถวิเคราะห์สถานการณ์ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ร่างเพรียวบางลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายอย่างเมื่อยล้า นิสัยของนางที่ไม่ว่าจะผ่านมากี่ภพก็ไม่อาจเปลี่ยนก็คือเวลาทำสิ่งใดจะต้องทำจนกว่าจะถึงที่สุด ไม่เสร็จไม่เลิกรา ไม่สมบูรณ์ไม่ปล่อยมือ
ดังนั้นสองวันมานี้จูเพ่ยหลินจึงอ่อนล้ายิ่งนัก โชคดีที่จิ้งเจิ้งหลี่เดินทางไปดูกิจการที่หัวเมืองทางใต้นางจึงมิต้องคอยระแวดระวังตัวเป็นพิเศษเช่นทุกครั้ง แขนเรียวยกขึ้นกอดอกทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่างพลันริมฝีปากบางก็ยกยิ้ม นั่งเครียดกับตัวเลขมาหลายวันขอหาอะไรทำแก้เบื่อสักหน่อยละกัน
เวรยามหน้าประตูสกุลจิ้งถึงกับเบิกตากว้างเมื่อเห็นสาวใช้ของอนุจู
อ่า...ขนาดสาวใช้ยังงามขนาดนี้ตัวฮูหยินหกจะงดงามเพียงใดกัน
“ขอบคุณพี่ชายทั้งสองที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้ นี่เป็นน้ำใจเล็กน้อยที่ฮูหยินฝากมาให้เจ้าค่ะ”
ถุงสีน้ำตาลอ่อนสองถุงถูกส่งให้คนเฝ้าประตูจวน ชายหนุ่มทั้งสองยิ้มกว้างรีบรับไว้อย่างว่องไว ก่อนหลีกทางให้สาวใช้คนงามก้าวผ่านประตูจวนออกไปอย่างง่ายดาย
เมื่อพ้นประตูจวนจูเพ่ยหลินพลันยิ้มกว้าง นางปลอมตัวเป็นเหลียนฮวาทำทีเป็นออกมาซื้อของให้เจ้านายของตน แน่นอนว่าเวรยามเหล่านั้นย่อมต้องไม่เคยเห็นหน้านางเพราะความที่เหล่าฮูหยินต่างแยกย้ายกันอยู่ในที่ของตนไม่วุ่นวายหรือออกไปนอกเรือนถ้าไม่จำเป็น อีกทั้งวันแต่งงานตัวนางก็ถูกปิดใบหน้าเสียมิดชิด ไม่มีทางที่เหล่าคนรับใช้นอกเรือนจะได้เห็นหน้านางเป็นแน่
หลังจากเดินมาไกลพอสมควรจูเพ่ยหลินก็เลี้ยวเข้าโรงเตี๊ยมขนาดเล็กแห่งหนึ่งเปิดห้องเพื่อทำการเปลี่ยนเสื้อผ้าปลอมตัวเป็นบุรุษ แม้จะมั่นใจว่าไม่มีใครรู้จักตนแต่ก็ไม่ควรประมาท
ยามที่สวมใส่เสื้อผ้าของบุรุษจูเพ่ยหลินก็คล้ายเด็กหนุ่มวัยสิบสามสิบสี่ จะมีก็เพียงหน้าอกที่ดูจะโดดเด่นเกินไปจนนางต้องใช้ผ้ารัดอกอยู่หลายทบเพื่ออำพรางเอาไว้
ใช้เวลาราวหนึ่งชั่วยามหลังจากออกมาจากจวนตระกูลจิ้ง จูเพ่ยหลินก็มาถึงร้านเครื่องเขียนสกุลจู นางแจ้งแก่ผู้ดูแลเพื่อขอเข้าพบคุณชายจูโดยส่งป้ายประจำตัวให้ แม้จะเป็นเพียงลูกที่เกิดจากสาวใช้แต่บิดาก็ยังคงให้ป้ายประจำตัวบุตรสกุลจูแก่นาง และนั่นทำให้เวลานี้นางได้เข้ามาพบพี่ชายได้อย่างสะดวกยิ่ง
“น้องสี่….เจ้ามาได้อย่างไรกัน ข้าคิดว่าชาตินี้คงไม่ได้พบเจ้าอีกแล้ว”
จูลู่จิวเอ่ยกับน้องสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เมื่อก่อนเพราะเขาต้องเดินทางไปดูแลกิจการต่างๆ เพื่อช่วยบิดาทำให้ไม่ค่อยได้สนิทสนมกับบรรดาน้องสาวทั้งห้าเท่าใดนัก แต่จากเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เขารู้สึกประทับใจในตัวน้องสาวตรงหน้าจนเกิดเป็นความรักและนับถือในใจ
“แม้ข้าจะแต่งออกมาแล้วแต่ก็ไม่เคยลืมว่าตนเองเป็นคนสกุลจู
เติบใหญ่มาได้เพราะข้าวและน้ำของสกุลจู”
“น้องสี่เจ้าอย่าได้คิดมากเลย ข้าและท่านพ่อไม่ตำหนิเจ้าหรอกหากเจ้าจะไม่ได้มาเยี่ยมเยือน แค่ที่เจ้าเสียสละนี่ก็นับว่าได้ทดแทนบุญคุณแล้ว”
จูเพ่ยหลินยิ้มกว้าง ฟังจากที่พี่ชายของนางพูดแล้วเวลานี้ความสำคัญที่สกุลจูมอบให้นางคงไม่น้อยเลยทีเดียว
“ข้าเพียงผ่านมาเลยแวะมาเยี่ยมท่าน แล้วนี่กิจการของเราเป็นอย่างไรบ้าง เงินที่นำไปหมุนได้ทุนคืนมาบ้างหรือยัง”
จูลู่จิวถอนหายใจยาวใบหน้าแฝงแววกังวล ไม่กล้าเอ่ยบอกความจริงแก่คนที่เสียสละ จูเพ่ยหลินมองท่าทางของพี่ชายตรงหน้าก็คาดเดาสถานการณ์ของสกุลจูได้ในทันที
“ย่ำแย่มากหรือไม่”
“นับว่าไม่ค่อยดีนัก... ท่านพ่อกังวลจนล้มป่วย ข้าเองก็ยังหาทางแก้ไขไม่ได้”
“เช่นนั้นข้าขอดูสมุดบัญชีของร้านได้หรือไม่”
แม้จะกล่าวว่าสตรีออกเรือนก็เหมือนน้ำที่สาดออกไปแล้ว แต่สำหรับ
จูลู่จิว คนตรงหน้าอย่างไรก็คือน้องสาวของเขา ไม่มีเหตุผลที่เขาจะต้องกังวลหากต้องมอบสมุดบัญชีร้านให้แก่นาง
ตะวันลับขอบฟ้าไปแล้วแต่จูเพ่ยหลินยังคงนั่งอ่านสมุดบัญชีร้านเครื่องเขียนของตระกูลจูอย่างตั้งใจ มือบางหยิบพู่กันเขียนรายละเอียดบางอย่างลงบนแผ่นกระดาษเป็นบางครั้ง
สามวันต่อมาจูเพ่ยหลินก็มาเยือนร้านเครื่องเขียนสกุลจูอีกครั้ง คราวนี้ผู้ดูแลร้านให้นางเข้าไปพบจูลู่จิวได้ในทันทีโดยไม่ต้องไปแจ้งให้นายน้อยทราบเช่นคราวก่อน
“น้องสี่…มาหาพี่เช่นนี้อย่าบอกว่าเจ้าอ่านบัญชีทั้งหมดนั่นจบแล้ว”
“ย่อมเป็นเช่นนั้น”
จูลู่จิวมีสีหน้าตกใจเล็กน้อยก่อนที่จะยิ้มกว้าง น้องสาวผู้นี้มีเรื่องให้เขาแปลกใจได้ตลอดเสียจริง
“เช่นนั้นน้องสี่มีสิ่งใดจะชี้แนะพี่ชายผู้นี้บ้างหรือไม่”
จูลู่จิวเอ่ยเสียงอ่อนแสดงท่าทางนอบน้อมราวเด็กน้อยรอคำปรึกษาจากผู้อาวุโส จูเพ่ยหลินตีที่ต้นแขนพี่ชายเบาๆ อย่างหมั่นไส้ ท่าทางของนางทำเอาพี่ชายอย่างจูลู่จิวหัวเราะเสียงลั่น
“หากยังล้อเลียนข้าเช่นนี้ข้าจะไม่มาหาท่านแล้ว”
จูลู่จิวหุบยิ้มในทันที รีบเดินอ้อมโต๊ะมาโอบไหล่น้องสาวอย่างเอาใจ
“โธ่... เพ่ยหลินคนงาม พี่ชายผู้นี้เพียงล้อเล่นเท่านั้น เจ้าอย่าโกรธไปเลย”
จูเพ่ยหลินมองหน้าพี่ชายที่นางหลงคิดมาตลอดว่าเป็นคนเคร่งขรึมแล้วถอนหายใจยาว ก่อนส่งกระดาษแผ่นหนึ่งให้เขา
“นี่คือสิ่งใด”
จูลู่จิวอ่านข้อความที่นางเขียนแล้วไม่ค่อยเข้าใจนัก จูเพ่ยหลินเองก็ลืมไปว่าภาษาบางอย่างนั้นคนในยุคนี้ยังไม่เข้าใจ
“นี่เรียกว่าแผนจิ้งจอกเดินตามรอยเท้าเสือ”
หลังจากฟังเรื่องราวและขั้นตอนต่าง ๆ ของแผนการนี้จูลู่จิวก็อดที่จะหัวเราะเสียงดังไม่ได้ เขาพึ่งรู้ว่าตนเองมีน้องสาวที่เจ้าเล่ห์เพียงนี้ สมแล้วที่นายท่านจิ้งมอบฉายาให้นางว่านางจิ้งจอกน้อย