“พวกหล่อนตามฉันมา ฉันจะไปบ้านเจ้ารอง”
เมื่อตัดสินใจว่าจะไปเอาเรื่องจากบ้านรอง แม่เฒ่ากุ้ยจึงบอกให้ทุกคนตามมาเมื่อเจอลูกชายอยู่ตรงหน้าบ้าน จึงเรียกมาด้วยกัน
“เจ้าใหญ่แกตามฉันมาบ้านเจ้ารอง วันนี้ฉันต้องคุยให้รู้เรื่อง ฉันไม่ยอมให้ใครมาทำให้ตระกูลกุ้ยของเราต้องเสื่อมเสีย”
ในใจของแม่เฒ่ากุ้ยนั้นเชื่อไปแล้วว่าหลานสาวทำเช่นนั้น จึงพาทุกคนในบ้านใหญ่บุกไปบ้านรองทันที
บ้านรองกุ้ยนั้นไม่รู้เลยว่าพายุอารมณ์ของแม่เฒ่ากุ้ยกำลังจะมา ห้าคนพ่อแม่ลูกต่างก็กินอาหารกันด้วยความอร่อย
แม้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมากุ้ยหนิงอันจะส่งเงินมาให้ทุกเดือน ทว่าทั้งหมดกลับไม่มีใครกล้าซื้อเนื้อมากินเลย วันนี้เมื่อได้กินเนื้อจึงมีความสุขและมีรอยยิ้มกันทุกคน
“อร่อยไหมคะ พ่อแม่ อาเล่อ อาเฮ่อ”
“อร่อยมากเลยพี่ใหญ่ นานแค่ไหนแล้วที่พวกเราไม่เคยได้กินเนื้อ”
เมื่อเจอประโยคนี้เข้าไปกุ้ยหนิงอันจึงขมวดคิ้วแล้วมองหน้าพ่อกับแม่เชิงตั้งคำถามว่าเงินที่เธอส่งมานั้นไม่พอเหรอ
“เงินที่อันอันส่งมาแม่ใช้เท่าที่จำเป็น อีกทั้งพ่อขึ้นเขากับกลุ่มชาวบ้านออกจะบ่อย แต่ได้เพียงสัตว์เล็กเท่านั้น บ้านเราเลี้ยงไก่ มีไข่ให้ให้กินก็พอแล้ว” จางหานเป็นคนตอบคำถามนี้เอง
“ต่อไปไม่เอาแบบนี้แล้วนะคะ ฉันส่งเงินมาให้พ่อกับแม่ควรจะซื้ออาหารดี ๆ มากินสิถึงจะถูก ถ้าฉันไม่ตัดสินใจกลับบ้านก็คงไม่รู้ว่าพ่อกับแม่ใช้เงินประหยัดแค่ไหน”
กุ้ยหนิงอันรู้สึกไม่ดีที่ครอบครัวยังใช้ชีวิตอย่างลำบากเช่นเดิม ทั้ง ๆ ที่เธอส่งเงินกลับบ้านมาไม่น้อยเลยแต่ละเดือน เธออยากให้ทุกคนในครอบครัวกินดีอยู่ดี
“เอาล่ะ อย่าคิดมาก พ่อกับแม่ใช้ชีวิตแบบนี้มาจนชินแล้ว จะให้ปรับเปลี่ยนปุบปับคงยาก แต่หลังจากนี้เราค่อยซื้อเนื้อมากินบ่อย ๆ ตกลงไหม” กุ้ยจื่อหลงไม่อยากเห็นลูกสาวรู้สึกผิด จึงสัญญาว่าหลังจากนี้จะซื้อเนื้อมาทำอาหารกินบ่อยขึ้น
หลังจากได้ยินพ่อรับปากกุ้ยหนิงอันจึงยิ้มออกมาอย่างดีใจ บรรยากาศในบ้านจึงกลับมามีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะอีกครั้ง ทว่าเสียงหัวเราะนั่นอยู่ไม่นานกลับมีเสียงที่คุ้นหูมาดังโวยวายอยู่หน้าบ้าน ทั้งหมดจึงได้แต่ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย
“กลับมาแล้วเหรอนังหลานชั่ว สร้างเรื่องสร้างราวไว้ไม่พอ กลับมายังทำเรื่องงามหน้าอีกเหรอ” แม่เฒ่ากุ้ยสรรหาคำมาด่าไม่หยุด ชาวบ้านเดินผ่านไปผ่านมาต้องหยุดมอง เพราะคำที่หลุดออกมาจากแม่เฒ่ากุ้ยนั้นแม่แต่ชาวบ้านยังรับไม่ได้
“ย่าด่าใครเหรอว่าสร้างเรื่อง เท่าที่ฉันจำได้ สาเหตุที่ฉันต้องไปทำงานไกลถึงปักกิ่งไม่ใช่เพราะบ้านใหญ่สร้างเรื่องให้ฉันเหรอ”
เอาสิ เธอไม่ใช่ลูกพลับนิ่มที่จะยอมให้ใครมาด่าได้ฝ่ายเดียว ต่อให้สตรีสูงวัยตรงหน้าจะมีฐานะเป็นย่าของร่างนี้ก็ตาม
“ก็หล่อนน่ะสิ สร้างเรื่องให้บ้านฉันต้องเสียเงินตั้งหลายร้อยหยวน แล้วตอนนี้หล่อนกลับมา ฉันได้ข่าวว่าซื้อของมามากมาย ไม่ใช่ที่หายไปเกือบปีเพราะไปทำอาชีพอย่างผู้หญิงชั้นต่ำทำกันหรอกนะ”
“แม่!/แม่สามี!” กุ้ยจื่อหลงและจางหานร้องเสียงหลง ทั้งสองตกใจชนิดที่ไม่คิดว่าคำพูดพวกนี้จะออกมาจากแม่ของตนได้
“เรื่องที่ย่าต้องเสียเงินสินสอดให้กับพ่อม่ายคนนั้นมันก็สมควรแล้วไม่ใช่เหรอ บ้านใหญ่ก็มีหลานสาวทำไมไม่ให้เธอแต่งแทนล่ะ
ย่ามีสิทธิ์อะไรที่ยกฉันให้แต่งงานกับคนอื่นโดยไม่ถามความคิดเห็นฉันก่อน และอย่าเอาความคิดต่ำ ๆ แบบนั้นมาพูดที่นี่ ฉันยังเคารพย่าเพราะย่าเป็นแม่ของพ่อ อย่าทำให้ฉันหมดความอดทนจนไม่สนใจคำว่าผู้เฒ่าในตระกูล”
เธอโกรธจนตัวสั่นแล้วจริง ๆ ย่ากุ้ยมีสิทธิ์อะไรมากล่าวหาว่าเธอไปทำงานแบบนั้นกันล่ะ เธอมีเงินซื้อของกลับมาบ้านไม่คิดเลยหรือไงว่าเธอได้จากการทำงานไม่ใช่จากการขายร่างกาย
ทันทีที่ชาวบ้านได้ยินเรื่องค*****นสินสอดต่างก็ปะติดปะต่อเรื่องราวในครั้งนั้น จึงเข้าใจว่าทำไมอยู่ ๆ ลูกสาวบ้านรองจึงหายออกไปจากบ้าน
“ส่วนเรื่องทำงาน ฉันไม่จำเป็นต้องอธิบายให้ใครฟัง หากคนไม่เชื่อและคิดไม่ดี ต่อให้ฉันอธิบายปากฉีกถึงหูย่าจะเชื่อฉันเหรอ ซึ่งมันก็เป็นไปไม่ได้เพราะย่ามั่นใจแล้วว่าฉันทำงานแบบนั้น สำหรับกุ้ยหนิงอันขอเพียงพ่อกับแม่และน้องชายทั้งสองเข้าใจก็พอแล้ว ส่วนคนอื่นฉันไม่สนใจเพราะอะไรรู้ไหม”
กุ้ยหนิงอันกวาดสายตามองบ้านใหญ่ที่ทำสีหน้าตกใจกับความเปลี่ยนแปลงของเธอ
“เพราะฉันและครอบครัวไม่ได้ขอใครกินยังไงล่ะ ย่ามีเรื่องอะไรอีกไหม หากไม่มีฉันต้องขอตัวก่อน”
“เดี๋ยวก่อน! หล่อนแน่ใจได้ยังไงว่าไม่ได้ทำเรื่องเสื่อมเสียมาถึงตระกูล ไม่ใช่อีกหน่อยหล่อนท้องโตหาพ่อของลูกไม่ได้เหรอ”
แม่เฒ่ากุ้ยยังไม่ยอมแพ้ ทว่าคำพูดของแม่เฒ่ากุ้ยจุดประเด็นความรู้สึกของกุ้ยหนิงอัน ใช่แล้ว! คืนนั้นเธอไม่มั่นใจว่าชายคนนั้นได้ป้องกันหรือเปล่า หากเธอท้องขึ้นมาล่ะ…
“แล้วยังไงคะ ฉันจะท้องหรือไม่มันก็ไม่เกี่ยวกับย่าอยู่ดี ฉันอายุจะสิบแปดปีแล้ว หากจะมีคนรักมันก็ไม่แปลกไม่ใช่เหรอ ก่อนจะติเตียนฉัน ควรจะบอกจุดประสงค์ดีกว่าไหมว่าทำไมถึงยกโขยงมาที่บ้านรอง ถ้าหากฉันจำไม่ผิดก่อนหน้านี้ย่าแทบไม่เคยมาเหยียบบ้านรองเลยด้วยซ้ำ”
แล้วอย่างไร หากพลาดท้องขึ้นมาอย่างมากก็เลี้ยงดู ชีวิตหนึ่งชีวิตที่ยังไม่ลืมตา หากให้เธอทำลายเพื่ออนาคตตนเอง เธอคงไม่สมควรเกิดมาเป็นคนแล้ว ขอเพียงพ่อแม่และครอบครัวรับเธอได้ แค่นี้ก็พอแล้ว
“ไม่ใช่เธอเพิ่งกลับมาแล้วซื้อของมามากมายเหรอ ทำไมไม่คิดจะแบ่งไปบ้านใหญ่บ้าง ฉันได้กลิ่นเนื้อมาจากในบ้าน หน็อยแน่บ้านรองมีเนื้อกินแต่ไม่ยอมแบ่งบ้านใหญ่ช่างอกตัญญูเสียจริง”
กุ้ยฟางหลินเป็นคนตอบ เธอได้กลิ่นเนื้อ หากย่ามัวแต่พูดเรื่องอื่นแล้วเมื่อไหร่จะได้ของทั้งหมดกลับบ้านกันล่ะ เมื่อคิดได้ดังนั้นเธอจึงเตรียมพุ่งตัวเข้ามาในบ้านรองโดยไม่คิดจะขออนุญาต
กุ้ยหนิงอันเห็นดังนั้นจึงประกาศเสียงกร้าว
“กล้าเข้ามาฉันตบไม่เลี้ยงจริงด้วย เท่าที่ฉันจำได้บ้านรองจะมีหรือไม่มี จะกินดีแค่ไหนก็ไม่เกี่ยวกับบ้านใหญ่ ในเมื่อพ่อของฉันแยกบ้านออกมาแล้ว ในสัญญาพ่อเพียงส่งอาหารหรือส่งเงินให้ย่าตอนปีใหม่แต่นี่ยังไม่ถึงเลย ทำไมของฝากที่ฉันซื้อมาต้องแบ่งให้บ้านใหญ่ด้วยล่ะ”
กุ้ยโจวเมื่อได้ยินว่าบ้านรองมีของมากมายอีกทั้งยังมีเนื้อกินจึงตาลุกวาว และเมื่อเห็นว่าลูกสาวของตนเริ่มเสียเปรียบ จึงหันมาพูดกับกุ้ยจื่อหลงน้องชายของตนแทน
“เจ้ารอง แกดูลูกแกสิ กล้าดียังไงยอกย้อนและคิดจะทำร้ายเสี่ยวหลิน ยังไงเสี่ยวหลินมีศักดิ์เป็นพี่สาวนะ”
“เห็นครับ ผมไม่ได้ตาบอดนะพี่ใหญ่ แต่สิ่งที่อันอันกล่าวมานั้นล้วนถูกต้อง ในเมื่อผมแยกบ้านออกมาแล้วจึงไม่จำเป็นต้องให้อะไรกับบ้านใหญ่อีก”
กุ้ยจื่อหลงก้าวเท้าออกมายืนตรงหน้าพี่ชายบดบังสายตาทิ่มแทงของบ้านใหญ่ที่ส่งไปถึงกุ้ยหนิงอัน
“ตะ แต่แกควรกตัญญูต่อแม่บ้าง มีเนื้อกินทำไมไม่แบ่งปัน”
กุ้ยโจวเริ่มตะกุกตะกัก แต่ก็ยังยกความกตัญญู
“ความกตัญญูที่พี่พูดถึง ผมคิดว่าผมตอบแทนจนตนเองไม่เหลือที่ดินทำกิน พี่อย่าลืมว่าบ้านใหญ่ยกมาอ้างว่าต้องดูแลพ่อกับแม่ในตอนนั้น ผมและเมียจึงหอบลูกออกมาแต่ตัว ที่ดินอันน้อยนิดที่มี ผมก็หามาจากน้ำพักน้ำแรง ไม่ได้แบ่งอะไรมาจากบ้านใหญ่
ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่ผมและครอบครัวต้องส่งอาหารหรือส่งเงินให้แม่ ดังนั้นผมคิดว่าแม่พาพี่ใหญ่และทุกคนกลับไปเถอะ บ้านผมไม่มีอะไรให้”
พูดจบก็จับมือกุ้ยหนิงอันเดินเข้าบ้านโดยไม่สนใจบ้านใหญ่หรือแม้แต่กระทั่งชาวบ้านที่มุงดู