บทที่ 1.1
โฉมหน้าที่แท้จริงของจิ้งจอกน้อย
จูเพ่ยหลิน เดินตามสาวใช้เหลียนฮวามาจนถึงห้องหนังสือที่บิดาใช้นั่งทำงานเป็นประจำ หากแต่คราวนี้ต่างกันตรงที่บิดาของนางไม่ได้นั่งอ่านบัญชีเช่นทุกครั้ง แต่เขากลับกำลังเดินวนไปมาราวหนูติดจั่น
จูลู่จื่อ ขบกรามแน่นอย่างหนักใจ ทั้งชีวิตที่ผ่านมาของเขาไม่เคยมีสักครั้งที่เขาจะร้อนรนได้ถึงเพียงนี้ ด้วยนิสัยส่วนตัวของเขานั้นค่อนข้างจะสุขุมและรอบคอบเสมอมา ดังนั้นจึงไม่เคยพบพานความผิดพลาด หากแต่คราวนี้เพราะความประมาทและชะล่าใจโดยแท้จึงทำให้เขาพลาดพลั้ง
จุเพ่ยหลินลอบกวาดสายตามองรอบห้อง เวลานี้นอกจากบิดาของนางแล้วภายในห้องยังมี แม่ใหญ่ แม่รอง พี่สาวน้องสาวทั้ง3 และพี่ชายอีก2 คนรวมอยู่ด้วย จนตอนนี้ห้องหนังสือที่ใหญ่โตของบิดาดูแคบไปในทันที โดยปกติแล้ว หากมีการรวมตัวกันโดยพร้อมหน้าเช่นนี้ บิดาของนางมักจะเรียกพบทุกคนที่ห้องโถงหลักของเรือน ทว่าครั้งนี้กลับเรียกมาที่ห้องหนังสือส่วนตัวจูเพ่ยหลินจึงคาดเดาว่าเรื่องที่บิดากำลังจะแจ้งต่อทุกคนจะต้องเป็นเรื่องที่หนักหนาและเป็นความลับอย่างแน่นอน
"หลินเอ๋อร์คับนับท่านพ่อ ท่านแม่ใหญ่ ท่านแม่รอง พี่ใหญ่ พี่รอง...."
จูเพ่ยหลินยังไม่ทันร่ายรายชื่อทุกคนในห้องครบ บิดาก็ยกมือห้ามพร้อมกับส่งสัญญาณให้นางไปยืนยังที่ประจำของตน จูเพ่นหลินจึงขยับตัวไปยืนชิดริมหน้าต่างข้างจูเฟยอิน และจูเฟยซิ่น
"มากันครบแล้วใช่หรือไม่"
น้ำเสียงอ่อนล้าของจูลู่จื่อเอ่ยขึ้น เมื่อกวาดตามองรอบห้องแล้วคาดเดาว่าทุกคนมาโดยพร้อมกันแล้วก็ถอนหายใจยาวอีกครั้ง
"ครบแล้วขอรับ"
จูลู่จิว บุตรชายคนโตของตระกูลจูเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ท่าทางและน้ำเสียงเช่นนี้ของบิดาเขาไม่เคยเห็นมาก่อน ในใจจึงเกิดความวิตกกังวลไม่น้อย
"เวลานี้ข้าไม่อาจเลี้ยงดูพวกเจ้าได้อีกแล้ว"
จบคำของจูลู่จื่อใบหน้าของทุกคนในห้องหนังสือก็พลันซีดเผือด
“ไม่อาจเลี้ยงดูได้อีกแล้ว ท่านพี่นี่ท่านหมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ”
ฮูหยินใหญ่แห่งตระกูลเอ่ยถามด้วยความตกใจและยิ่งตกใจมากขึ้นเมื่อได้คำตอบจากผู้เป็นสามี
“กิจการของตระกูลจูขาดทุนมาร่วมสองปี ตอนนี้คงไม่สามารถรักษาเอาไว้ได้อีกแล้ว”
จูเฟยหลินลอบมองทุกคนอย่างเห็นใจ คุณหนูอย่างพวกนางคุณชายอย่างพวกเขาไม่มีทางยอมรับเรื่องนี้ได้แน่นอน
"ไม่มีทางแก้ไขเลยหรือขอรับท่านพ่อ"
ยังคงเป็นจูลู่จิวที่ตั้งสติได้ก่อนผู้อื่นเอ่ยปากถามบิดาออกมา แม้จะเป็นคำถามง่ายๆ เพียงประโยคเดียวแต่สำหรับจูลู่จื่อกลับรู้สึกว่าเป็นคำถามที่แสนยากเย็น เขาขบกรามแน่นส่ายหน้าแทนคำตอบ ใบหน้าของทุกคนแปลเปลี่ยนจากซีดเผือดเป็นเศร้าหมองในทันที
"ไม่จริง ข้าไม่เชื่อ"
"ท่านพ่อ ท่านล้อพวกข้าเล่นใช่หรือไม่เจ้าคะ"
"นั่นสิคะ ท่านพี่เรื่องนี้จะเป็นไปได้อย่างไร ข้าไม่เชื่อ ไม่มีทางเชื่อ"
เสียงของผู้คนในห้องร้องขึ้นอย่างไม่ยอมรับกับปัญหาที่กำลังจะต้องเผชิญ หากแต่เมื่อเห็นว่าจูลู่จื่อยังคงยืนนิ่งไม่เอ่ยปฏิเสธสิ่งที่ได้แจ้งออกมา จากเสียงร้องต่อต้านโวยวายก็แปลเปลี่ยนเป็นเสียงร่ำไห้
"เป็นข้าที่ไม่ดีเองทำพวกเจ้าลำบากแล้ว"
เสียงสั่นเทาของจูลู่จื่อเอ่ยออกมาเบาๆ ท่ามกลางเสียงร่ำไห้ของผู้คนในตระกูล เมื่อไม่สามารถทำสิ่งใดได้มากกว่าการยอมรับสุดท้ายทุกคนก็ค่อยๆ ทยอยจากไป จูลู่จื่อกลืนก้อนสะอื้นลงท้องทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวใหญ่ แม้ในใจจะยากยอมรับกับสิ่งที่เผชิญแต่อย่างไรเสียเขาก็เป็นบุรุษจะมาร่ำไห้เช่นเหล่าภรรยาและบุตรีเช่นนั้นได้อย่างไร
"ท่านพ่อ..."
จูเพ่ยหลินเรียกคนที่กำลังสติหลุดลอยเสียงเบา เหตุการณ์ครั้งนี้ของตระกูลทำให้นางนึกถึงการล้มละลายของบริษัทใหญ่ๆ ในช่วงยุคที่นางจากมา เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ก็ทำให้นางนึกถึงวิธีการแก้ไขปัญหาที่ผู้คนในยุคของนางนิยมกัน การถ่ายเทหุ้น แม้นางจะไม่ถนัดเรื่องการบริหารกิจการแต่เรื่องการถ่ายเทหุ้นหาหุ้นส่วนมาร่วมประคองธุรกิจก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินกว่านางจะเข้าใจ
"มีอะไรหรือหลินเอ๋อร์"
แม้จะอยู่ในช่วงที่อารมณ์กำลังย่ำแย่ แต่จูลู่จื่อก็ไม่เคยใช้อารมณ์กับคนในครอบครัวเลยสักครั้ง เรื่องนี้นับเป็นสิ่งที่จูเพ่ยหลินนึกชื่นชมบิดาผู้นี้ไม่น้อย
"ข้ามีเรื่องจะปรึกษาท่านพ่อเจ้าค่ะ"
ใบหน้าที่ผ่านกาลเวลามานานของจูลู่จิวขมวดคิ้ว ก่อนจะพยักหน้าเป็นการอนุญาต ในสถานการณ์เช่นนี้เรื่องที่บุตรีอยากปรึกษาย่อมไม่พ้นการเร่งแต่งออกไปกับตระกูลดีๆ สักตระกูล
"เวลานี้ยังมิมีผู้ใดรู้เรื่องกิจการของเราใช่หรือไม่เจ้าคะ"
จูลู่จื่อ ขมวดคิ้วหนาไม่คิดว่าเรื่องที่บุตรีเอ่ยออกมาจะเป็นเรื่องกิจการของตระกูล ทว่าแม้บุตรีผู้นี้จะมีใจหวังดีแต่เรื่องกิจการเป็นหน้าที่ของบุรุษ สตรีเช่นนางย่อมไม่เข้าใจ
"หลินเอ๋อร์เรื่องนี้..."
"ปัญหาอยู่ที่เราขาดเงินหมุนเวียนใช่หรือไม่เจ้าคะ"
เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่จริงจังของบุตรีตรงหน้าจูลู่จื่อก็เผลอพยักหน้ารับ หลงลืมความคิดเรื่องบุรุษสตรีเมื่อครู่ไปชั่วขณะ
จูเฟยหลินเม้มริมฝีปากบางอย่างใช้ความคิด หากปัญหาคือขาดทุนหมุนเวียนเช่นนั้นแค่หาหุ้นส่วนที่น่าเชื่อถือและมีเงินหนามาร่วมหุ้นหรือหานายทุนสักคนกู้ยืมเงินสักก้อนก็น่าจะแก้ไขปัญหาทั้งหมดได้ โดยไม่ต้องขายกิจการ
"เช่นนั้นหากเราหานายทุนมาเป็นหุ้นส่วน เอ่อ..ข้าหมายถึงหาผู้ร่วมดูแลกิจการโดยให้เขานำเงินมาร่วมลงทุนจะเป็นไปได้หรือไม่เจ้าคะ"
จูลู่จื่อได้ฟังคำแนะนำของบุตรีก็มีความคิดคล้อยตามขึ้นมา ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาการถือครองกิตการเป็นเรื่องของคนในตระกูล ไม่เคยมีการร่วมดูแลโดยคนนอกตระกูลมาก่อน จูเฟยหลินเห็นสีหน้ากังวลของบิดาก็เข้าใจความคิดของอีกฝ่ายในทันที ยุคสมัยนี้ยังไม่มีการเซ็นต์สัญญาที่น่าเชื่อถือพอ อีกทั้งการคำนวนรายรับรายจ่ายก็ไม่ละเอียด ดังนั้นการร่วมลงทุนระหว่างคนนอกตระกูลจึงเป็นเรื่องที่พบเจอได้น้อย ส่วนใหญ่แล้วหากพบปัญหาเช่นนี้จึงเลือกที่จะขายกิจการเพื่อก้ไขปัญหา ไหนเลยจะมีการใช้วิธีร่วมลงทุนเช่นที่นางเอ่ยบอกบิดา
"หากการร่วมลงทุนเป็นไปได้ยาก เช่นนั้นเราสามารถกู้ยืมเงินได้หรือไม่เจ้าคะ"
ตระกูลจูทำกิจการค้าขายมาหลายชั่วคน แม้ไม่ถือเป็นคหบดีอันดับหนึ่ง ทว่าความน่าเชื่อถือก็คงมีไม่น้อย เรื่องกู้ยืมเงินคงไม่น่าจะยากเกินไป ทว่าเมื่อเห็นท่าทีกังวลของบิดา ในใจของจูเพ่ยหลินก็ตระหนักได้ถึงปัญหาตรงหน้า
ไร้ความน่าเชื่อถือ
ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้แต่จูเพ่ยหลินก็ยังไม่คิดยอมแพ้โดยง่าย ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันเอ่ยถามบิดาออกมาอีกประโยค
"เช่นนั้นในตอนนี้ใครคือคหบดีอันดับหนึ่งเจ้าคะ"
"นายท่านจิ้ง"
นายท่านจิ้ง แม้จะไม่รู้ว่าคนผุ้นี้คือใคร แต่ในเมื่ออีกฝ่ายคือทางรอดของตระกูล จูเพ่ยหลินก็ไม่ลังเลที่จะผลักดันบิดาให้เดินหน้า
"เช่นนั้นท่านพ่อคงต้องไปเยือนตระกูลจิ้งสักครั้ง”
………………………………………