Chapter 2: วิญญาณ

1894 Words
หลายคืนก่อนมิลาดานอนกระสับกระส่ายไปมาอยู่บนเตียง อันที่จริงเธอต้องการที่จะกระสับกระส่ายมากกว่าที่เป็นอยู่เสียอีก ติดอยู่ตรงที่ว่าร่างเล็กของเธอขยับได้เพียงน้อยนิดเพราะรู้สึกราวกับว่ามีใครบางคนนอนทับทาบร่างของเธออยู่ หน้าอกของสาวน้อยสะท้อนขึ้นลงอย่างรุนแรงเหมือนเจ้าของร่างพยายามหายใจจนเหนื่อยหอบ ใบหน้าที่ก่อนนี้หลับตาพริ้มบัดนี้กลับย่นคิ้วเข้าชนกัน เหงื่อเม็ดโตไหลท่วมทั่วกาย “อื้อออ... ยายจ๋า... ยาย...” เสียงมิลาดาร้องเรียกหายายผู้เลี้ยงดูเธอมาแต่เล็กแต่น้อยถูกเปล่งออกมาจากริมฝีปากอิ่มเล็ก น้ำตาของเธอเริ่มไหลอาบสองแก้ม ในใจเกิดความกลัวเพราะร่างกายไม่สามารถขยับได้ตามใจปรารถนาแถมเธอยังรู้สึกได้ว่ามีมือที่มองไม่เห็นลูบไล้เนื้อตัวเธออย่างหยาบคายเกินที่เธอจะรับได้ “ดา! ดา! ตื่นเร็ว! ดาร์ลิง!” เสียงหญิงชราคนหนึ่งเปิดประตูเข้ามาในห้องนอนของมิลาดา เรียกชื่อเธอเสียงดัง วางพระสำหรับห้อยคอองค์เล็กไว้แนบอกของเธอพร้อมออกแรงเขย่าทำให้ร่างเล็กที่นอนแทบหมดแรงค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาพร้อมคราบน้ำตาเปียกแก้มเลอะหน้าเลอะตาไปหมด สาวน้อยหน้าลูกครึ่งโผเข้าไปกอดหญิงชราแน่น ร้องไห้น้ำตานองหน้า “ฮือ ฮือ ฮือ! ยายจ๋า มัน... มัน... มันมาอีกแล้ว” มิลาดาสะอึกสะอื้นกอดร่างยายไว้แน่นราวกับกลัวสิ่งลี้ลับจะพรากเธอไปจากยายของเธอ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอเจอปรากฏการณ์เช่นนี้ ตั้งแต่เริ่มแตกเนื้อสาวเธอก็เจอเรื่องราวเช่นนี้เรื่อยมาแต่มันเริ่มถี่ขึ้นเป็นระยะ การแขวนพระที่ยายให้ก็ช่วยได้บ้าง แต่พอเธอเรียนจบมหาวิทยาลัยสิ่งแปลกปลอมที่เธอมองไม่เห็นก็เล่นงานเธอหนักขึ้นทุกวัน “พระก็ไม่ช่วยเหรอลูก?” หญิงชรากอดร่างหลานสาวแน่น เธอลูบหัวเด็กสาวเบา ๆ แล้วถามเสียงอ่อนโยนพลางมองไปที่พระที่ปกติหลานสาวห้อยติดตัวตลอดเวลา แต่บัดนี้สิ่งลี้ลับกลับทำให้มันร่วงหล่นอยู่บนพื้นห้อง “เมื่อไม่กี่เดือนก่อนมันเริ่มมาบ่อยขึ้น และยิ่งตอนนี้ ขนาดพระที่แขวนติดตัว มันยังเอาออกจากตัวหนูได้ หนูจะทำยังไงดีคะยาย? ที่สำคัญ... มัน... มัน... มันเริ่มทำมากกว่านอนกดบนตัวหนู มัน... มัน... ทำเหมือนหนูเป็นแฟนมัน ฮึก! ฮึก! ฮึก!” มิลาดาสะอื้นแล้วเงยหน้าขึ้นถามยาย ทุกคืนมาลินีหรือยายเม่นผู้เป็นยายของเธอเข้ามานอนเป็นเพื่อนมิลาดาแต่เพียงชั่วครู่ที่ยายไปเข้าห้องน้ำมันก็สามารถทำให้มิลาดาหวาดกลัวได้ถึงเพียงนี้ “เปลี่ยนห้องนอนก็ไม่ช่วย ห้อยพระก็ไม่ช่วย มีคนมานอนด้วยไอ้ผีสางบ้าบอก็ยังตามรังควาน เห็นจะมีทางเดียวแล้วละดาร์ลิง” มาลินีปลอบหลานแล้วนึกถึงที่พึ่งสุดท้ายของเธอ “ทางไหนคะ?” มิลาดาถามยายเม่นอย่างมีความหวัง “พระที่หนูแขวน หรือพระที่ยายมี ผ่านการปลุกเสกมาแล้ว แต่พลังการปลุกเสกของแต่ละคนไม่เท่ากัน มันถึงมีของขลัง และของที่ไม่ขลัง หากไม่มีพลังใส่ลงไปพระก็เป็นเพียงโลหะชิ้นหนึ่ง หรือดินเผาก้อนหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นถ้าพระที่แขวนติดตัวยังถูกกระชากออกไปได้ ทางเดียวที่พอจะช่วยหนูได้คือหาสิ่งที่มันดึงจากตัวหนูไม่ได้และต้องเป็นสิ่งติดตัวที่ถูกปลุกเสกด้วยอาคมสูงสุดด้วย” ยายบอกด้วยน้ำเสียงครุ่นคิด “ยายจะเย็บพระติดกับหนังหนูหรือยังไง?” มิลาดาขมวดคิ้วแล้วถามยาย แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้แต่เธอยังคิดไม่ออกว่ายายเม่นพูดถึงอะไร “เหตุการณ์บานปลายถึงขนาดผีจะขืนใจยังจะมาถามกวนยายอีก เดี๋ยวตีเสียเลยนี่” ยายเม่นดุหลานแล้วตีเพียะเบา ๆ ลงบนต้นแขนบางของเธอ “อู๊ย! เจ็บนะคะยาย หนูแค่อยากรู้ว่าจะทำยังไงให้มีสิ่งคุ้มครองหนูที่ไม่มีวันหลุดจากตัวหนู” มิลาดาลูบแขนปอย ๆ แล้วถามยาย ความตื่นกลัวหายไปสิ้นเมื่ออยู่ใกล้ยาย มิลาดาผู้ร่าเริงคนเดิมกลับมาอีกครั้ง “เอาเข็มเย็บพระติดหนังเราไม่ได้หรอกยัยดา ถึงหนังหนูจะหนาแต่ยายว่ามันออกจะเกินไปหน่อย ดังนั้นเมื่อเอาเข็มเย็บไม่ได้ ยายก็จะให้เขาเอาเข็มสักหนู สักยันต์ไว้เลยลูก เอาให้ติดตัว ไม่มีทางเอาออกได้” ยายเม่นบอกหลานสาวพร้อมเชยคางเธอขึ้นมาเช็ดน้ำตาที่ยังคงหลงเหลือคราบอยู่บนแก้มใส “ยันต์? สักยันต์เนี่ยนะคะ? มันช่วยได้เหรอคะ? ขนาดพระเครื่องยังเอาไม่อยู่ ยันต์จะช่วยได้จริงเหรอคะ?” มิลาดาจ้องตายายแล้วถามอย่างจริงจัง “พระขลังไม่เท่ากัน ยันต์ที่สักก็เหมือนกัน มันขึ้นอยู่กับว่าใครลงคาถาสักให้ ยิ่งคนมีพลังมาก คาถาแม่นยำ ยันต์ที่สักบนตัวยิ่งมีฤทธิ์มาก ดีเทียบเท่ากับพระขลัง ๆ เลยทีเดียว” ยายเม่นเห็นหลานเลิกกลัวก็ใจชื้นขึ้นมาหน่อย พูดอธิบายให้หลานฟังด้วยน้ำเสียงที่ดีขึ้นกว่าเดิมมาก “แล้วคนแบบนั้นมีจริงเหรอคะยาย? แล้วเขาจะสักยันต์กันผีให้หนูไหม? แล้วถ้าเจ๋งขนาดนั้น ค่าตัวมิแพงแย่เหรอคะ? เราไม่ได้รวยขนาดนั้นนะคะ แล้วอีกอย่าง... เขาจะสักตรงไหนคะ? หนูกลัวเข็ม ยายก็รู้” มิลาดาทำหน้าจ๋อยแล้วถามยาย “เรื่องเงินเรื่องทอง ยายพอจะเจรจากับคนบ้านนั้นได้ ส่วนจะสักตรงไหนก็ต้องไปถามคนสักดู เอาที่เขาเห็นว่าเหมาะสม ส่วนคนที่สักนั้น... ยายได้ข่าวว่าเก่งกล้าสามารถ มีชื่อเสียงในวงการสักยันต์ ถือว่าเป็นมือดีที่สุด ติดก็แต่ว่า...” “ติดว่าอะไรคะยาย?” “ติดก็แต่ว่าปู่เขาไม่ค่อยชอบยายเท่าไหร่ แต่คนเคยรู้จักกัน เขาจะนิ่งดูดาย​ได้หรือ? เขาน่าจะเห็นใจช่วยเหลือหลานของยายบ้าง” ยายเม่นบอกเธอพร้อมกับมองหลานสาวด้วยความรักใคร่ แม้มาลินีจะไม่ถูกชะตากับคนตระกูลนั้นเท่าไหร่แต่เพื่อหลานสาวเพียงคนเดียว ​หากจำเป็นเธอก็จะยอมทิ้งศักดิ์ศรี อ้อนวอนให้พวกเขาช่วยเหลือ “งั้น... พรุ่งนี้หนูไปสักยันต์เลยได้ไหมคะ? เข็มหนูก็กลัวอยู่หรอก แต่หนูกลัวผีมากกว่า” มิลาดาถามยายอย่างมีความหวัง มาลินีขมวดคิ้วแล้วทำหน้ายุ่งอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะตัดสินใจบอกหลานสาว “ไปได้ แต่เตรียมเสื้อผ้าไปหลายชุดหน่อย เตรียมใจไปอยู่ที่นั่นสักหลายวัน เผื่อเขาไม่ยอมใจอ่อนสักยันต์ให้ หนูต้องตื๊อเขาหน่อย ยายรับรองว่ายังไงเสียเขาก็ต้องสักยันต์ให้หนู” มาลินีบอกหลานแล้วคลายปมคิ้วที่ขมวดอยู่พร้อมกับยิ้มให้กำลังใจเธอ “หือ? ยายจะให้หนูไปคนเดียวเหรอคะ? แล้วต้องเตรียมเสื้อผ้าไปเลยเหรอคะ? ถ้าเขาไม่สักให้หนู หนูก็กลับมานอนกับยายแล้ววันต่อไปค่อยไปตื๊อเขาต่อก็ได้นี่คะ” มิลาดาเสนอ “หนูไปเช้า เย็นกลับไม่ได้หรอก หมอยันต์เขาอยู่ไกล... สุพรรณบุรี หนูต้องนั่งรถไปสุพรรณบุรี ถ้าเขาไม่สักให้ก็ดื้อด้าน อยู่ต่อจนใจอ่อน ถ้าปู่หรือพ่อของเขาเห็นหน้ายายเขาอาจไล่ตะเพิดยาย ให้หนูไปเองจะดีกว่าเผื่อเขาเห็นเด็กน่ารัก ๆ จะสงสารสักยันต์ให้เป็นทานบ้าง” ยายเม่นแนะหลาน ด้วยรู้ดีว่าทำไมคนตระกูลยาตราศาสตร์ถึงไม่อยากต้อนรับหญิงชราอย่างเธอ “แต่หนูจะไปอยู่ที่นั่นคนเดียวตั้งหลายวันได้ยังไงคะ? ยายก็รู้... ไอ้ผีบ้านั่นมันไม่ได้สิงอยู่ที่บ้านนี้ มันตามแต่หนู ถ้าหนูต้องนอนคนเดียว หนูคงนอนไม่หลับ” มิลาดาว่าแล้วทำปากคว่ำ ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อีกครั้ง ตั้งแต่เธอเจอไอ้ผีหื่นนั่นตามติดเธอก็ต้องนอนค้างกับยายเท่านั้น จะไปทำกิจกรรมที่อื่น เช่น เที่ยวกลางคืนแล้วค้างคืนข้างนอกกับเพื่อน หรือไปออกค่ายอาสาค้างคืนอย่างที่เพื่อนคนอื่นเขาทำกันก็ลำบาก เธอเกรงเพื่อน ๆ จะหวาดกลัวเธอและตีตัวออกหาก ชุดนอนที่เธอสวมนอนก็ต้องเป็นแบบรัดกุม ปิดตั้งแต่คอจนถึงข้อเท้า ไม่ให้ดูล่อแหลม ชีวิตในวัยสาวของเธอต้องถูกใช้อย่างระมัดระวังและหวาดกลัว “อย่ากลัวไปดาร์ลิงของยาย ถ้าหมอยันต์เขาเห็นหน้าหนูและสัมผัสได้ว่ามีวิญญาณร้ายติดตามตัว ยังไงเสียเขาก็คงไม่ปล่อยให้หนูถูกคุกคามหรอก” มาลินีพูดปลอบหลานเพราะรู้ดีว่าหลานสาวกลัวการอยู่คนเดียวมากแค่ไหน มิลาดา หรือดาร์ลิงเป็นหลานสาวคนเดียวของเธอที่เกิดจากมาติกาลูกสาวคนเดียวของมาลินี พ่อของมิลาดาเป็นลูกครึ่งไทย - อังกฤษทำให้เธอมีหน้าตาคล้ายตุ๊กตาฝรั่งแต่ผมหยักเป็นลอนสีดำและตัวเล็กเหมือนแม่ แม้ไม่สวยจัดจ้านแต่โดยรวมมิลาดาคือสาวน้อยที่น่ารักที่สุดในโลกสำหรับมาลินี เมื่อหลายปีก่อนมาติกาและพ่อของมิลาดาต่างเลิกรากัน แยกย้ายไปมีชีวิตใหม่ พ่อของมิลาดาย้ายไปอยู่อังกฤษส่วนตัวมาติกาแต่งงานใหม่กับชาวเยอรมัน มีลูกชายอีกคนและย้ายไปอยู่เยอรมันพร้อมเริ่มต้นชีวิตใหม่ ทิ้งให้มิลาดาอยู่กับยายเพียงลำพัง มิลาดาจึงกลัวการถูกทอดทิ้งเป็นที่สุด ‘หนูชื่อดาร์ลิง แต่ไม่มีใครรักหนูเลย’ มิลาดาในวัยแปดขวบเคยบ่นกับยายของเธอด้วยความน้อยใจ ด้วยความสงสารและเอ็นดูทำให้มาลินีรักหลานสาวคนนี้เป็นพิเศษ รักขนาดจะยอมเสียศักดิ์ศรีไปง้องอนอ้อนวอนให้คนตระกูลยาตราศาสตร์ช่วยเหลือ “งั้น... หนูเก็บกระเป๋าไปสุพรรณพรุ่งนี้เลยนะคะยาย สักยันต์เสร็จจะได้รีบกลับมาหายาย” มิลาดากอดยายพร้อมกับซบอกอุ่นของยายแล้วหลับตาพริ้ม “ไปพรุ่งนี้ดีที่สุด เดี๋ยวยายจะหาที่อยู่ของหมอยันต์ให้ หนูแค่เดินทางไปที่นั่น ถามหาหมอยันต์ บอกว่ายายเม่นส่งมา” “หมอยันต์ชื่ออะไรคะยาย?” สาวน้อยถามน้ำเสียงมีความหวัง “กันภัย... เขาชื่อกันภัย ยาตราศาสตร์ หมอยันต์กันภัย” ยายเม่นตอบพร้อมประหวัดคิดถึงใบหน้าหล่อเหลาคมคายของกันต์ผู้เป็นพ่อของกันภัยเมื่อครั้งยังหนุ่มแน่น ยายเม่นหวังเพียงว่ากันภัยจะหล่อเหลาน้อยกว่าผู้เป็นพ่อสักหลายส่วน เธอจะได้ไม่ต้องมีเรื่องปวดเศียรเวียนเกล้าเกิดขึ้นอีก
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD