กุ้ยจื่อหลงบอกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เรื่องแค่นี้เขาสามารถช่วยได้
“ต่อจากนี้ไป เราทุกคนจะเข้ามานอนกันในมิตินะคะ พ่อ แม่ ฉันอยากให้ทุกคนอยู่อย่างสบาย แม้ว่าเราจะเอาผลไม้และผลผลิตในไร่ไปขาย แต่ฉันยังไม่อยากให้ชาวบ้านหรือบ้านใหญ่รู้และสงสัยว่าเราเอาเงินมาจากไหนหากเราจะสร้างบ้านใหม่”
นี่คือความคิดของกุ้ยหนิงอัน เอไม่ต้องการให้ใครสงสัยในความเป็นอยู่ของครอบครัวเธอ
“เรื่องขายผลผลิตไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะในตลาดของตำบลพ่อค้าแม่ค้ามาขายของมากมาย เพียงแค่เราเช่าร้านรายวันก็ได้ แต่ปัญหาคือเราจะขนผลผลิตพวกนี้ออกไปขายยังไง” จางหานเอ่ยอย่างสงสัย
“ช่วงแรกฉันจะไปกับพ่อเองค่ะแม่ อย่าลืมว่าฉันสามารถเรียกผลผลิตที่เราเก็บเกี่ยวออกมาจากมิติได้ ทางที่ดีเราเก็บเงินไว้สักก้อน แล้วหาซื้อที่บนเขาเพื่อทำสวนผลไม้ แบบนี้ในอนาคตเราสามารถอ้างได้ว่าผลผลิตพวกนี้เป็นของเราเอง”
จากนั้นกุ้ยหนิงอันและกุ้ยจื่อหลงรวมถึงจางหานได้นั่งปรึกษาและวางแผนกันอีกสักพัก สุดท้ายจางหานจึงเอามือมาลูบท้องของกุ้ยหนิงอันด้วยความอ่อนโยน
“ขอบใจมากนะหลานยาย ที่มอบทุกอย่างให้กับครอบครัวของเรา”
จางหานมองว่าสิ่งวิเศษพวกนี้มีมาได้ก็ตอนที่กุ้ยหนิงอันตั้งท้อง แบบนี้หากไม่ใช่เพราะสวรรค์มอบให้กับหลานในท้องจะเป็นอย่างอื่นได้เหรอ
กุ้ยจื่อหลงเห็นด้วยกับความคิดของภรรยา เขามองว่าหลานที่ยังไม่เกิดมามอบทุกอย่างให้กับบ้านรองของเขาเพื่อให้กินดีอยู่ดีและสร้างฐานะ
กุ้ยหนิงอันยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ดีแล้วที่พ่อกับแม่คิดเช่นนี้ เธอจะได้ไม่รู้สึกผิดจนเกินไปที่ไม่บอกความจริงทั้งหมด จากนั้นทั้งสามคนจึงออกมาจากมิติเพื่อทำอาหารเช้ากันต่อ
โดยกุ้ยจื่อหลงรับหน้าที่คุยกับลูกชายฝาแฝดทั้งสองคนด้วยตนเอง สองแฝดเมื่อได้รับฟังบางอย่างจากพ่อ ทั้งสองต่างรับปากว่าจะปิดบังความลับนี้ไม่ให้คนนอกได้รับเพื่อความปลอดภัยของพี่สาวและหลานตัวน้อยที่ยังไม่เกิดมา
ตั้งแต่วันที่ครอบครัวบ้านรองรับรู้ว่ากุ้ยหนิงอันมีมิติ ทุกคนจึงเข้ามาอาศัยอยู่ในมิติและช่วยกันเก็บเกี่ยวผลผลิตกันอย่างขะมักเขม้น แม้ว่าหิมะจะยังตกไม่หยุด แต่นี่ก็ใกล้จะปีใหม่แล้ว คนส่วนใหญ่เริ่มออกมาจับจ่ายเพื่อซื้อของไหว้และเลี้ยงฉลองกันในครอบครัว
ดังนั้นวันนี้บ้านรองกุ้ยทั้งห้าคนจึงตัดสินใจเข้ามาในเมืองเพื่อค้าขาย ส่วนสาเหตุทำไมถึงเดินทางมาถึงในเมือง แทนที่จะขายในตำบล นั่นเพราะไม่ต้องการพบเจอคนรู้จักมากนัก
หลังจากจ่ายค่ารถประจำทาง กุ้ยจื่อหลงจึงพาภรรยาและลูกทั้งสามหลบเข้าข้างทางที่รกร้างไม่มีผู้คน จากนั้นกุ้ยหนิงอันจึงเรียกทั้งผักและผลไม้ที่เก็บเกี่ยวก่อนหน้านี้ออกมา รวมทั้งเนื้อหมูที่ชำแหละแล้ว ไก่ออกมาเช่นกัน
ทันทีที่ได้ในสิ่งที่ต้องการ ทั้งห้าคนต่างก็ช่วยกันยกตะกร้าขึ้นหลัง มีเพียงกุ้ยหนิงอันที่กุ้ยจื่อหลงเอาตะกร้าในส่วนของเธอมาสะพายด้านหน้าแทน และให้เธอถือพวกถุงใส่ของแทน
หลังจากมาถึงตลาดแห่งใหญ่ ครอบครัวบ้านรองจางจึงขอเช่าที่รายวันและปูผ้าตั้งแผงขายสินค้าต่าง ๆ
“แตงโมขายลูกเท่าไรเหรอพ่อค้าตัวน้อย” ลูกค้าวัยกลางคนคนหนึ่งเดินเข้ามาทางสองแฝดสอบถามผลไม้ตรงหน้า
“ลูกละหนึ่งหยวนห้าเหมาครับ”
“ไม่แพงเลยนะ ราคานี้ ลูกใหญ่น่าจะหลายชั่ง”
“เนื้อแดงและหวานกรอบมากครับ รับรองซื้อไปไม่ผิดหวัง”
ทางด้านนี้ขายของกันด้วยรอยยิ้ม ส่วนของกุ้ยจื่อหลงขายเนื้อหมู ไก่และเป็ดเป็นมือระวิงเช่นกัน
การค้าของบ้านรองจางไม่เหมือนคนอื่น ผลไม้ทุกชนิดกุ้ยหนิงอันจะมีให้ลองชิมดูว่าเป็นอย่างไร หากไม่อร่อยไม่ต้องซื้อ
นี่จึงทำให้ลูกค้าทั้งหลายต่างเข้ามารุม แม้ว่าในตะกร้าจะหมดแล้ว แต่ดีที่กุ้ยหนิงอันมีผ้าปิด จึงยังแอบหยิบออกมาจากมิติได้อ**บางส่วนเพื่อขายให้ลูกค้าที่ยังต่อแถวรอ
ในที่สุดทุกอย่างที่เอาออกมาก็ขายหมดจนไม่เหลือ ทุกคนแม้ว่าจะเหนื่อยแต่ก็สนุก ยิ่งมองตะกร้าใบน้อยสำหรับใส่เงิน อาการเหนื่อยก็หายไปโดยปริยาย
“เหนื่อยไหมทุกคน”
“ไม่เหนื่อยเลยพี่ใหญ่ สนุกมากพรุ่งนี้เรามากันอีกไหม” เมื่อรู้ว่าการค้าขายนั้นสนุกมาก สองแฝดจึงหันมาถามพี่สาวว่าพรุ่งนี้จะมากันอีกไหม
“ถ้าทุกคนยังไง พี่ก็อยากจะมาอีก ทว่าหลังปีใหม่เราคงไม่ได้มาบ่อยขึ้น พี่คิดว่าเราควรขายอาหารเช้าตรงหน้าหมู่บ้านแทน ส่วนผลไม้ พี่กับพ่อค่อยแบ่งเวลามาเฉพาะวันหยุด เพราะน้องรองกับน้องสามจะได้มาช่วยแม่ขายอาหารเช้าแทน”
เธอมองอนาคตไว้ก่อน หากต้องมาขายของเช่นนี้ทุกวัน ชาวบ้านอาจจะสงสัย ไม่สู้ขายอาหารเช้าที่หน้าหมู่บ้านแล้วเธอกับพ่อค่อยแอบเข้ามาในอำเภอหรือตลาดในตำบลแทน
เพราะเมื่อไหร่ที่เธอท้องโตกว่านี้คงยากและลำบากในการเดินทางการจะเอาจักรยานหรือรถสามล้อออกมาใช้นั้น ในเวลานี้คงไม่เหมาะเพราะฐานะครอบครัวของเธอยังไม่สามารถซื้อได้ในสายตาของชาวบ้าน
“เรื่องนี้แม่เห็นด้วยนะ หากบ้านเราไม่ทำการค้าอะไรสักอย่าง คงไม่ดีแน่” จางหานเห็นด้วย ปากชาวบ้านแต่ละคนสามารถพูดถูดให้เป็นผิดได้อีกเยอะแยะไป
“อีกไม่นานชาวบ้านและคนในหมู่บ้านต้องรู้เรื่องการตั้งท้องของฉัน เรื่องอื่นพอปิดบังได้ ฉันท้องใกล้จะสี่เดือนท้องคงโตจนมองเห็นชัดเจน ทุกคนอายไหมหาก…” กุ้ยหนิงอันยังพูดไม่ทันจบประโยค กลับมีเสียงของครอบครัวตอบกลับด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ไม่อาย!”
“ผมไม่อายหรอกหากพี่ใหญ่ถูกชาวบ้านนินทา คนพวกนั้นอยากจะนินทาอะไรก็ปล่อยเขาไป ขอแค่ไม่เข้ามายุ่งวุ่นวายกับบ้านเราก็พอ อีกอย่างตอนเราลำบากคนพวกนั้นไม่ได้หาข้าวหาอาหารให้พวกเรากินเสียหน่อย
หลานตัวน้อยของผมเป็นสิ่งที่สวรรค์มอบให้พี่ใหญ่ และเพราะหลานตัวน้อยทำให้พวกเรามีกินมีใช้ มีห้องนอนที่อบอุ่น ทำไมต้องอายกับคำนินทาด้วยล่ะครับ”
คำตอบของเด็กชายวัยสิบเอ็ดปี ทำให้กุ้ยหนิงอันน้ำตาริน ขนาดน้องชายเธอยังคิดได้ ทำไมเธอต้องเกรงกลัวกับคำนินทาของชาวบ้านด้วยล่ะ
“ใช่แล้วพี่ใหญ่ อาเฮ่อพูดถูก เราทุกคนไม่ต้องสนใจกับคำนินทา เราสามารถตบหน้าชาวบ้านพวกนั้นได้ด้วยคือทำให้ความเป็นอยู่ของครอบครัวเราดีขึ้น ทำงานเก็บเงินเยอะ ๆ สร้างบ้านหลังใหม่ ใครจะนินทาก็ช่างเขาสิ เขาสามารถทำงานหาเงินได้แบบพวกเราไหม”
“พี่รองพูดถูก เปิดเรียนผมขอเอาผลไม่ไปขายด้วยได้ไหม”
“หืม แน่ใจเหรอน้องสาม” กุ้ยหนิงอันไม่คิดว่าเด็กตัวเท่านี้มีความคิดที่จะค้าขาย
“ครับ เอาไปวันละเล็กละน้อย อย่างน้อย ๆ ก็หาเงินได้ หลายวันรวมกันก็ได้หลายหยวนอยู่นะพี่ใหญ่”
อีกอย่างเขาไม่อายด้วย แค่เอาผลไม้ไปขาย อย่างน้อยไปเร็วหน่อยก็ไม่ต้องกลัวว่าจะเสียการเรียน
“ถ้าอย่างนั้นรอเปิดร้านขายอาหารเช้าก่อน เพราะถ้าเราสองคนเอาของไปจากบ้านจะเป็นที่สงสัยของชาวบ้านหรือเปล่า”
“ไม่หรอกพี่ใหญ่ อีกไม่นานหิมะในหมู่บ้านก็น่าจะหยุดตกแล้ว เลิกเรียนผมกับพี่รองขึ้นเขาทำทีไปหาของป่า เช้ามาค่อยแบกตะกร้าขึ้นเกวียน ใครถามก็บอกเอาของป่าไปขาย ผมคิดว่าไม่น่าจะผิดปกติ”
ใช่แล้ว! เรื่องนี้ทำไมเธอคิดไม่ได้กันนะ หากวันไหนเธอไม่ได้ออกมากับพ่อ ถ้าเกิดมีใครถามค่อยบอกว่าพ่อขึ้นเขาหาผลไม้ป่ามาขาย คงไม่มีใครสอดรู้สอดเห็นถึงขนาดขอเปิดผ้าดูหรอกมั้ง
หลังจากนั้นทั้งห้าคนจึงเดินเข้าข้างทางที่มีที่รกร้างเช่นเดิมเพื่อเอาของทั้งหมดเข้าไปเก็บในมิติ จากนั้นจึงนั่งรถประจำทางเข้าหมู่บ้านเช่นเดิม ทว่ากุ้ยจื่อหลงยังคงแบกตะกร้าใบหนึ่งไว้ด้านหลังในนั้นมีอาหารจำนวนหนึ่ง เผื่อว่ามีชาวบ้านถามว่าไปไหนกันมาจะได้มีคำตอบว่าพาทุกคนไปหาซื้ออาหาร