บทที่ 2กุ้ยหนิงอัน

2062 Words
เมืองกุ้ยโจว มณฑลเจียงซี หมู่บ้านอิงซู หมู่บ้านแห่งนี้มีหลายร้อยครอบครัว ทว่าส่วนมากจะมีแต่ครอบครัวที่พออยู่พอกิน ไม่ได้ร่ำรวยมากนัก ชาวบ้านต่างก็ทำเกษตรกร บ้างก็รับจ้างทำงานใช้แรงงานให้กับครอบครัวที่พอจะมีฐานะ แม้ว่าจะมีการจัดสรรที่ดินทำกินให้ชาวบ้านเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาก็ตาม ทว่าชาวบ้านที่พอจะมีเงินหน่อยก็ทำการเช่าซื้อที่ดินของรัฐ ที่รัฐเปิดให้เช่าซื้อ แต่คงไม่ใช่บ้านรองกุ้ย ครอบครัวนี้มีลูกทั้งหมดสามคน คนโตชื่อว่ากุ้ยหนิงอัน อายุสิบเจ็ดปี คนที่อสองและสามเป็นชาย และเป็นฝาแฝดกัน ทว่าคล้ายจะเป็นลูกหลง เพราะอายุเพิ่งจะสิบขวบเท่านั้นเอง พ่อกุ้ยเป็นคนที่รักครอบครัวมาก ยอมแยกบ้านเมื่อลูกและเมียโดนกระทำโดยบ้านใหญ่ซึ่งเจ้าบ้านคือพี่ชายของตนเอง ทว่าเมื่อแยกบ้านแล้วใช่ว่าทุกคนจะอยู่อย่างสงบสุข เพราะความยากจนที่ไม่หนีหายไปไหน เนื่องจากเมื่อแยกบ้านมาแล้วทางบ้านใหญ่ไม่คิดที่จะแบ่งที่ดินทำกินมาให้ ทำให้สองคนผัวเมียต้องรับจ้างเพื่อส่งลูกที่ยังเรียน ส่วนกุ้ยหนิงอันเรียนจบมัธยมปลายแล้วจึงไม่ยอมเรียนต่อ และออกมาหางานทำในตำบล ทว่าเงินที่หามาได้นั้นช่างน้อยนิด ทำให้หญิงสาวคิดอยากจะไปทำงานที่เมืองหลวง เพื่อหาเงินส่งกลับมาที่บ้านและได้ส่งให้น้องได้เรียนสูง ๆ เนื่องจากกุ้ยหนิงอันนั้นหมดหวังแล้ว แม้ว่ามหาวิทยาลัยจะเปิดสอบมาหลายปี ตัวเธอเองไม่หวังอะไรเกินเอื้อม และน้องทั้งสองคนคือความหวังของเธอและครอบครัว “อันอัน ลูกไปพักก่อนเถอะ กลับมาจากทำงาน ยังจะมาช่วยงานพ่อกับแม่อีก” นางจางหานกล่าวกับบุตรสาวด้วยความเป็นห่วง ดูสิลูกของเธอทุกครั้งที่กลับจากทำงานมา ถึงบ้านทีไรย่อมต้องมาช่วยงานนางและสามีอยู่เสมอ “ไม่เป็นไรค่ะแม่ ฉันทำได้ แล้วนี่พ่อไปไหนคะ ทำไมแม่ถึงทำงานอยู่คนเดียว” กุ้ยหนิงอันกวาดสายตามองหาพ่อ ส่วนน้องทั้งสองคนเข้าไปทำการบ้าน นางจางหานถอนหายใจเล็กน้อย พยายามเช็ดมือที่เปื้อนดินออกแล้วลูบศีรษะลูกด้วยความอ่อนโยน ใบหน้าของหนิงอันนั้นดูขาวซีดเนื่องจากร่างกายไม่แข็งแรงมาตั้งแต่เกิด ทว่าต่อให้จะซีดขาวแต่ไหนแต่บุตรสาวนางคนนี้กลับมีความสวยงามสะดุดตา จนไปเตะตาพ่อม่ายต่างหมู่บ้านเข้า วันนี้บ้านใหญ่กุ้ยจึงเรียกสามีนางไปพูดคุย “เกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่ไหมคะแม่ หรือว่าบ้านใหญ่สร้างเรื่องอะไรอีก พวกเราทำงานกันจนเหงื่อแทบจะกลายเป็นเลือด ฉันไม่เข้าใจทำไมทุกครั้งที่บ้านใหญ่สร้างเรื่อง บ้านรองของเราต้องเป็นฝ่ายรับผิดชอบด้วย” กุ้ยหนิงอันไม่ใช่คนที่ยอมใครง่าย ๆ แม้ว่าร่างกายไม่แข็งแรงเจ็บออด ๆ แอด ๆ อยู่ตลอดเวลาก็ตาม หากเมื่อไหร่ที่ครอบครัวโดนรังแก เธอก็สู้ไม่ถอยเช่นกัน “ฉันจะไปตามพ่อเอง แม่รออยู่ที่นี่นะ” “อย่าลูก รอพ่อกลับมาเถอะ เท่าที่แม่รู้มานั้น มีพ่อม่ายต่างหมู่บ้านพบเจอลูกที่กำลังทำงานอยู่ร้านขายข้าวสาร จึงเกิดต้องตา แต่อายุของเขาไม่น้อยแล้ว และสืบเรื่องราวของลูกจนรู้ว่าลูกมีความเกี่ยวข้องกับบ้านใหญ่กุ้ย จึงได้มาเจรจาสู่ขอ ทว่าพ่อของลูกรู้ข่าวจึงรีบไปจัดการ แม่หวังว่าพ่อเขาจะไปทันท่วงที” นางจางหานเล่าให้บุตรสาวฟังอย่างไม่ปิดบัง หากสามีของนางไปไม่ทัน อย่างไรนางไม่ยอมให้อันอันต้องแต่งกับบุรุษเช่นนั้นแน่ ครอบครัวเธอใช่ว่าจะรังเกียจพ่อม่ายหรือคนมีอายุ ทว่านิสัยพ่อม่ายคนนี้ชอบตบตีภรรยาจนเป็นนิสัย ชายคนนั้นแต่งงานมาแล้วสามครั้ง ครั้งล่าสุดซ้อมภรรยาจนอาการเป็นตายเท่ากัน หากไม่มีเงิน ทางบ้านหญิงสาวคนนั้นคงไม่ยอมรับเงินง่าย ๆ หรอก ไม่ใช่เพียงแต่เธอที่รู้ ทว่าเรื่องนี้ชาวบ้านล้วนทราบข่าวกันแทบทุกครัวเรือน กุ้ยหนิงอันหลังจากที่ทราบเรื่องทั้งหมด ใบหน้าของเธอที่ซีดอยู่แล้วกลับซีดเผือดหนักกว่าเดิม ทำไมบ้านใหญ่ถึงมาตัดสินใจแทนเธอ ทั้ง ๆ ที่พ่อได้แยกบ้านออกมานานแล้ว อีกทั้งบ้านใหญ่ใช่ว่าไม่มีลูกสาว อยากได้เงินมากก็แต่งกันเองสิ “แม่คะ ฉันอยากไปทำงานที่ปักกิ่ง แม่ให้ฉันไปเถอะนะ อยู่ที่นี่เงินเดือนน้อย ไปปักกิ่งคงได้เงินเยอะกว่า อีกทั้งเจ้าแฝดยังต้องเรียนอีกนาน ฉันมีความรู้ไม่มากพอที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัย จึงอยากให้เจ้าแฝดสานฝันฉันให้สำเร็จ แม่ให้ฉันไปนะ” กุ้ยหนิงอันคล้ายคิดเรื่องนี้มาก่อนแล้ว เมื่อเกิดเรื่องนี้จึงตัดสินใจบอกกล่าวแก่ครอบครัว หากเป็นเวลาปกตินางจางหานคงไม่ยอมให้บุตรสาวที่ร่างกายไม่แข็งแรงไปทำงานต่างมณฑลที่ห่างไกลเช่นนี้ แต่ครั้งนี้เธอเชื่อว่าสามีของเธอคงไปไม่ทันเวลาหรือจะห้ามปรามเรื่องนี้ได้ “อืม ไปเถอะ ดูจากสีหน้าของพ่อลูก แม่คิดว่าคงทะเลาะกับบ้านใหญ่มาอีกแน่” “เป็นอย่างไรบ้างพี่หลง สรุปแล้วพ่อม่ายคนนั้นมาสู่ขอใคร” “พี่ใหญ่ไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำสกุลกุ้ย มีอะไรก็เชื่อแต่พี่สะใภ้ กว่าที่พี่จะไปถึงทั้งสองฝ่ายตกลงกันเรียบร้อยแล้ว” กุ้ยจื่อหลงเอ่ยน้ำเสียงยังครุโกรธ มีสิทธิ์อะไรมายกอันอันให้แต่งงานกับพ่อม่ายเช่นนั้น “พ่อคะ ฉันอยากไปทำงานที่ปักกิ่ง พ่อให้ฉันไปนะ ฉันอยากส่งเงินมาที่บ้านเยอะ ๆ เพื่อให้สองแฝดได้เรียนสูง ๆ น่ะค่ะ” กุ้ยจื่อหลงพยักหน้าแบบไม่ต้องคิดหรือตัดสินใจอะไรให้ยุ่งยากอีก ไม่ว่าอย่างไรนี่คือทางออกที่ดีที่สุดสำหรับอันอัน ถ้าให้ลูกต้องแต่งงานกับคนเช่นนั้น เขายอมที่จะเป็นฆาตกรเอง “อืม พ่ออนุญาต แต่ลูกต้องสัญญาว่าจะดูแลตนเองให้ดี และต้องเขียนจดหมายกลับมาที่บ้านเสมอ อย่าขาดการติดต่อ จบปัญหาที่นี่แล้วพ่อจะส่งข่าวบอก ลูกตกลงไหม” แม้จะอนุญาตให้บุตรสาวเดินทางไปทำงานต่างมณฑลแต่ไม่วายสั่งกำชับห้ามขาดการติดต่อ และรอดูว่าจบเรื่องวุ่นวายนี่เมื่อไหร่เขาจะส่งข่าวบอกอีกครั้ง ตอนนี้แม้ต้องส่งบุตรสาวให้อยู่ห่างไกลเขาก็ยอม ดีกว่าต้องแต่งงานกับคนเช่นนั้น “อย่างนั้นฉันไปเก็บของเลยนะคะ พรุ่งนี้ก่อนฟ้าสางฉันจะเดินทางออกจากหมู่บ้าน ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ฉันเชื่อว่าหากบ้านใหญ่รู้ว่าฉันเดินทางไปต่างมณฑลคงไม่มีใครยอม” “พรุ่งนี้พ่อจะไปส่งเอง พ่อจะไปยืมจักรยานบ้านหม่า หากเดินเท้าเกิดมีใครพบเข้าคงพูดกันไม่หยุดปาก” “ค่ะพ่อ ขอบคุณมากค่ะ” กุ้ยหนิงอันสวมกอดพ่อด้วยความรักและความอบอุ่น ครั้งนั้นพ่อต้องการปกป้องครอบครัว และไม่อยากให้เมียกับลูกถูกใช้งานหนักจึงตัดสินใจแยกบ้านแม้ว่าจะไม่ได้ทรัพย์สินอะไรมาเลยก็ตาม พ่อก็ยินยอมเพื่อทุกคน จากนั้นทั้งสามคนจึงช่วยเร่งมือในการขุดดิน เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นจึงชวนกันกลับบ้าน บ้านใหญ่กุ้ย หลังจากที่กุ้ยจื่อหลงกลับไป กุ้ยกวงจึงส่งแขกอย่างพ่อม่ายคนนั้นด้วยรอยยิ้ม แม้ในวันนี้จะเป็นการสู่ขอ ทว่าพ่อม่ายกงคนนั้นกลับจ่ายค่าสินสอดมาก่อนถึงห้าร้อยหยวน “แม่ แม่คิดว่านังกุ้ยอันมันจะยอมแต่งเหรอ อย่าลืมสิเมื่อครู่นี้อารองไม่ยอมรับปาก ยังด่าพ่อม่ายกงแทบไม่มีชิ้นดี ฉันละหวั่นใจจริงเชียว” “แล้วยังไง แต่งหรือไม่อย่าลืมว่าคนที่มีสิทธิ์ตัดสินใจคือผู้นำตระกูลเช่นพ่อของแก บ้านใหญ่ว่าอย่างไร บ้านรองและบ้านสามย่อมต้องทำตาม ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ” นางก้านเอ่ยอย่างถือดีและเหนือชั้นกว่า เวลานี้พ่อสามีไม่อยู่แล้ว ผู้นำตระกูลย่อมต้องเป็นสามีของเธอ และหากแม่สามีไม่พอใจ ทำไมไม่คัดค้านขึ้นมาเล่า “แม่ของหล่อนกล่าวถูกแล้ว มียายแก่อย่างฉันอยู่ใครจะกล้ามีปัญหา สินสอดตั้งเกือบหนึ่งพันหยวน ใครไม่รับก็โง่เต็มที นี่แค่มาพูดคุยยังวางเงินไว้ตั้งห้าร้อยหยวน ต่อให้เจ้ารองและลูกมันไม่ยอมยังไง ฉันเป็นย่า ฉันมีสิทธิ์ตัดสินใจ หรือหล่อนจะแต่งแทนล่ะ” ตอนแรกแม่เฒ่ากุ้ยไม่คิดจะสนใจและไม่เห็นด้วย อย่างน้อยลูก ๆ ของเธอต่างก็แยกบ้านกันหมดแล้ว เธอต่อให้เป็นย่าก็ไม่มีสิทธิ์ไปยุ่งหรือวุ่นวาย เพียงแค่ลูก ๆ ต่างส่งอาหารมาแสดงความกตัญญูทุกปีก็พอแล้ว ทว่าเมื่อฝ่ายนั้นเสนอเรื่องสินสอดขึ้นมา จะให้ย่าเช่นเธอไม่ยุ่งไม่ได้ เงินตั้งหนึ่งพันหยวนเชียวนะ “ย่า ฉันไม่ได้ว่าอะไรเสียหน่อย ย่าอย่ามาเหมารวม เรื่องอะไรฉันจะแต่งงานกับคนแบบนั้นล่ะ ฉันไม่ติดปัญหากับคำว่าพ่อม่ายหรอกนะ แต่ฉันยังไม่อยากตายก่อนวัยอันควร ใครไม่รู้บ้างว่าชายผู้นั้นมีนิสัยชอบทำร้ายเมียตนเอง” กุ้ยฟางหลินแบะปากกล่าวขึ้น เรื่องอะไรจะให้เธอไปแต่งงานกับชายแบบนั้น เธอไม่เอาด้วยหรอกนะ ให้บ้านรองรับกรรมไปก็แล้วกัน “เช่นนั้นหล่อนเงียบปากไปได้เลย อย่าให้เรื่องนี้หลุดรอดไปเข้าหูคนอื่น รวมถึงบ้านรอง ดีที่เจ้ารองโกรธจนออกไปเสียก่อน เลยไม่รู้ว่าบ้านใหญ่รับเงินมาเรียบร้อยแล้ว สะใภ้ใหญ่หล่อนไปเตรียมมื้อเย็นได้แล้ว พรุ่งนี้ไปตลาดซื้อเนื้อมากินกัน บ้านเราไม่ได้กินเนื้อนานแล้ว” แม่เฒ่ากุ้ยกล่าวขึ้นทำให้กุ้ยฟางหลินรีบวิ่งเข้ามากอดประจบ “ย่า ฉันอยากได้ชุดใหม่ ย่าซื้อให้ฉันได้ไหม ตอนนี้เพื่อนฉันต่างก็มีชุดใหม่มาอวด ย่าไม่กลัวฉันน้อยหน้าบ้างหรือ” “เอาสิ ย่าซื้อให้ แต่คะแนนเทอมนี้ต้องดีกว่าเทอมที่แล้ว ตกลงหรือไม่” “ตกลงค่ะย่า ฉันจะสอบแล้วทำคะแนนให้ดีกว่าเทอมที่แล้ว” กุ้ยฟางหลินรีบรับคำ เธอเองอยากสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้เช่นกัน จะได้หลุดพ้นจากคำว่าสาวชนบทเสียที เผื่อว่าเข้าไปเรียนที่ปักกิ่งเธอจะได้หาสามีรวย ๆ มาเชิดหน้าชูตากับเขาบ้าง มื้อเย็นวันนี้บ้านรองกุ้ยได้แต่นั่งกินอาหารด้วยสีหน้าที่ยากจะคาดเดา “ทุกคนอย่าทำหน้าเช่นนั้นสิ ฉันไปทำงานนะ เมื่อไหร่ที่ทำงานเก็บเงินได้พอจะเปิดร้านขายของเล็ก ๆ ได้ ฉันจะรีบกลับมา” กุ้ยหนิงอันเอ่ยด้วยรอยยิ้ม เพราะไม่อยากให้ครอบครัวทำหน้าเศร้า ไม่ว่าอย่างไรเธอตั้งใจจะไปหางานทำอยู่แล้ว นั่นก็เพราะความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของคนในครอบครัว ทุกคนได้แต่ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน เมื่อสิ่งที่กุ้ยหนิงอันคาดหวังนั้นคือความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของครอบครัว หลังจากกินอาหารมื้อเย็นเสร็จแล้ว ทุกคนต่างแยกย้ายกันเข้านอน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD