"นาย...ให้เนื้อทองไปพบที่ท้ายไร่ทำไมคะพี่ส้ม..." เท้าเล็กย่ำเดินตามคนงานหญิงในไร่ไปด้วยใจหวั่นๆ หล่อนนอนไม่หลับทั้งคืนกระทั่งรุ่งสางด้วยเกรงอัศเวทย์จะกลับมาคิดบัญชียามดึกยามดื่น แต่ปรากฏว่าไม่เห็นแม้แต่เงา ครั้นเช้าขึ้นมาส้มก็ขึ้นมาตามถึงห้อง บอกว่าเขาต้องการพบตัวด่วนและให้ไปหายังที่เกิดเหตุ
"พี่ไม่รู้หรอก...ไป เถอะพี่จะแวะไปทำงานแล้ว ขืนชักช้านายจะโกรธยิ่งกว่าเดิม" เท่าที่จำความได้เนื้อทองยังไม่เคยเผชิญหน้ากับชายหนุ่มยามที่เขา 'ไม่โกรธเลยสักครั้ง'
"ขอบใจจ้ะพี่ส้มที่เดินมาเป็นเพื่อน" เนื้อทองยิ้มแหยๆ เดินกะเผลกไปบนทางเท้าตามร่ององุ่น เมื่อวานหล่อนเผลอล้มตกบันไดตอนวิ่งลงจากกระท่อมไปหลบเขม่าควันในห้องน้ำ ทำให้ข้อเท้าอักเสบบวมขึ้นมาทันตาเห็นตั้งแต่เช้า ทั้งๆ ที่ตอนเกิดเหตุไม่รู้สึกเจ็บด้วยซ้ำ อาจเป็นเพราะฤทธิ์จากความตกใจ และกลัวอัคคีเพลิง
สายตาสาดมองไกลไปยังท้ายไร่ที่บัดนี้ยังคงมีควันลอยฟุ้งให้เห็น ทั้งยังทิ้งรอยจากการถูกดเผาไหม้เป็นบริเวณกว้าง ต้นไม่ใบหน้าล้วนแล้วแต่ดำเป็นตอตะโก แลเห็นไปแต่ไกล หล่อนกับส้มขอพลอยขึ้นรถคนงานที่เข้ามาในไร่ แต่ก็มาได้แค่ครึ่งทาง ที่เหลือคงต้องเดิน โชคยังดีที่ไม่ต้องเดินตั้งแต่ออกจากบ้าน ไม่เช่นนั้นย่ำเย็นก็ยังไม่รู้จะถึงหรือเปล่า เพราะระยะทางไปท้ายไร่อยู่ห่างจากเรือนใหญ่หลายกิโล
ได้มาถึงตรงนี้แล้วหล่อนก็ยังต้องเดินอีกไกลอยู่ดี...เท้าก็เจ็บ...
ร่างใหญ่ยืนตระหง่านมือกอดอกทอดมองไปยังเบื้องหน้าที่วายวอดเพราะแรงเพลิงที่ถาโถมทั้งคืน กว่าจะจัดการควบคุมได้เสร็จสรรพก็ปาเข้าไปจวนเช้าของอีกวัน ความเสียหายนั่นหรือ...ก็กินพื้นที่ไปเกือบครึ่งของผืนดินที่รกร้างตรงหน้าเลยทีเดียว ดีนะที่มันคือที่ดินร้างยังไม่มีโครงการจะขุดถางลงแปลงองุ่นเพิ่ม ไม่อย่างนั้นแล้วคงขาดทุนวอดวายไปกว่านี้แน่
"นาย..." เนื้อทองยืนก้มหน้าเท้าชิดประสานมืออยู่ด้านหลังร่างสูงใหญ่ หล่อนเองก็รู้สึกผิดเมื่อเห็นซากผืนป่าไหม้มอดเกือบหมดเพราะความประมาทของตน
"มาแล้วเหรอแม่ตัวดี..." เสียงนั้นเนิบช้าแต่ห้าวลึก...ฟังแล้วชวนให้ระแวงใจยิ่งนัก เนื้อทองกลอกตามองแผ่นหลังกว้างแล้วก็หลับตาปี๋กลั้นหายใจเม้มริมฝีปากรอรับคำถากถางด่าทอ
"ว้าย!!" แต่ผิดคาด...หล่อนกลับถูกมือใหญ่หันมาตะปบจับที่ท้ายทอยและดึงเหวี่ยงร่างหล่อนลงไปกองกับพื้นตรงหน้า...ทับอยู่บนกองขี้เถ้าดำมอด ข้อเท้าที่แพลงพลิกอยู่แล้วยิ่งระบมซ้ำ ก่อนจะได้คิดอะไรมากไปกว่านั้นความมารู้สึกเจ็บก็บังเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อปอยผมถูกจับเป็นกระจุกและดึงจนหน้าหงาย
"ดู!! ดูซะให้เต็มตาแม่ตัวดีว่าทำอะไรลงไป! เธอเกือบจะเผาที่นี่ทั้งหมดถ้าไอ้เพิกมันเห็นเหตุการณ์ไม่ทัน เราทุกคน...เกือบตายเพราะเธอจุดไฟเผา!! คนงานเป็นสิบต้องบาดเจ็บเพราะช่วยกันดับไฟเมื่อคืน บางคนถูกไฟลวก บางคนถูกตอไม้แทง งานการเสียหายต้องหยุดกันไปกว่าครึ่ง!!เธอมันเกิดมารรกโลกจริงๆ เนื้อทอง ฉันไม่น่าเข้ามาช่วยเลย!!" น้ำเสียงเดือดดาลตวาดลั่นใส่หน้าผู้ตกเป็นเบี้ยล่าง หล่อนน้ำตาร่วงผล็อย ถึงคราวคงไม่รอดจากเงื้อมมือมารเสียแล้ว แต่ก็ดีเหมือนกันทุกอย่างจะได้จบ
"เนื้อทองไม่ได้ตั้งใจ ถ้าเนื้อทองรู้ว่ามันจะร้ายแรงขนาดนี้เนื้อทองคงจะยอมตายไปเสียดีกว่า"
"แต่เธอก็ไม่ตาย! แถมนับวันก็ยิ่งสร้างแต่ปัญหากับความเดือดร้อนไม่หยุดไม่หย่อน บอกฉันสิเนื้อทอง บอกฉัน!! ว่าฉันจะจัดการกับเธอยังไงดี!" ความสูญเสียที่หล่อนก็สร้างบาดแผลให้ไม่น้อยไปกว่าที่เขากำลังลงแรงกับหล่อนในยามนี้มันตอกลึกอัศเวทย์ให้สั่นไปทั้งตัวด้วยความโกรธเกรี้ยว หากแต่เขาก็ยังจำเป็นต้องเลี้ยงเนื้อทองเอาไว้ตามคำสั่งเสียของภรรยาผู้ล่วงลับ
มันคือสิ่งเดียวที่หล่อนร้องขอก่อนสิ้นลม ซึ่งหากไม่ฝ่าฝืนเขาคงรู้สึกผิดไม่น้อยเช่นกันที่ทำให้ดวงวิญญาณของหญิงสาวอันเป็นที่รักไปสู่สุคติไม่ได้ สถานการณ์ในหัวอกที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก มันอัดอั้นแทบจะเป็นบ้าเอาไว้ง่ายๆ จริงๆ
"เนื้อทองเจ็บ นาย! เนื้อทองขอโทษ ฮือๆๆ" เสียงแหบปนร่ำสะอื้นนั้นทำให้ชายหนุ่มรู้สึกตัวว่าทำรุนแรงเกินวิสัยไปมากโข เขาหาใช่คนที่จะรังแกผู้หญิงตัวเล็กๆ เอาเปรียบผู้ที่อ่อนแอกว่า แต่กับเนื้อทองไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ถึงไม่เคยนึกเอ็นดูหล่อนอย่างที่รู้สึกกับลูกน้องคนงานอื่นๆ นับวัน เด็กสาวก็มีแต่จะสะสมตะกอนความชิงชังมากเข้าไปทุกที
ชายหนุ่มละมือจากการกระชากปอยผมยาวซึ่งมัดรวบเป็นหางม้าพอดีมือของเขา สำนึกฝ่ายดียังคงเหลือแม้เพียงน้อยนิดก็ตาม เขามองร่างเล็กที่นั่งก้มหน้าหันหลังให้นั่นอย่างนึกเวทนา หล่อนร้องแต่ไม่กล้าส่งเสียง แผ่นหลังเล็กแคบสะท้านไหวมือข้างหนึ่งของหล่อนปิดปากสะกดเสียงอื้นไม่ให้เล็ดรอด
"กลับไปอยู่ในกระท่อมของเธอซะ...ถ้าไม่อยากให้ฉันกระทืบตายซะก่อน!" ประกาศิตสั่งด้วยน้ำเสียงอันน่าเกรงขาม เนื้อทองกัดฟันข่มความเจ็บตรงข้อเท้าที่พลิกแล้วพลิกอีกยันตัวลุกยืนหวังเดินไปที่กระท่อมหลังเก่า ซึ่งบัดนี้ดูรกไปด้วยเขม่าไฟและเศษหญ้าเศษไม้ที่ปลิวไปเกาะ แม้มันจะไม่ถูกเผาด้วยอยู่ห่างจากพงหญ้าที่ถูกไฟลามพอสมควรแต่ก็ได้รับผลกระทบไม่น้อย จากที่เคยซอมซ่ออยู่แล้ว บัดนี้ก็ยิ่งอนาถไปอีกเท่าตัว
"ไป!!"
เด็กสาวยกมือขึ้นป้องสองข้างหูด้วยความตกใจโดยอัตโนมัติ ลากขาก้าวเดินทั้งน้ำตาหัวใจยามนี้มีบางอย่างก่อตัวแทนที่ความกลัว ความโกรธ ความหมดอาลัยตายอยากช้าๆ ดวงตาหวานเศร้าแข็งกร้าวขึ้นทันควัน ไรฟันขบเข้าหากันแน่นข่มความรู้สึกทั้งหลายแหล่ให้จมอยู่ภายใต้น้ำตาที่ไหลออกมาไม่ยอมหยุด
"..." แต่แล้วหล่อนก็นึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่เพิ่งเข้ามามีความสำคัญในชีวิตในช่วงเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้า 'หมูนิ่ม' หล่อนไม่ได้พามาด้วยเพราะมันกำลังหลับอยู่ สองขาหยุดชะงัก กลั้นใจรวบรวมความกล้าทั้งหมดเท่าที่ชีวิตเคยมีมา หันกลับไปสบตาชายหนุ่มร่างใหญ่ที่ยืนถมึงทึงจ้องหล่อนไม่กะพริบตา
"หมูนิ่มค่ะ...เนื้อทองลืมพาหมูนิ่มมาด้วย"
"เธอนี่มัน..." อัศเวทย์ถอนหายใจด้วยความหนักอกกับความไม่รู้จักคำว่าอันตรายของเนื้อทอง หล่อนจะรู้บ้างหรือไม่ว่าเขาแทบอยากหักคอให้ตายคามือจมกองขี้เถ้าที่หล่อนก่อขึ้นมานี้ ให้โอกาสเอาตัวรอดแล้วยังมีหน้ามาพร่ำหา 'ลูกแมว' ซึ่งมันไร้สาระเกินไปถ้าเทียบกับสิ่งที่หล่อนควรทำคือ การเอาชีวิตตัวเองให้รอดจากอุ้งมือของเขาเสียก่อน
"วอนดีนักถ้างั้นจะช่วยสงเคราะห์ให้...จะได้จำไว้ว่าฉันไม่ใช่คนที่เธอจะมาต่อรองอะไรได้ทั้งนั้น!" เขาก้าวย่างสามขุมเข้าหา ทีนี้เนื้อทองก็ประจักษ์แล้วว่าคิดผิดถนัดที่หันหน้ากลับมาหาเขาเพื่อถามหาเพื่อนรักของหล่อน หัวใจเต้นสั่นเมื่อร่างใหญ่เข้ามาใกล้และกระชากแขนให้หล่อนเดินตามเขาไปที่กระท่อม
"นาย!..." ด้วยอยากจะเอ่ยบอกถึงอาการบาดเจ็บที่ข้อเท้าซึ่งมันระบมจนยกย่างจะไม่ขึ้นอยู่แล้ว แต่ด้วยความผิดพลาดครั้งก่อนหน้ามันก็สอนให้เนื้อทองรู้ว่าหล่อนควรสงบปากสงบคำเอาไว้ แม้แต่หายใจก็ยังต้องระวังไม่ให้เขารู้สึกว่าหล่อนเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ขวางหูขวางตา...
"อวดดีนักลองดูสิว่าถ้าจับมัดล่ามโซ่ติดไว้กับกระท่อมเธอยังจะสร้างปัญหาให้ฉันได้อีกไหมเนื้อทอง!" อัศเวทย์เองก็จนมุมเช่นกัน เขาไม่รู้หาวิธีใดในการกำจัดเนื้อทองให้พ้นหูพ้นตาได้สักที ครั้นจะขับไล่ไม่เลี้ยงดูคำพูดของภรรยาก่อนตายก็ประท้วงถามหาอยู่ทุกลมหายใจ ครั้นจะดูแลปูเสื่อเอาขึ้นหิ้งอย่างที่กันหาคาดหวังเขาก็ไม่อาจฝืนใจทำได้ เด็กสาวเมื่อวานซืนที่เห็นกันมาแต่เล็กแต่น้อย ไม่นึกเลยว่าวันนี้จะสร้างความหนักใจให้กับเขายิ่งนัก
เนื้อทองฝืนความเจ็บกัดฟันเดินตามแรงลากจนกระทั่งเขาพาเธอขึ้นบันไดกระท่อมและถีบประตูที่มีรอยเขม่าดำปื้นจนเปิดอ้า เหวี่ยงหล่อนลงไปนอนกับพื้นไม้ไผ่สาน แล้วเดินดุ่มเข้าไปยังอีกห้องเล็กๆ ที่ถูกแบ่งไว้เก็บข้าวของส่วนตัว เขารื้อทุกอย่างพังพินาศก่อนจะดึงเอาเชือกในลอนม้วนนึงออกมา เนื้อทองกระเถิบหนีตามสัญชาตญาณ...
ในกระท่อมเต็มไปด้วยเศษใบไม้ใบหญ้าที่ถูกเผาและปลิวเข้ามา ทั้งเขม่าควันดำโขมง เหม็นกลิ่นไหม้คละคลุ้ง เนื้อทองน้ำตารื้นเมื่อเขาไม่สนใจเห็นความเป็นคนในตัวหล่อนแม้แต่น้อย
แค่เขาขังไว้ที่นี่หล่อนก็ไม่เคยดิ้นรนอยากจะหนีอยู่แล้ว อดคิดไม่ได้ว่าที่ต้องมาล่ามเชือกล่ามโซ่กันอย่างนี้เพราะหากเกิดอะไรขึ้นอีกหล่อนจะได้ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ และตาย...สมใจเขา โดยที่เขาไม่ต้องลงมือลงแรงให้บาปติดตัว และจะได้มีข้ออ้างกับวิญญาณของกันหาว่ามันไม่ใช่ความผิดของเขา นั่นคือสิ่งที่อัศเวทย์ต้องการใช่หรือไม่
"นาย...อย่ามัดเนื้อทองเลยนะ เนื้อทองไม่หนีไปไหนหรอก..." แม้รู้ว่าไร้ผลและยิ่งกระตุ้นให้อีกฝ่ายมีแต่จะโกรธเอาโกรธเอา แต่หญิงสาวก็ไม่มีทางเลือกอื่นให้ตัวเองรอดพ้นจากเหตุการณ์นี้ หล่อนยังคิดถึงหมูนิ่ม หากไม่มีหล่อนแล้วมันจะอยู่อย่างไร ใครจะดูแล อัศเวทย์คงให้คนเอามันไปทิ้งหรือไม่ก็ปล่อยให้ตายไปเองอย่างที่เขาทำกับหล่อนแน่ๆ หนึ่งชีวิตน้อยที่ช่างอาภัพเหมือนกับหล่อน หากยังมีลมหายใจอยู่ก็ไม่อาจทนใจดำไม่แยแสมันได้จริงๆ
อัศเวทย์ไม่ฟังความ...เขานั่งยองแล้วดึงขาข้างหนึ่งมาผูกปมเชือกแล้วคล้องไว้ทันที แอบสังเกตเห็นอีกข้างมีรอยช้ำบวมเบ่งตรงข้อเท้า แต่ไม่ได้ใส่ใจนัก เนื้อทองหดขาทันทีตามสัญชาตญาณ หล่อนใช้มือปัดป้องพร้อมออกปากอ้อนวอนไม่ให้จองจำกันไปมากกว่านี้
"นาย...อย่ามัดเนื้อทองเลยนะ"
"อยู่นิ่งๆ ไม่งั้นเชือกที่ผูกเท้าฉันจะเอาผูกคอเธอ" ชายหนุ่มรู้สึกตัวเองกำลังต่อสู้อยู่กับเด็กดื้อที่เขาจะต้องไม่ยอมอ่อนข้อให้ มือใหญ่จับข้อเท้าแต่หล่อถึงกลับเขาก็จับมากดไว้อีก คราวนี้เนื้อทองก้มลงมาปัดมือที่กำลังจับเชือกของเขา ด้วยแรงที่เหนือกว่าหล่อนไม่มีทางชนะเขาได้เลย แต่ก็ยังดิ้นเพื่อเอาชนะ แข็งขืนไม่ยอมศิโรราบเสียที
ยิ่งต้องออกแรงมากโมหะก็ยิ่งเดือดดาล...
เขาวางเชือกลงแล้วรวบมือเล็กดันตัวหล่อนจนล้มหงายหลังไปนอนกับพื้น พาลดึงเขาเป็นที่ยึดเหนี่ยวตามสัญชาตญาณจนโน้มทับลงบนร่างแบบบางไปด้วย สายตาดุคมจ้องดวงหน้าแดงก่ำเพราะผ่านการร้องไห้อย่างหนักราวกับเข็มนาฬิกาได้หยุดเวลาช่วงวินาทีนั้นเอาไว้
เนื้อทองกลั้นหายใจ แต่ยังได้กลิ่นอ่อนๆ ของบุรุษเพศที่หล่อนไม่คุ้นเคย รู้สึกอึดอัดเหมือนถูกแย่งอากาศจนไม่หลงเหลือไว้ให้กับหล่อน ดวงตาสีโศกสบเนตรแข็งกระด้างนั้นเพียงเสี้ยววิ ก่อนจะหันหลบไปทางอื่น ทำอะไรไม่ถูก กลัว ขลาด หวาดหวั่น และมันโหวงเหวงแปลกๆ
"..." โดยไม่ทันคาดคิด...โหนกแก้มของหล่อนก็สัมผัสกับริมฝีปากหนาหยักได้รูปอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวใดๆ เด็กสาวหันหน้าตรงมาเผชิญกับเจ้าของริมฝีปากอุ่นนั้นก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่เขาประกบจูบจุมพิตเข้าหากลีบบางสีฉ่ำของหล่อนพอดิบพอดี...
บังเอิญหรือจงใจ วูบไหวหรือต้องมนต์เจ้าป่าเจ้าเขาไม่มีใครตอบได้แม้แต่อัศเวทย์เอง ความคิดอยากสั่งสอนเด็กเมื่อวานซืนที่คอยสร้างแต่ปัญหาให้ดับวูบจมหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ มันเร็วมากเพียงได้เห็นดวงตาบอบช้ำกับหยาดน้ำที่ชื้นแก้มขาวแบบชิดเชื้อเท่านั้น เสี้ยวใจฝ่ายดีก็นึกเวทนาอยากปลอบโยนเสียดื้อๆ หรืออาจเพราะกลิ่นสาบสาวที่อยู่ในลมหายใจเข้าออกกระมัง ที่เสกเสน่หาทำให้เขามัวเมาเปลี่ยนจากความต้องการจะสั่งสอน มาเป็นอยากจะดื่มด่ำความหอมหวานให้มากขึ้นกว่าการได้ชิมเพียงจูบพวงแก้มเปื้อนน้ำตา...
อัศเวทย์รับรู้ถึงความร้อนผ่าวที่สูบฉีดอยู่ภายในตัว เขาจ้องมองใบหน้าเล็กที่บัดนี้อยู่ในอาณัติฝ่ามือที่จับประคองเอาไว้ ดวงตาคมดุมองพินิจเผลอไผล เนื้อทองไม่ใช่คนสวยฉูดฉาดสะดุดตา หล่อนมีใบหน้าหวานปากนิดจมูกหน่อย ชอบก้มงุดเหล่หลบแทบทุกครั้งที่เจอกัน ดวงตาตื่นตระหนกลนลานอยู่ตลอดเวลายามถูกเขามอง ใสซื่อ และดื้อเงียบ เหมือนเป็นคนขี้กลัวแต่จริงๆ เขาอ่านออกว่าหล่อนแต่ยอมเพื่อตัดปัญหายามอยู่ต่อหน้าเท่านั้น แต่ลับหลังหล่อนจะเดินตามแนวทางที่หล่อนคิดอ่านไม่ได้เกรงต่อบัญชาใดๆ ของเขาเลยแม้แต่น้อย
คิ้วโก่งเข้มได้รูปมักย่นเข้าหากันยามถูกปริภาษ กลีบปากอวบอิ่มสีชมพูสดที่เขาเคยลิ้มลองอย่างถึงใจในคืนที่ถูกความเมาครอบงำ บัดนี้ยังกรุ่นกริ่นรำลึกถึงได้อยู่ลางๆ มักจะเม้มเข้าหากันฉุนจมูกหน่อยๆ เป็นกิริยาที่เขาคุ้นเคย...และจำได้ทุกอิริยาบถจนนึกแปลกใจตัวเอง..