ฟ้ายังไม่ทันสาง กุ้ยจื่อหลงรีบไปยืมจักรยานของบ้านหม่าเพื่อไปส่งลูกสาวที่สถานีรถไฟ ไม่นานกุ้ยจื่อหลงก็มาถึงบ้าน
“เรียบร้อยหรือยังอันอัน”
“เรียบร้อยแล้วค่ะพ่อ” กุ้ยหนิงอันหันมาตอบพ่อของตนก่อนจะกล่าวลาแม่และน้องทั้งสองคน
“แม่ต้องดูแลตัวเองนะ ฉันไปถึงปักกิ่งแล้วจะรีบหางานทำ ฉันจะส่งเงินกลับมาให้ทุกเดือน เราสองคนก็เหมือนกัน พี่ไม่อยู่ต้องช่วยกันดูแลพ่อกับแม่ ขยันเรียนและอย่าเกเรรู้ไหม”
กุ้ยหนิงอันเอ่ยกับแม่จบจึงหันกลับมาคุยกับน้องชายทั้งสองคน
“ครับพี่ใหญ่ เราสองคนสัญญาครับ และจะไม่ทำตัวเกเร จะตั้งใจเรียนไม่ให้พี่ใหญ่ต้องผิดหวัง” กุ้ยหมิงเล่อให้สัญญากับพี่สาวคนโตที่ยอมเสียสละเพื่อเขากับน้องชายฝาแฝด
“ผมก็เช่นกัน จะช่วยงานและดูแลพ่อแม่ รวมถึงจะไม่เกเรและจะขยันเรียน พี่ใหญ่ไม่ต้องเป็นห่วงนะ หากไม่ไหวก็กลับมา”
น้องเล็กของบ้านอย่างกุ้ยหมิงเฮ่อกล่าวตบท้าย แฝดน้องคนนี้เป็นคนเงียบขรึม แต่ทุกประโยคที่หลุดออกมานั้นล้วนมาจากใจทั้งสิ้น
หลังจากที่ร่ำลากันแล้ว กุ้ยจื่อหลงจึงรีบพาลูกสาวอย่างกุ้ยหนิงอันออกมาจากหมู่บ้าน เพราะไม่ต้องการให้บ้านใหญ่เห็น หลังจากนี้เกิดอะไรขึ้นเขาจะรับหน้าเอง ขอเพียงอันอันของเขาปลอดภัยและไม่ต้องแต่งงานกับชายที่ไม่ได้รักก็พอ
“เดินทางปลอดภัยนะอันอัน เมื่อไหร่ที่ลูกเหนื่อยและไม่ไหว ให้นึกถึงบ้านและครอบครัวแล้วรีบกลับมา ต่อให้บ้านเราจะจนสักแค่ไหน พ่อไม่เคยคิดจะส่งลูกไปทำงานไกลบ้านเพื่อความอยู่รอดของครอบครัว ทว่าครั้งนี้พ่อต้องส่งลูกไป อันอันเข้าใจพ่อใช่หรือไม่”
น้ำเสียงของผู้เป็นพ่อนั้นสั่นเครือ เขาไม่อยากให้ลูกสาวที่สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงตั้งแต่เด็กต้องจากบ้านไปยังที่ห่างไกล เมืองปักกิ่งนั้นไม่ใกล้เลย อีกทั้งที่นั่นความเจริญรุ่งเรืองนั้นมีมากกว่าที่นี่นัก เขากลัวว่าอันอันที่อ่อนต่อโลกของเขาจะโดนหลอกเอาได้
ทว่าครั้งนี้มันจำเป็นนัก หากบ้านใหญ่ไม่ก่อเรื่อง เขาคงไม่มีทางยอมให้อันอันไปทำงานไกลเช่นนี้
“พ่อไม่ต้องกังวลนะ ฉันเข้าใจ อีกทั้งตัวฉันเองเลือกที่จะไปทำงานที่ปักกิ่ง เอาเป็นว่าเมื่อไหร่ที่ลูกสาวของพ่อคนนี้ไม่ไหวกับเมืองหลวง ฉันจะกลับมานะคะ พ่อกับแม่ต้องดูแลสุขภาพด้วยนะ อย่าทำงานหนัก หากได้งานและได้เงินเดือนแล้วฉันจะรีบส่งกลับมาให้”
เธอไม่ต้องการให้พ่อคิดมากกับเรื่องที่เธอเดินทางไปหางานทำที่ปักกิ่ง เรื่องนี้เธอเลือกและตัดสินใจเอง ประจวบกับบ้านใหญ่ก่อเรื่อง ทำให้เธอได้รับอนุญาตจากครอบครัว
สองพ่อลูกร่ำลากันไม่นาน สัญญาณของรถไฟเตือนว่ากำลังจะออก กุ้ยหนิงอันจึงเอ่ยลาผู้เป็นพ่ออีกครั้ง ก่อนจะหิ้วสัมภาระเดินไปขึ้นรถไฟ
กุ้ยจื่อหลงมองแผ่นหลังของบุตรสาวจนลับสายตา ก่อนจะรอจนรถไฟเคลื่อนขบวนออกไปจากนั้นจึงหมุนตัวกลับหมู่บ้านเพื่อนำจักรยานไปคือหัวหน้าหมู่บ้าน และเขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสุดท้ายแล้วเมื่อบุตรสาวไปต่างมณฑลเธอจะมีความสุขมากกว่าอยู่ที่นี่ โดยที่กุ้ยจื่อหลงไม่รู้เลยว่านี่คือครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้พบกับกุ้ยหนิงอันตัวจริง
แต่แล้วในระหว่างเดินทาง กุ้ยหนิงอันเกิดอาการกำเริบ ทว่าดีหน่อยที่รถไฟนั้นจอดสถานีหนึ่งเพื่อรับผู้โดยสายพอดี
“ช่วยด้วย มีคนเป็นลม”
ชาวบ้านที่นั่งอยู่กับกุ้ยหนิงอัน เมื่อเห็นว่าหญิงสาวอ่อนวัยคนนี้เป็นลมและหมดสติไป จึงได้ร้องเรียกให้คนในขบวนนี้มาช่วยกัน
เจ้าหน้าที่ที่อยู่ไม่ไกลจึงรีบมาอุ้มเธอไปโรงพยาบาลพร้อมกับให้ชาวบ้านที่ลงสถานีนี้ช่วยเอาสัมภาระเธอลงมา เพราะรถไฟขบวนนี้ยังคงต้องออกเดินทางต่อ
ทันทีที่ร่างของกุ้ยหนิงอันถูกนำส่งโรงพยาบาลก็โดนพาเข้าห้องฉุกเฉิน หมอและพยาบาลต่างก็ช่วยกันจนสุดความสามารถ แต่ทว่าทุกคนได้แต่ส่ายหน้าเมื่อชีพจรของเธอกลับไม่เต้นอีกแล้ว
“ผู้ป่วยชีพจรไม่เต้นแล้วค่ะคุณหมอ” พยาบาลเอ่ยแจ้งคุณหมอเพื่อให้รู้ว่าคนไข้รายนี้เสียชีวิตแล้ว
เมื่อได้ยินเช่นนั้นทั้งหมดและพยาบาลต่างก็หยุดมือ และเสียใจที่ช่วยคนไข้รายนี้ไว้ไม่ได้
“ลองดูสิว่าคนไข้รายนี้มีเอกสารอะไรมาบ้าง จะได้แจ้งให้ทางบ้านทราบเรื่อง ร่างกายของคนไข้รายนี้อ่อนแอและมีโรคประจำตัวอยู่แล้ว ทางบ้านคงจะเข้าใจ”
คุณหมอวัยกลางคนเอ่ยขึ้น เขาเองก็ทำเต็มที่แล้วเช่นกัน แต่แล้วอยู่ ๆ ชีพจรของกุ้ยหนิงอันกลับเต้นขึ้นอีกครั้ง จนพยาบาลที่อยู่ตรงนั้นได้แต่ร้องเรียกคุณหมออีกครั้ง
“คุณหมอคะ ชีพจรคนไข้กลับมาเต้นแล้วค่ะ”
ทันทีที่รู้ว่าชีพจรคนป่วยกลับมาเต้นอีกครั้ง ทั้งคุณหมอและพยาบาลต่างช่วยกันสุดความสามารถจนในที่สุดกุ้ยหนิงอันพ้นขีดอันตราย ก่อนที่จะพากุ้ยหนิงอันไปพักที่ห้องพักฟื้นของผู้ป่วย
ร่างของกุ้ยหนิงอันค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้นมา เธอมองไปรอบ ๆ ห้องที่มีผู้ป่วยคนอื่นอยู่ด้วย
“เอ๊ะ นี่ฉันยังไม่ตายเหรอ แต่โดนยิงขนาดนั้นทำไมไม่เจ็บล่ะ”
ในขณะที่กำลังคิดออกมานั้นกลับต้องตกใจสุดขีดเมื่อเสียงที่เปล่งออกมาไม่ใช่เสียงของเธออีกทั้งยังไม่ใช่ภาษาที่เธอใช้อยู่ทุกวัน
“โอ๊ย! ปวดหัวเหลือเกิน”
นภัสสรที่อยู่ในร่างของกุ้ยหนิงอันใช้มือทั้งสองข้างกุมหัว เนื่องจากอยู่ ๆ เธอกลับปวดหัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทำให้พยาบาลที่อยู่แถวนั้นต้องรีบเข้ามาดูอาการ ก่อนจะรีบออกไปเรียกคุณหมอให้มาดูผู้ป่วยคนนี้
ในระหว่างที่ปวดหัวกลับมาภาพความทรงจำบางอย่างฉายชัดขึ้นมา ทำให้นภัสสรรู้ว่าเธอนั้นตายจากครอบครัวแล้ว และดันเข้ามาอยู่ในร่างของเด็กสาวที่ชื่อกุ้ยหนิงอัน แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่า เธอกลับย้อนอดีตกลับมานี่สิ
“คุณกุ้ยไม่ทราบว่าปวดตรงไหนหรือครับ”
คุณหมอเดินเข้ามาเร่งรีบเมื่อเห็นว่าหญิงสาวมีอาการปกติ จึงได้แต่ขมวดคิ้วแปลกใจและเอ่ยถามว่ายังเจ็บปวดที่ใดอีกหรือไม่
“ไม่เป็นอะไรแล้วค่ะคุณหมอ ไม่ทราบว่าฉันจะออกจากโรงพยาบาลได้เมื่อไหร่คะ”
ในเมื่อเธอคือกุ้ยหนิงอัน นภัสสรคิดว่าควรจะทำตามความประสงค์ร่างเดิม นั่นคือเดินทางไปปักกิ่งเพื่อหางานทำ อย่างน้อยเธอเคยลำบากมาก่อนงานอะไรเธอก็ไม่เกี่ยง
“เช่นนั้นหมอต้องขอตรวจร่างกายอีกครั้ง ถึงจะตอบได้ว่าคุณสามารถออกจากโรงพยาบาลได้หรือไม่”
“ขอบคุณค่ะ”
จากนั้นคุณหมอท่านนี้จึงให้พยาบาลพากุ้ยหนิงอันไปที่ห้องตรวจเพื่อตรวจร่างกายอีกครั้ง อย่าลืมว่าร่างนี้มีโรคประจำตัว หากให้ออกจากโรงพยาบาลโดยที่ร่างกายยังไม่หายดี คุณหมอกลัวว่าอาการของคนไข้จะทรุดหนักอีก
หลังจากที่ตรวจร่างกายแล้ว กลับทำให้คุณหมอท่านนี้แปลกใจเนื่องจากว่าร่างของกุ้ยหนิงอันกลับไม่มีอาการป่วยหลงเหลืออีกเลย นั่นจึงทำให้กุ้ยหนิงอันได้รับอนุญาตออกจากโรงพยาบาลได้ทันที
หลังจากที่ได้รับอนุญาต กุ้ยหนิงอันจึงตัดสินใจเดินทางเข้าปักกิ่งเพื่อหางานทำ แม้อยากจะกลับไปหาครอบครัวของร่างนี้แค่ไหน แต่ปัญหาที่บ้านใหญ่กุ้ยก่อไว้ป่านนี้น่าจะยังไม่จบสิ้น
หากกลับไปเท่ากับหาเรื่องใส่ตัว ดังนั้นเธอจึงตั้งใจว่าหาเงินให้ได้สักก้อนก่อนจะกลับบ้านไปใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัว แล้วค่อยหางานทำแถวบ้านเอา อย่างไรน้องชายฝาแฝดทั้งสองคนยังต้องเรียนหนังสือ เธอตั้งใจว่าจะสานฝันต่อจากร่างเดิม เพื่อขอบคุณที่ทำให้เธอใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ได้อีกครั้ง แม้ว่าจะไม่มีครอบครัวเดิมของเธอก็ตาม
การเดินทางของเธอผ่านไปร่วมสามวัน ในที่สุดเธอก็มาถึงปักกิ่งเมืองหลวงของประเทศนี้
“เอายังไงดีล่ะ เงินมีไม่กี่สิบหยวน หากต้องเช่าห้องเพื่อหางานทำ จะมีเงินเหลือกินไหมล่ะนี่”
กุ้ยหนิงอันมองเงินที่เหลืออยู่ด้วยความจนใจ ไหนจะต้องจ่ายค่ารถไฟสองต่อ จ่ายค่าโรงพยาบาลเธอแทบจะไม่เหลือเงินแล้ว หากยังหางานไม่ได้แทนที่จะได้ส่งเงินกลับบ้านเธอได้นอนข้างถนนแน่
แต่อย่างไรก็ต้องหาที่พักกุ้ยหนิงอันจึงเดินหาห้องเช่าราคาไม่แพงมากจนมาเจออะพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่ง จากนั้นจึงทำการเช่าห้องเป็นรายเดือน
“เรามาจากต่างมณฑลเหรอ มาทำอะไรล่ะ”
จิงซือคนดูแลอะพาร์ตเมนต์แห่งนี้เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม ส่วนมากอะพาร์ตเมนต์แห่งนี้ถ้าไม่ใช่นักศึกษาที่พักนอกมหาวิทยาลัยก็จะเป็นคนทำงานทั้งสิ้น
และเจ้านายของเธอก็ให้เช่าราคาไม่แพงเหมือนอะพาร์ตเมนต์ทั่วไป ดีที่วันนี้มีห้องว่างเพียงหนึ่งห้องเพราะคนเก่าแต่งงานและย้ายไปอยู่กับสามี เลยทำให้กุ้ยหนิงอันมีห้องเช่าที่ดูดีและราคาถูกอยู่
“ฉันมาหางานทำค่ะป้า ป้าพอจะทราบไหมว่ามีที่ไหนรับสมัครงานบ้าง”
“มีนะพอมีอยู่ เป็นเจ้าของเดียวกันกับที่นี่แหละ แต่โรงแรมรับเพียงแม่บ้าน เราจะทำได้ไหม”
ป้าจิงเอ่ยถามและมองกุ้ยหนิงอันอย่างสงสาร แต่ส่วนมากเด็กสาวอายุเท่านี้ไม่ค่อยชอบทำงานบ้านสักเท่าไร
“จริงเหรอคะป้า งานอะไรฉันทำได้หมด ขอเพียงมีงานทำเท่านั้น”
กุ้ยหนิงอันส่งเสียงขึ้นอย่างดีใจ สำหรับเธองานแม่บ้านก็ดีแล้ว ร่างนี้พอจะมีความรู้ แค่แม่บ้านก็พอแล้ว
“เช่นนั้นพรุ่งนี้มารอป้าที่ด้านล่าง ป้าจะพาไปสมัครงาน หลานสาวป้าทำงานอยู่ที่นั่น แต่จะได้หรือไม่ป้าไม่รับปากนะ วันนี้เราขึ้นไปพักก่อนเถอะ ป้าชื่อจิงซือ เรียกว่าป้าจิงเถอะ”
จิงซือรู้สึกเอ็นดูเด็กสาวตรงหน้า จึงเอ่ยว่าพรุ่งนี้จะพาไปสมัครงาน อย่างน้อยเธอก็คนต่างถิ่นเหมือนกันช่วยกันไว้ไม่เสียหายอะไร
“ฉันชื่อหนิงอัน หรือป้าจะเรียกฉันว่าอันอันก็ได้ค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักและขอบคุณมากที่ป้าช่วยเหลือเรื่องงาน”
“ไม่เป็นไรหรอก อันอันขึ้นไปพักก่อนเถอะ พรุ่งนี้เจ็ดโมงเช้าลงมาหาป้าที่นี่ ขาดเหลืออะไรก็มาบอกป้า”
จิงซือเอ่ยย้ำอีกครั้ง หากเด็กสาวตรงหน้าได้งานที่โรงแรมของตระกูลหลันจะเป็นเรื่องดีมาก เจ้านายทุกคนไม่ถือตัวและยังใจดีแถมสวัสดิการของพนักงานดีมากอีกด้วย
กุ้ยหนิงอันเอ่ยขอบคุณอีกครั้ง ก่อนจะเดินขึ้นตึกไปด้วยความหวัง เธอหวังว่าพรุ่งนี้เมื่อสมัครงานแล้วเธออาจจะได้งานทำที่นี่เลย อย่างน้อยเงินเดือนออกเธอจะได้มีเงินส่งให้ครอบครัว
ทันทีที่เข้ามาในห้องพัก กุ้ยหนิงอันได้แต่แปลกใจเพราะเฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างล้วนเป็นของดีทั้งหมด ซึ่งไม่น่าจะให้เช่าเพียงเดือนละห้าหยวน และบางอย่างไม่น่าจะเป็นของในยุคนี้ต่อให้ยุคนี้มีเครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ไม่น่าจะทันสมัยเช่นนี้
แต่อย่างไรไม่ใช่เรื่องของเธอ ตัวเธอเองยังทะลุมิติมาที่นี่ได้ ไม่แน่ว่าเจ้าของโรงแรมแห่งนี้อาจจะทะลุมิติมาเหมือนกับเธอ
หลังจากอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว กุ้ยหนิงอันจึงล้มตัวนอนเพื่อเอาแรง วันนี้เธอเหนื่อยกับการเดินทางมามากพอแล้ว อีกทั้งก่อนจะมาที่นี่เธอกินอาหารที่ขายข้างทางแล้วเช่นกัน จึงไม่กังวลว่าจะหิวขึ้นมาอีก