บทที่ 1.2
แรกพบจิ้งจอกน้อยจอมเจ้าเล่ห์
"จิ้งเจิ้งหลี่ คือนายท่านตระกูลจิ้ง เป็นคหบดีอันดับหนึ่งของเมืองซีอานเจ้าค่ะ"
เหลียนฮวาเอ่ยบอกแก่ผู้เป็นนายด้วยน้ำเสียงฉะฉาน จูเฟยหลินยกชาร้อนขึ้นจิบพรางคิดวิเคราะห์ หลังจากบิดานางบอกว่านายท่านจิ้งปฏิเสธไม่ให้บิดาของนางเข้าพบที่จวน โดยเขาจะเป็นฝ่ายมาเยือนตระกูลจูด้วยตนเองแทน จูเฟยหลินก็ให้เหลียนฮวาไปสืบข่าวข้อมูลส่วนตัวของนายท่านผู้นี้มา
"ผู้คนต่างกล่าวว่านายท่านจิ้งดูแลกิจการด้วยความซื่อสัตย์ มือไม้สะอาด ทำให้ตระกูลจิ้งมั่นคง และกลายเป็นคหบดีอันดับหนึ่งของซีอานเจ้าค่ะ"
ซื่อสัตย์ มือไม้สะอาด ยามได้ยินสาวใช้คนสนิทเอ่ยคำนี้ จูเพ่ยหลินก็อดที่จะยกมุมปากขึ้นอย่างขบขันไม่ได้ หากเป็นคนซื่อสัตย์ มือไม้สะอาดจริง เกรงว่านายท่านจิ้งผู้นี้คงไม่สามารถยืนหยัดกลายเป็นคหบดีอันดับหนึ่งแห่งแคว้นได้เช่นนี้
"ความชอบส่วนตัวล่ะ"
"เอ่อเป็น... หญิงงามเจ้าค่ะ นายท่านจิ้งนิยมหญิงงาม เวลานี้ที่จวนมีฮูหยินถึงห้าท่านเจ้าค่ะ"
ฮูหยินถึงห้าคน บุรุษอื่นมีเพียงสามภรรยาสี่อนุ นายท่านจิ้งผู้นี้กลับยกสตรีขึ้นมาเป็นภรรยาถึงห้าคน ช่างเป็นบุรุษที่จิตใจกว้างขวางต่อหญิงงามยิ่งนัก
"มีถึงห้าฮูหยิน เช่นนั้นเหล่าอนุคงนับไม่ถ้วน"
จูเฟยหลินเอ่ยด้วยน้ำเสียงดูแคลน สำหรับนางที่อยู่ในยุคนี้มานานไม่นึกแปลกใจอะไรกับค่านิยมมากภรรยาเช่นนี้ เพราะมากภรรยาคือมากบารมี หึ..ความจริงแล้วคือความมักมากของบุรุษทั้งสิ้น
"เช่นนั้นวันนี้ท่านพ่อคงให้พี่รองและพี่สามไปรับรอง"
พี่สาวของนางสองคนนี้แม้ไม่ใช่ยอดหญิงงามแห่งแคว้น แต่ก็นับว่าเป็นสตรีผู้งดงามผู้หนึ่ง สำหรับบุรุษมักมากเช่นนายท่านจิ้งผู้นั้นย่อมต้องหลงใหลพวกนางอย่างแน่นอน
"ข้าจะยกน้ำชาไปให้นายท่านจิ้งผู้นี้สักหน่อย"
แววตาของจูเฟยหลินเปล่งประกายเจ้าเล่ห์ เหลียนฮวาที่รับใช้ข้างกายคุณหนูสี่ผู้นี้มานานย่อมรู้ดีว่าภาพลักษณ์สุภาพ ถ่อมตัว ที่จูเพ่ยหลินแสดงออกมานั้นเป็นเพียงฉากหน้าอำพรางตนจากความวุ่นวาย
………………………..………………………..
จูเพ่ยหลินยกชาชุดใหม่เข้ามาในห้องโถงด้วยเครื่องแต่งกายเยี่ยงสาวใช้ในจวน หากแต่ทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาในห้องโถงใหญ่ ดวงตาหวานก็กวาดมองบรรยากาศรอบตัวอย่างพิจารณา คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเล็กน้อยด้วยความสงสัยเหตุใดสถานการณ์ภายในห้องโถงจึงได้อึมครึมเช่นนี้ มิใช่ว่านายท่านจิ้งเป็นบุรุษนิยมหญิงงามหรือไร เช่นนั้นแล้วเพราะอะไรพี่สาวผู้งดงามทั้งสองของนางจึงได้เอาแต่ยืนหน้าซีดตัวสั่นอยู่มุมห้องเช่นนั้น
จูเฟยหลินเดินอ้อมมาด้านหลังบุรุษที่นางคาดเดาว่าเขาคือนายท่านจิ้ง ทว่าเพียงนางขยับมาใกล้เขาบุรุษชุดดำที่ยืนด้านหลังเขาก็ลอบมองนางด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ ยามที่จูเพ่ยหลินวางชุดน้ำชาลงที่โต๊ะด้านข้าง บุรุษชุดดำผู้หนึ่งก็ทำหน้าที่ราวกับราชองครักษ์ขององค์ฮ่องเต้เปิดกาจุ่มเข็มเงินในน้ำชาทันที จูเพ่ยหลินยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนเดินอ้อมมายืนด้านหลังบิดาแอบฟังการสนทนา
"หลินเอ๋อร์ เจ้าเข้ามาทำไม"
บิดาเอ่ยกระซิบถามนาง หากแต่จูเพ่ยหลินทำเพียงยกยิ้มบางเบา แล้วยืนอย่างสงบ สายตาทอดมองไปยังบุรุษที่นางมั่นใจว่าคือนายท่านจิ้งผู้นั้นอย่างพิจารณา
นับว่าเป็นบุรุษรูปงามผู้หนึ่ง มิน่าเล่าจึงได้มากภรรยาเช่นนั้น
"กิจการของนายท่านจู มิใช่กำลังย่ำแย่หรือไร"
น้ำเสียงหนักแน่นกดดันเอ่ยถามออกมาโดยที่ไม่แม้แต่จะชายตามองคู่สนทนาราวกับบิดาของนางเป็นเพียงมดปลวกไร้ค่า ทำให้จูเพ่ยหลินอดที่จะรู้สึกหงุดหงิดขุ่นเคืองใจไม่ได้
"เอ่อ..."
เมื่อเห็นท่าทีอึกอักตื่นกลัวจนใบหน้าขาวซีดของบิดา จูเพ่ยหลินก็เป็นกังวลขึ้นมา นางมั่นใจว่าเรื่องสถานการณ์ของกิจการในตระกูลจูยังไม่มีผู้ใดรับรู้ ดูแล้วท่าทีกดดันนี้ของบุรุษตรงหน้าก็แค่การโยนหินถามทาง ลองเชิงบิดานางดูเสียมากกว่า มุมปากของจูเพ่ยหลินยกขึ้นเล็กน้อยอย่างเย้ยหยันก่อนจะแสร้งหัวเราะเบาๆ ทว่ากลับได้ยินไปทั้งห้องโถง
"หลินเอ๋อร์!"
จูลู่จื่อเอ่ยเสียงดุลอดไรฟัน แม้บุตรีผู้นี้จะไม่ได้ถือกำเนิดจากฮูหยินเอก แต่นางก็ถูกอบรมมาอย่างดีไม่ต่างจากพี่น้องคนอื่น เหตุใดวันนี้จึงได้เสียกิริยาต่อหน้าผู้อื่นเช่นนี้กัน
"ขออภัยเจ้าค่ะท่านพ่อ... เพียงแต่ข้าอดที่จะขบขันกับเรื่องตลกนี้ไม่ได้จริงๆ"
จูเพ่ยหลินเอ่ยขึ้นราวกับสตรีไม่รู้มารยาท ยามที่บุรุษสนทนาสตรีไม่ควรออกความเห็นเรื่องนี้นางถูกพร่ำสอนจนจำได้ตั้งแต่ปีแรกที่เป็นจูเพ่ยหลิน หากแต่ถ้านางยังนิ่งเฉยเกรงว่าครั้งนี้บิดาคงต้องตกหลุมพรางอีกฝ่ายเป็นแน่ เช่นนี้แล้วนางจะยอมเป็นสตรีไร้มารยาทสักครั้งก็ไม่นับว่าเสียหายอะไร
"หลินเอ๋อร์... อย่าเสียมารยาทต่อหน้านายท่านจิ้ง"
"ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ... เพียงแต่วันก่อนข้าแอบได้ยินท่านแม่ใหญ่คุยกับท่านแม่รองว่าท่านพ่อกำลังจะขยายกิจการทว่าขาดทรัพย์เพียงเล็กน้อย มาตอนนี้ได้ยินนายท่านจิ้งกล่าวว่ากิจการของเรากำลังย่ำแย่จึงเผลอเสียมารยาท ไม่ทราบว่าคุณชายไปได้ข่าวที่ใดมากันเจ้าคะ ช่างเป็นแหล่งข่าวที่ย่ำแย่เสียจริง"
ชายที่ยืนด้านหลังจิ้งเจิ้งหลี่สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเด็กสาวตรงหน้าพาดพิง จิ้งเจิ้งหลี่ยกยิ้มมุมปากก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วส่งสายตาดุดันไปยังเด็กสาวที่เสียมารยาทอย่างถูกจังหวะ ทว่าดวงตากลมใสที่สบตาเขาอย่างนิ่งเฉยไร้ความตื่นกลัว ไร้พิรุทให้จับผิด กลับทำให้เขาเกิดความลังเล หรือคนของเขาจะสืบข่าวมาผิดพลาดจริงๆ
"เช่นนั้นไม่ทราบว่านายท่านจูจะเอาสิ่งใดมาค้ำประกันการกู้ยืมครั้งนี้กัน"
เมื่อถูกเอ่ยถามโดยไม่ทันตั้งตัวจูลู่จื่อก็สะดุ้งจนตัวสั่น ด้วยมิทันเตรียมการและไม่คุ้นกับการต่อรองเช่นนี้ หอบุปผา เสียงกระซิบจากด้านหลังช่วยเขาได้ทันการพอดี
"หอบุปผา ของเรารุ่งเรืองที่สุดคงทำให้นายท่านจิ้งพอใจมิน้อย"
จิ้งเจิ้งหลี่ยกยิ้มมุมปากเขาเห็นหญิงสาวด้านหลังกระซิบบอกบิดาตนอย่างชัดเจน หากแต่กลับไม่คิดเปิดโปงนาง อยากรู้นักว่าสตรีน้อยในห้องหอเช่นนางจะช่วยบิดาได้สักแค่ไหนกัน
"แต่ข้ากับชื่นชอบร้านผ้าของท่านมากกว่า"
จูเพ่ยหลินขมวดคิ้วแน่น ตลอดเจ็ดวันก่อนที่นายท่านจิ้งผู้นี้จะมาเยือนตระกูลจู นางได้ขอบิดาเข้าไปอ่านบัญชีร้านทั้งเก้าร้านหลักของตระกูลและรู้ว่าร้านผ้านั้นทำกำไรได้สูงสุด น่าแปลกที่เรื่องนี้ชายตรงหน้ากลับคาดเดาได้เช่นกัน หากแต่นางก็เตรียมแผนการสำหรับทางออกนี้มาเป็นอย่างดีแล้วเช่นกัน
"เหตุใดจะไม่ได้กันเล่า จริงหรือไม่เจ้าคะท่านพ่อ"
"เอ่อ... จริงๆ"
จูลู่จื่อเหงื่อตกจนแผ่นหลังชุ่ม เขาไม่รู้ว่าจะอธิบายสถานการณ์ตอนนี้ว่าอย่างไรดี ทว่าแรงกดดันของสองชายหญิงคู่นี้กลับทำให้เขารู้สึกว่า จูเพ่ยหลินมิใช่บุตรสาวที่เขารู้จัก และเผลอไว้ใจนางโดยไม่รู้ตัว ทุกประโยคที่นางเอ่ยบอกก็พลั้งคล้อยตามราวกับถูกนางสะกดจิต
"เดิมทีเห็นว่าหอบุปผามีสิ่งสวยงามที่อาจทำให้คุณชายจิ้งพึงใจท่านพ่อจึงได้เสนอกิจการนี้ค้ำประกัน แต่หากคุณชายจิ้งนิยมการเย็บปักเช่นนั้นกิจการร้านผ้าก็ย่อมเหมาะสมจริงไหมเจ้าคะท่านพ่อ”
นิยมการเย็บปัก ประโยคเหน็บแนมนี้ช่างชวนให้คนฟังโมโหนัก ดวงตาคมตรงหน้าส่งสายตาพิคาตมาที่สตรีน้อยด้านหลังราวกับจะใช้สายตานั้นสังหารนาง ทว่าจูเพ่ยหลินกลับไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวต่อสายตาของเขา ตรงกันข้ามนางกลับทอดสายตามองกลับมาอย่างท้าทาย
"เช่นนั้นก็ตกลง"
จิ้งเจิ้งหลี่แม้จะระแวงว่าการต่อรองนี้ง่ายเกินไป หากแต่ตามสายข่าวของเขากิจการที่รุ่งเรืองที่สุดของตระกูลจูก็คือร้านผ้า เช่นนั้นการเจรจาตกลงครั้งนี้เขาย่อมไม่ขาดทุนเป็นแน่
หึ! นางจิ้งจอกน้อยคงคิดใช้วาจาทำให้เขาเปลี่ยนใจจากกิจการผ้าล่ะสิ อยากรู้นักว่าหากเขาตอบตกลงเช่นนี้นางจะทำอย่างไร
"ระหว่างนี้ข้าจะเข้าไปจัดการดูแลร้านผ้าของท่านแลกกับจำนวนเงินที่ท่านต้องการ หากท่านขยายกิจการจนได้เงินมาคืนข้าเมื่อไหร่ ข้าก็จะคืนร้านให้ท่าน ตกลงตามนี้ดีหรือไม่"
"ตก... ตกลง"
จูลู่จื่อเอ่ยตอบรับด้วยท่าทางสับสน ตัวเขาแม้ดูแลกิจการตระกูลจูมานานร่วมสิบปีทว่าก็ไม่เคยต้องมาเจรจาต่อรองเช่นนี้ ที่ผ่านมาทุกอย่างล้วนราบรื่น เขาเพียงตรวจบัญชีและรับผลกำไรเท่านั้น นับดูแล้วนี่คือการเจรจาทางการค้าครั้งแรกในชีวิตของเขา
เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วจูเพ่ยหลินก็ยิ้มกว้าง ดวงตากลมเปล่งประกายยินดี ทอดสายตามองไปยังบุรุษที่สีหน้าบึ้งตึงกลางห้องแล้วเอ่ยเสียงสดใส
"คุณชายจิ้งช่างมีน้ำใจสมคำร่ำลือเสียจริง"
จิ้งเจิ้งหลี่ขมวดคิ้วหนาหรี่ตามองเด็กสาวตรงหน้าด้วยความหวาดระแวง เหตุใดเขาจึงรู้สึกคล้ายทำบางสิ่งผิดพลาดไปกัน
………………………..………………………..