Chapter 2

1837 Words
Chapter 2                        “เอ้อ ดีนะ เก่ง ๆ อาว่าเราเหมือนลูกอา อริสเรียนจบสัตวศาสตร์จากสวิตเซอร์แลนด์ ตอนเรียนตรีได้ทุนนักกีฬาทีมชาติ จบมาแล้วยังมาช่วยงานที่ฟาร์ม”            เตชินมีสีหน้าแปลกใจ “จริงหรือครับ? อาภพ ผมแค่เรียนอย่างเดียว ตรี โทที่อังกฤษยังรู้เลยว่ายาก ไม่น่าเชื่อว่าตัวเล็ก ๆ แบบนี้เป็นนักกีฬาด้วย?” ปลายเสียงหยุดอยู่กับใบหน้าสดสวยของคนที่รับประทานอาหารเสร็จ เอาแต่ส่งสายตาหาสุนัขตรงมุมห้อง แทนที่จะมองหน้าหล่อ ๆ ของหนุ่มวิศวะดีกรีอังกฤษ            น้ำเสียงราบเรียบเย็นชาตอบ “ค่ะ”            “กลับไทยนานหรือยังน่ะ ผมมาคราวที่แล้วไม่ยักเจอ”            “ปีกว่าค่ะ”            พิภพเห็นท่าทีไม่ใคร่สนทนาของลูกสาว กลับไม่คิดว่าเสียเวลาอะไรมากมายหากเจ้าที่รักจะรออีกสักหน่อย เขายังสังเกตเห็นอีกด้วยว่าชายหนุ่มดูสนใจเธออยู่พอประมาณ ก็คงจะเข้าทาง...            “อริสเรียนจบโทตอนอายุยี่สิบห้า กลับมาช่วยงานได้เกือบสองปีแล้วล่ะ ปีนี้ย่างเข้ายี่สิบแปดปีแล้ว เราอายุเท่าไรน่ะเต”            “ผมสามสิบสองย่างเข้าสามสิบสามครับ”            “อายุห่างกันแค่สี่ปี จบนอกเหมือนกัน วัยไล่ ๆ กันน่าจะพูดคุยเข้าใจกันใช่ไหมล่ะลูก?” เจ้าของบ้านบอกลูกสาวที่ไม่ได้พูดอะไร มือหยิบแก้วน้ำขึ้นดื่ม            “แล้วตอนนี้น้องช่วยงานอะไรบ้างครับ?”            “ลูกอาเป็นผู้จัดการใหญ่ คุมคนงาน ตรวจความเรียบร้อยในฟาร์ม อริสจบสัตวศาสตร์มา เก่งด้านจัดการการผลิต งานวิจัยสัตว์ประเภทอื่น ๆ พวกตลาดส่งออกเนื้อแพะ แกะ นี่ลูกอาทำหมดเลยนะ อาทำงานส่วนบริหารกับหุ้นส่วนอีกหลายคน งานเอกสารสัญญา กฎหมาย งานลงทุน บริษัททัวร์ อาเป็นคนตัดสินใจ”            “ท่าทางจะยุ่งนะครับ”            “ไม่เท่าไร ฟาร์มอามีพนักงานเป็นร้อย มีหัวหน้างานฝ่ายการตลาด ฝ่ายขาย ฝั่งรีสอร์ตก็มีผู้จัดการโรงแรมคอยช่วยอยู่ คนนี้มีฝีมือพอตัว อาแทบจะไม่ต้องไปยุ่งเลย” พิภพหลุบตามองลูกสาวครั้งหนึ่งและคนข้างกัน ในสายตาของเขาคู่หนุ่มสาวดูเหมาะสมกันราวกิ่งทองใบหยก เหมือนที่ภรรยาเคยบอก            “เอ้อ... เต เรามีแฟนหรือยังล่ะ?”            “พ่อจะคลุมถุงชนหนูหรือไง?” น้ำเสียงขุ่นเคืองโพล่งขึ้นมาเพราะคนที่พูดจ้อย ๆ ไม่หยุด แม้ว่าเธอจะส่งสายตาคมกริบตั้งหลายครั้ง            “พ่อแค่ถามเฉย ๆ...”            “พ่อไม่ได้ถามเฉย ๆ อย่าคิดว่าหนูไม่รู้” เสียงแข็งกระด้างเถียง อริสาไม่เคยพอใจในเรื่องนี้ ขนาดว่าไม่ได้เจอกันมาตั้งหลายปี จนแม่เสียไปแล้วพ่อก็ยังไม่ล้มเลิกความคิด            “รู้ก็ดี แม่กับพ่อเห็นว่าเตเขาเข้ากันดีกับบ้านเรา ต่างคนก็ยังไม่มีแฟน ลองคุย ๆ กันเป็นเพื่อนเป็นพี่น้อง ไม่มีอะไรเสียหาย ถ้าเกิดว่าถูกใจกันขึ้นมาค่อยว่ากันดีไหม เตว่าไงล่ะ?” เขาถามชายหนุ่มด้วยรอยยิ้มใสซื่อแต่เป็นอีกคนตอบ            “ถ้าหนูจะมีผัว หนูจะหาของหนูเอง พ่อช่วยเข้าใจด้วยนะ และแม่ไม่อยู่แล้ว” สิ้นคำ ร่างบางลุกขึ้นยืนสุดความสูง “หนูจะพาที่รักไปหาหมอ ไปก่อนนะ พ่อ”            “เออ... ก็ไปสิ แต่รถพ่อให้ครูเหนือยืมไปใช้ รถหนูพ่อเอาไปถ่ายน้ำมันเครื่อง ไปกับพี่เตเขานะ” เข้าแผนนายพิภพที่กำลังจะหาลูกเขยสักคนนั่นแหละ แต่เท่านี้ไม่สามารถทำอะไรอริสา หากเธอได้พูดแล้วว่าไม่ ก็คอยดูกันไป            “ค่ะ”            สีหน้าสุดแสนเย็นชายิ่งกว่าน้ำแข็งขั้วโลกเหนืออยู่ในสายตาของเตชิน เป็นธรรมดาที่เขาคงต้องมีไม่พอใจ และก็อยากจะรู้ว่าเธอจะแน่สักแค่ไหน จึงลุกขึ้นตามไป            ซึ่งหญิงสาวกลับกลายเป็นคนละคน พอก้าวไปนั่งพับเพียบลงบนพื้นหน้าสุนัขตัวโปรด มันส่ายหางไปมาอย่างดีใจแม้ร่างกายไม่สู้ดี            “ที่รัก.. แม่จะพาหนูไปหาหมอนะลูก” ทั้งน้ำเสียงและแววตาอ่อนโยน มือเล็กลูบไล้ขนสีบรอนซ์ทองสลวย มันก็ร้องครางอ้อนเจ้านาย            เจ้าที่รักเป็นสุนัขสายพันธุ์ดีจากฟาร์มที่มีชื่อเสียงในเมืองโคราช อริสาตัดสินใจซื้อมันมาด้วยอารมณ์เบื่อเซ็ง ๆ เล่นอินเตอร์เน็ตแล้วพบเข้าโดยบังเอิญเห็นว่ามันน่ารักดี พอเลี้ยงไปจึงเกิดความรู้สึกเมตตา มันเติมเต็มชีวิตอันน่าเบื่อหน่ายในแต่ละวันให้มีสีสัน จนถึงทุกวันนี้ดันขาดมันไม่ได้สักวัน            “อ้าว.. เดี๋ยวนี้น้องอริสมีลูกเป็นหมา?” คนถามเลิกคิ้วขึ้นมองร่างบางในเดรสคุณหนูนั่งราบอยู่บนพื้น เจ้าของบ้านตอบให้แทน            “อย่างนั้นแหละ สองแม่ลูกรักกันปานจะกลืนกิน ตัวติดกันเป็นตังเม ไม่รู้วันไหนแต่งงานมีผัว จะนอนกับหมาหรือนอนกับผัว”            ‘ผัว’ ย้ำให้ลูกสาวได้ยินแต่เธอก็ทำเป็นไม่สนใจ ไม่ต่อปากต่อคำกับพ่อเหมือนเคย แต่พูดกับหมา            “ลูกเดินไม่ไหว เดี๋ยวแม่อุ้มหนูนะลูก”            เจ้าหมาตัวโตกำลังแลบลิ้นน้ำลายเลอะเทอะไปหมด มันไม่สบายยังได้รับกำลังใจจากเจ้านายสาวที่ใจดีกับมันเสมอ แขนเรียวสอดเข้าช่วงท้องด้านหน้า ค่อย ๆ ยกเจ้าหมาเข้าหาอ้อมอก แนบไว้กับตัวอย่างนุ่มนวล            “ให้ช่วยไหมคุณ?” คำถามของเตชินได้รับการตอบรับด้วยสายตาเย็นยะเยียบของคนที่ตวัดหางตามอง            แน่ว่าการอุ้มสุนัขพันธุ์ใหญ่น้ำหนักกว่าสามสิบกิโลกรัมอย่างถูกวิธีเป็นสิ่งจำเป็น ด้วยความเคยชินกับการอุ้มเจ้าตัวแสบมาแต่เล็กจนโตเต็มวัย มันจึงไม่ใช่ปัญหา            ใบหน้าสวยสะบัดกลับไปอย่างเชิดหยิ่ง ก่อนที่เธอจะเดินนำลิ่วไป เตชินส่ายหน้าไปมาอย่างเอือม ๆ ยกมือไหว้ลาเจ้าของบ้าน รับหน้าที่สารถีขับรถยนต์พาทั้งคนทั้งหมาไปโรงพยาบาลสัตว์            โรงพยาบาลสัตว์เอกชนบริการระดับมาตรฐาน มีคลินิกสัตว์เล็กใหญ่ครบวงจร อริสาเลือกที่จะมาใช้บริการที่นี่เป็นประจำ ตั้งแต่เจ้าที่รักรับวัคซีนเข็มแรก ซื้อของใช้จุกจิกของสุนัข ฝากเลี้ยง หรือแม้แต่นำสัตว์อื่น ๆ ที่ฟาร์มมารักษา          หลังจากที่เจ้าที่รักนั่งซมซุกตักส่งเสียงครวญครางตลอดทางกว่ายี่สิบกิโลฯ เธอไม่ได้อยู่ในอารมณ์สนทนากับคนขับรถจำเป็น ถามคำก็ตอบคำจนชายหนุ่มต้องนั่งกุมพวงมาลัยไปเงียบ ๆ             บรรยากาศชวนน่าอึดอัดของคนทั้งคู่ยังคงอยู่จนนั่งรอคิวในคลินิก ผู้ช่วยสัตวแพทย์สาวเข้ามาไถ่ถามอาการ            “เจ้าที่รักเป็นอะไรมาคะ? คุณอริสา”            “ที่รักซึม ตัวร้อนเป็นไข้ค่ะ” รีบตอบด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล ขณะนั่งกอดประคองกอดสุนัขในสภาพอิดโรยไว้บนตัก มันป่วยถึงขั้นว่าไม่มีอารมณ์วิ่งเล่นในสถานที่ที่มันชื่นชอบการทักทายสุนัขตัวอื่น ๆ ไปทั่ว และเจ้านายก็จะดุมัน            “หมามันตัวร้อนได้ด้วยเหรอครับ?” คำถามของเตชินถูกมองค้อนขวับ ก่อนจะได้รับคำตอบให้หายข้องใจ            “ได้สิคะคุณ น้องหมาที่เป็นไข้ส่วนใหญ่แล้วที่หูกับเท้าจะร้อนจัด ลองใช้มือหรือหลังมือของเราจับดูที่หูหรือที่เท้าของน้องหมาดูว่าร้อนมากไหม ให้ลองเทียบกับตัวเราดู โดยปกติแล้วหมาจะตัวอุ่นกว่า หรือจะใช้ปรอทวัดไข้วัดดูก็ได้ค่ะ”            เตชินถึงกับร้องอ๋อ ให้สีหน้าคลายความสงสัยไม่มีอะไรค้างคาใจอีก            “น้องมีอาการอะไรอีกไหมคะ? คุณอริสา อาเจียนไหม ทานข้าวได้ไหมคะ เป็นไข้มากี่วันแล้ว?”            “ไม่อาเจียนค่ะ ทานข้าวได้อยู่แต่ทานได้น้อยลง ขนมไม่ค่อยจะกิน เมื่อวานมันไปเล่นน้ำฝน ตื่นเช้ามามีไข้ ไม่แน่ใจว่าเป็นไข้หวัดธรรมดาหรือเปล่า ฉันเลยรีบพามันมา เผื่อคุณหมอตรวจเลือดดูจะได้แน่ใจค่ะ”            คนรักสัตว์ลอบยิ้มกับความเอาใจใส่ของลูกค้าขาประจำ ก่อนผายมือเชื้อเชิญ “พาเจ้าที่รักมาทางนี้เลยค่ะ”            ผู้ชายตัวโตเตรียมให้ความช่วยเหลือเจ้าของหมาที่ทำท่าจะลุก ขณะที่เธอดันไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย ใบหน้าสดสวยบึ้งตึงตลอดเวลา ยังออกคำสั่ง            “คุณเตชินเฝ้ากระเป๋าฉันไปแล้วกัน”                        ชายหนุ่มย่นคิ้วเข้าหากัน เมื่อกระเป๋าสะพายหนังสีขาวถูกปลดจากบ่า ปลายนิ้วกรีดกรายดันมันไว้แนบติดกางเกงยีน เธอหลุบมองมันครั้งหนึ่งด้วยสายตาเฉียบคม            “กรุณาให้ความสำคัญกับมันด้วย เพราะกระเป๋าฉันแพงมาก ขอบคุณค่ะ”            ความหมายของเธอไม่ได้ประชดประชันเขาเลยเพราะกระเป๋าหนังจระเข้รุ่นนี้ก็ประมาณแสนกว่าบาทได้ ชายหนุ่มหน้ากระตุก จับมันวางไว้บนตักอย่างไม่ค่อยพอใจ            ร่างบางค่อย ๆ หยัดกายลุกขึ้นพร้อมสุนัขซึ่งได้รับการโอบอุ้มอย่างนุ่มนวล มันรับรู้ได้ว่าข้างหน้ามีอะไร จึงเริ่มส่งเสียงครางด้วยความหวาดกลัวจับใจเหมือนทุกครั้งคราวเข้าห้องตรวจ ในห้องที่มีกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อตลบอบอวลไปทั่ว พอผู้ช่วยสัตวแพทย์สาวเดินหลีกไปในอีกทางหนึ่ง ดวงตาคู่กลมโตส่ายมองหาคุณหมอ และโต๊ะตัวใหญ่สำหรับวางสุนัข พอดีกับที่สายตาเหลือบไปเห็น เจ้าของวงหน้าหล่อเหลาคมคายในชุดกาวน์แขนสั้นกำลังก้มหน้าอยู่กับแฟ้มและกระดาษกองหนึ่ง ไล่จากจมูกโด่งเป็นสันคม แม้เห็นใบหน้าของเขาเพียงเสี้ยวเดียว สัญชาตญาณของเธอบอกว่าพ่อคุณน่าจะเอาเรื่อง!            “วางน้องหมาลงเลยครับ” เสียงทุ้มนุ่มละมุนผ่านหู ไม่ต่างจากนักร้องบอยแบนด์ยืนจับไมโครโฟน ลี้ดกีตาร์เท่ ๆ มีสาวกแม่ยกยืนกรี้ดคอแตก ก้อนเนื้อในอกสาวกระตุกไม่เป็นจังหวะทุกย่างก้าว เธอคงไม่มีทางเลือกที่จะถอยไปข้างหลัง เจ้าหมาตัวโตได้รับความช่วยเหลือจากมือหนาใต้ถุงมือยางสีขาวในอีกฝั่งของเตียงเหล็ก มันสะดุ้งทันทีที่สัมผัสได้ถึงโลหะเย็นเฉียบ เหมือนหมาโดนน้ำร้อนลวกตกใจกลัวก็ถีบเท้ายันหน้ายันหลังสู้แรงมนุษย์ คนที่ยืนอยู่ตรงข้ามกันจึงต้องออกแรงกดมันให้นอนราบลงในท่าตะแคงสักทางหนึ่ง “โอ๊ย!” เสียงหวานอุทาน หลังหลบเท้าปุกปุยจนฟาดหน้าผากเข้ากับคุณหมอที่หลับตาปี๋เพราะความเจ็บ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD