"นั่นอะไร..." เสียงทุ้มเอ่ยถามตัวเองเพราะยืนอยู่ท่ามกลางไร่องุ่นเพียงลำพัง คนงานพากันกลับบ้านพักไปหมดแล้วเหลือเพียงเขาที่ยังตรวจตราความเรียบร้อยไปเรื่อยเปื่อยเหมือนเช่นทุกวัน
"นาย! นาย! แย่แล้ว!" ร่างใหญ่ที่กำลังจ้ำอ้าวไปยังแสงสว่างวาบเบื้องหน้าด้วยความสงสัยต้องหยุดชะงัก นายเพิกมายืนหอบอยู่ตรงหน้าท่าทีตกใจลนลานวิ่งมาจนเหงื่อท่วม
"เกิดอะไรขึ้น นั่นใครจุดไฟ" เขาถามเพราะยังไม่ทราบถึงสาเหตุที่แน่ชัด
"ไฟไหม้ครับนาย...ไฟไหม้ป่าท้ายไร่ที่เนื้อทองมันอยู่" เพิกรายงานไปพลางหอบพลาง หนุ่มร่างใหญ่ผิวสีแทนตามประสาคนงานทำไร่ทำสวนสั่นเทิ้มอาบเหงื่อ เขาเห็นเปลวไฟนั้นก็คาดคะเนพื้นที่ได้ทันทีเพราะมีหน้าที่เอาข้าวเอาน้ำไปให้เนื้อทองบ่อยๆ จึงรีบวิ่งจากห้องพักมาตามหาผู้เป็นนาย
"ชิบหายแล้ว...นังเด็กเวร!" อัศเวทย์สบถเสียงกรอดรอดไรฟัน แล้วมุ่งหน้าไปยังเส้นทางท้ายไร่ทันที แม้จะเป็นฤดูร้อนที่ไฟป่าอาจเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่ชายหนุ่มกลับตัดสินปัดความผิดให้กับเนื้อทองตามอคติของตัวเอง เพราะหากมองย้อนไปในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเหตุการณ์แบบนี้ก็ไม่เคยเกิดขึ้นเลย
"ไปตามคนมาช่วย! ปล่อยม้าในคอกให้ฉันด้วย!!"
"ครับนาย!" เพิกรับคำแล้วก็รีบแยกตัวไปอีกทางหนึ่งเพื่อจะไปปล่อยม้าในคอกให้กับอัศเวทย์ ก่อนจะขึ้นควบม้าอีกตัวให้วิ่งไปยังบ้านพักคนงาน ตะโกนป่าวร้องให้ทุกคนรับทราบถึงเหตุร้าย
อัศเวทย์เป่าปากเรียกม้าคู่ใจ เจ้ามาแสนรู้ที่ถูกฝึกให้คุ้นเคยกับคนเลี้ยงเป็นอย่างดีจึงควบวิ่งไปตามเสียงอย่างไม่รีรอ ชายหนุ่มจับเชือกจูงม้าไว้มันก่อนจะดีดตัวกระโดดขึ้นไปนั่งบนหลังมันอย่างชำนิชำนาญ เตะสีข้างเบาๆ กระตุ้นม้าวิ่งควบไปยังเบื้องหน้าที่เปลวเพลิงกำลังลุกโหมกระพือจนเห็นยอดไฟขึ้นสูงกว่าต้นไม้ใหญ่ในแถบนั้นเสียอีก
"คิดจะเผาไร่เลยรึ...มันน่าปล่อยให้ถูกย่างสดตายไปซะจริงๆ" ชายหนุ่มเพ่งตาดุดันด้วยความโกรธ เพราะรู้ว่ายามหน้าแล้งเช่นนี้หากปล่อยให้ไฟลุกลามไปเรื่อยๆ รับรองมันจะเผาอาณาเขตของเขาเป็นจุลในไม่ช้า เฉพาะพื้นที่ซึ่งยังไม่ได้บุกถางนั้นก็หลายสิบไร่ ล้วนแล้วแต่ปกคลุมด้วยต้นไม้เล็กใหญ่และต้นหญ้าซึ่งง่ายต่อการเผาไหม้ทั้งนั้น ในไร่ก็เต็มไปด้วยองุ่นที่ปลูกเป็นแนวยกสูงใช้ไม้คำเป็นแถบแถว เพียงไฟกระพือมาตามแรงลมเท่านั้น ทุกอย่าง...ก็จะวอดวายไม่เหลือซาก
ร่างใหญ่ขับควบม้าทรงพลังไปหยุดยังประตูที่ปิดล่ามโซ่ล็อกกุญแจเอาไว้ เขามองเห็นด้านในที่ล้อมด้วยกำแพงลวดหนามเพียงรำไรผ่านม่านหมอกควันโขมงนั่น กับเปลวไฟที่กำลังลามไหม้ผืนป่าหย่อมๆ เสียงปะทุของไม้ที่กำลังถูกเพลิงเผาทำลาย ประกายไฟที่ลอยขึ้นฟ้าตามแรงลม ป่านนี้คนที่อยู่ด้านในไม่สำลักควันตายไปแล้วรึ...
"หาเรื่องไม่หยุดไม่หย่อน..." ปากก็บ่นด้วยความโมโหมือก็รีบคว้าพวงกุญแจอันใหญ่ที่แขวนอยู่ตรงสะเอวก่อนจะกระโดดลงจากหลังม้า รีบตรงไปไขแม่กุญแจและเปิดประตูออก
เพราะคำสั่งเสียของเมียรักเท่านั้นแหละที่ขับเคลื่อนให้เขาจำยอมต้องหาทางรอดให้กับเนื้อทอง ไม่เช่นนั้นแล้วอย่าได้หวังเลยว่าจะไยดี แม้หล่อนจะแดดิ้นสิ้นใจอยู่ตรงหน้า...
ท่ามกลางควันไฟที่ฟุ้งคุกรุ่นทั่วบริเวณ ชายหนุ่มดีดตัวขึ้นหลังม้าอีกครั้งและเตะสีข้างบังคับให้มันฝ่าหมอกควันนั้นตรงไปยังกระท่อมที่แลเห็นเพียงลางๆ
"เนื้อทอง!! เนื้อทอง!! ตายหรือยัง!" อดไม่ได้ที่จะค่อนแคะด้วยเห็นความวอดวายของอาณาจักรตัวเองตรงหน้า เขาถอดเสื้อเชิ้ตลายสก๊อตมาพันรอบใบหน้าเหลือไว้เพียงดวงตาที่กะพริบไล่กลุ่มควันจนแสบไปหมด ปากร้องเรียกหาตัวการตนเองได้ตัดสินไปแล้วว่าหล่อนคือต้นเหตุ พร้อมควบม้าไปรอบๆ บริเวณ ขึ้นไปหาบนกระท่อมก็ไม่มี
"ลงนรกไปแล้วรึไงถึงเรียกไม่ตอบ!!" ควันไฟยิ่งหนาทึบมากเข้าไปทุกที ความยากลำบากจึงตกอยู่ที่ทั้งคนทั้งม้าในการฝ่าทั้งความร้อนและหมอกหนาทึบนั้นเพื่อควานหาหนึ่งชีวิตที่ยังไม่มีวี่แววว่าจะเจอ
"ถ้าไม่ใช่เพราะหม่อน...ฉันไม่ลงทุนทำอะไรแบบนี้เพื่อคนอย่างเธอหรอก...แม่ตัวดี!" ชายหนุ่มบังคับม้าให้ไปหยุดอยู่หน้าห้องน้ำซึ่งก่ออิฐหยาบๆ ลงจากหลังม้าและเตะประตูไม้เต็มแรงจนมันเปิดอ้ากว้าง
แล้วก็เป็นอย่างที่คิด...
"มานอนรอความตายอยู่ที่นี่เอง..."
"นะ...นาย...แค่กๆๆ" หญิงสาวกลืนน้ำลายแห้งๆ ลงคอ หันมองเจ้าของเสียงเรียกที่หล่อนได้ยินตั้งแต่แรกแต่ไม่อาจขานรับด้วยเรี่ยวแรงหดหายใกล้สิ้นลมเต็มประดา หล่อนสำลักควันเข้าไปมาก หลังจากซมซานพาตัวเองและหมูนิ่มน้อยมาหลบอยู่ในห้องน้ำ ใช้ผ้าขนหนูและผ้าถุงชุบน้ำจนเปียกเอามาห่มตัวและใบหน้าเพื่อช่วยทุเลาความร้อนและควันไฟที่สูดเข้าปอด หล่อนนอนคุดคู้อยู่ตรงมุมห้องน้ำในสภาพของคนหมดอาลัยตายอยาก
อัศเวทย์เข้าไปดึงแขนเล็ก ร่างของเนื้อทองกระตุกขึ้นตามแรงกระชากแต่อ่อนแรงประหนึ่งขี้ผึ้งหลอม ทั้งชายผ้าถุงกับผ้าขนหนูที่คลุมกายก็ร่นลงตามแรงโน้มถ่วง เผยผิวเปลือยที่อกอวบชูช่อสะพรั่งให้เห็นคาตา
"นี่เธอ!" ชายหนุ่มยิ่งนึกโมโหกับสภาพเนื้อตัวของหล่อน ขนาดจะเอาชีวิตไม่รอดยังจะแก้ผ้าได้อีก ร่างใหญ่ผลุนผลันโน้มไปอุ้มหล่อนขึ้นมาอุ้มด้วยไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้ ขืนยังพิรี้พิไรมีหวังคงได้สำลักควันแล้วถูกไฟคลอกตายกันหมด
"หมู...หมูนิ่ม...แค่กๆ" คนตัวเล็กที่อ่อนระทวยอยู่ในอ้อมแขนพยายามเปล่งเสียงบอกบางอย่างกับเขา ซึ่งเขาก็เห็นตั้งแต่แรกมาถึงตัวหล่อนแล้ว ลูกแมวน้อยที่กำลังส่งเสียงแหบๆ ไร้เดียงสาเรียกหา
"ปล่อยให้มันกลายเป็นหมูปิ้งอยู่นี่แหละ เอาตัวเองยังไม่รอด หึ..." เขาทำท่าหันหลังกลับทันทีในขณะที่เนื้อทองขืนตัวจะลงจากอ้อมอก ใจหวั่นสั่นสะพรึงกลัวเพื่อนหนึ่งเดียวของหล่อนจะถูกทิ้งเสียจริงๆ
"โธ่เอ๊ย! น่ารำคาญจริงๆ!" เห็นอาการดังนั้นอัศเวทย์ก็จำใจ กลับไปใช้มือคว้าลูกแมวผอมกะร่องมาวางไว้บนตัวของหล่อนแล้วพาเดินดุ่มออกไปขึ้นหลังม้าอย่างรวดเร็ว
เนื้อทองพยายามดึงชายผ้าปิดปทุมถันที่เปลือยหมดจดพร้อมๆ กับกอดหมูนิ่มของหล่อนเอาไว้แน่น ในขณะอัศเวทย์ขับเคลื่อนอาชาออกจากบริเวณหายนะนั้น มือนึงบังคับม้า อีกมือก็ประคองกอดหล่อนซึ่งอุ้มพาดเอาไว้ด้านหน้า...
"นาย! เป็นยังไงบ้างครับปลอดภัยดีไหม" นายเพิกพร้อมคนงานกว่าครึ่งร้อยและรถบรรทุกน้ำสำหรับดับเพลิงยืนออกันอยู่หน้าประตูที่ควันไฟยังแผ่กระจายฟุ้งโขมงมาถึง พวกเขาไม่กล้าตัดสินใจเข้าไปยังจุดเกิดเหตุเพราะไม่รู้ว่าในตอนนี้อัศเวทย์นั้นอยู่ ณ บริเวณไหน หากบุ่มบ่ามอาจเกิดเหตุร้ายซ้ำซ้อนก็เป็นได้
"ปลอดภัยแล้ว...รีบไปช่วยกันดับไฟเถอะมีใครแจ้งกู้ภัยกันบ้างหรือยัง..." ชายหนุ่มถึงเสื้อที่พันครึ่งใบหน้าออก ดึงเชือกให้ม้าชะลอในขณะที่อีกมือยังกอดเนื้อทองเอาไว้ในอ้อมแขน เด็กสาวยังมีสติแต่อาการสะลึมสะลือ น้ำตาไหลพรากแสบจนลืมตามไม่ขึ้น
"แจ้งดับเพลิงไปแล้วครับกำลังมา...แล้วเนื้อทองเป็นยังไงบ้าง มาครับ...ผมจะพามันไปส่งให้พ่อมันเอง..." นายเพิกหัวหน้าคนงานรายงานและขันอาสาในขณะที่โบกมือให้ลูกน้องที่เหลือบุกฝ่าไปควบคุมเพลิงเบื้องต้น และทำท่าจะตรงเข้าไปดึงตัวเนื้อทองที่อยู่ในอ้อมแขนนายลงจากหลังม้า
"ไม่ต้อง!!" คนงานหนุ่มสะดุ้งเมื่อได้ยินบัญชาทุ้มเข้ม ลอบกลืนน้ำลายเมื่อสังเกตเห็นหญิงสาวไม่ได้อยู่ในสภาพเรียบร้อยดีนัก เมื่อเขาเงยหน้ามองอีกทีก็พบว่าอัศเวทย์ควบม้าจากไปแล้ว
"เนื้อทองเอ๊ย! ไปทำอีท่าไหนไฟถึงไหม้ซะเกือบค่อนไร่ คราวนี้นายคงไม่กักบริเวณเอ็งอย่างเดียวแน่ เวรแท้ๆ" เพิกส่ายศีรษะอย่างนึกสังเวชในชะตากรรมของเด็กสาว เพราะใครๆ ต่างก็รู้กิตติศัพท์เจ้าของไร่ทับตะวันเป็นอย่างดี ว่าทั้งดุทั้งเหี้ยมขนาดไหน อีกทั้งเด็กสาวยังเป็นจำเลยในคดีเก่าที่ยังคาราคาซัง ยังมาซ้ำกับเหตุร้ายแบบนี้อีก ไม่อาจคิดเลยว่าเนื้อทองจะต้องพบเจอกับบทลงโทษอย่างไรบ้าง
นึกแปลกใจยามที่เขาเสนอตัวเข้าไปช่วยหวังจะแยกเนื้อทองออกจากนายเผื่อจะได้บรรเทาความโมโหโกรธาลงได้บ้างหากไม่เห็นหน้า อัศเวทย์กลับไม่ยินยอมและเอียงตัวบังร่างที่สวมเพียงผ้าถุงเอาไว้เหมือนไม่ต้องการให้สายตาของผู้ใดได้แลเห็นอย่างไรอย่างนั้น...
ตุบ! "เมี้ยว!!/โอ๊ย!" ทั้งคนทั้งแมวประสานเสียงครางพร้อมเพรียง เมื่อถูกโยนลงไปกองบนที่นอนอย่างไม่ทันตั้งตัว เนื้อทองขยับตัวเล็กน้อย หล่อนยังรู้สึกอ่อนเพลียและแสบตาจากการถูกสุมด้วยควันไฟ หมูนิ่มดึงตัวเองออกจากการถูกทับแล้วส่งเสียงร้องตามประสาแมวเล็ก
"ไหนเล่ามาสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น! ทำไมไฟถึงไหม้ลามขนาดนั้น!!" ร่างใหญ่ยืนถมึงทึงเท้าสะเอวจ้องเนื้อทองที่เพิ่งจะฟื้นจากการเมาควันนิดหน่อยปรือตามองกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดๆ หล่อนขยับให้หมูนิ่มที่ถูกทับได้ดึงตัวเองออก มันส่งเสียงแหบๆ ไม่หยุดปากจนต้องคว้าเอามากอดปลอบประโลมด้วยกลัวผู้เป็นนายนั้นรำคาญ
"คือ...เนื้อทองเจองูก็เลยจุดไฟไล่..." หล่อนบอกความจริง แต่ไม่ทั้งหมด สายตามไม่กล้าสบมองร่างสูงใหญ่ที่ยืนตระหง่านราวพญายักษาด้วยกลัวเขาจะจับผิดพาลไปถึงหมูนิ่มตัวน้อย
"จุดไฟไล่งูตอนหน้าแล้งในป่าแถมยังเป็นกลางคืนเนี่ยนะ!! โง่หรือไม่มีสมอง!!" มันก็ความหมายเดียวกันนั่นแหละ
"ก็...เนื้อทองกลัว..."
"ออ...แต่ไม่กลัวถูกไฟคลอกตาย!! เดือดร้อนกันทั้งไร่ทีนี้จะรับผิดชอบยังไง!" อัศเวทย์ถอนหายใจอย่างระอา นึกรำคาญท่าทีไสซื่อลนลานนั้นเหลือประมาณ อยากจะเข้าไปหักคอให้สมความแค้นใจที่หล่อนสร้างแต่ปัญหาให้ไม่หยุดไม่หย่อน
"เนื้อทองขอโทษค่ะนาย เนื้อทองขอโทษจริงๆ ที่กระท่อมไม่มีไฟฟ้า มันมืดมากเนื้อทองก็ไม่ทันระวังด้วยไม่นึกว่ามันจะ..."
"ฉิบหายไปทั้งแถบ..." เขาต่อให้ด้วยวาจาหยาบโลน
น้ำตาแห่งความหวาดกลัวร่วงเผาะ...หวนนึกถึงกันหาเหลือเกิน หากยังมีชีวิตอยู่กันหาจะต้องเข้ามาช่วยปกป้องหล่อนเหมือนอย่างที่เคยทำทุกครั้ง แต่ตอนนี้หล่อนก็เปรียบได้เหมือนหัวเดียวกระเทียมลีบ หันไปทางไหนก็มีแต่คนชังน้ำหน้า อึดอัดอดสูขุ่นข้องหมองใจไปเสียทุกอย่าง
"รอจัดการเรื่องไฟไหม้ก่อนเถอะ คราวนี้ฉันไม่เอาเธอไว้แน่ เตรียมตัวอุ้มไอ้แมวบ้านั่นไปขอทานได้เลย!!" ปัง! ร่างเล็กหมาดน้ำและเหม็นกลิ่นควันสะดุ้งเฮือกเมื่อเจ้าของไร่หนุ่มหันหลังจากห้องไปทันทีที่กล่าวเอาฆาตจบพร้อมทั้งปิดกระแทกประตูเสียจนมันแทบพังยับคาอุ้งมือล่ำสันนั่น
"พี่หม่อน...เนื้อทองจะทำยังไงดี ถ้าพี่หม่อนอยากให้เนื้อทองอยู่คอยดูแลนายจริงๆ ก็ช่วยดลจิตดลใจให้นายเลิกเข้าใจผิดเนื้อทองเสียทีเถอะค่ะ เนื้อทองเองก็อยากรู้...ว่าคืนนั้นมันเกิดอะไรขึ้น..." หล่อนหยุดความคิดและคำพูดอันอดสูไว้เพียงเท่านั้น คร่ำเคร่งไปก็พานจะบั่นทอนกำลังจิตของตัวเองให้ยิ่งตกต่ำ
หล่อนมองรอบๆ ห้องผ่านม่านน้ำตาที่ปรือปริ่ม นี่คือห้องพักของหล่อน...ที่อยู่บนเรือนใหญ่ ซึ่งกันหาได้จัดไว้ให้จะได้สะดวกในการช่วยดูแลอย่างใกล้ชิดยามอาการป่วยทรุด หรือมีเหตุจำเป็นอื่นๆ หล่อนจะได้ไม่ต้องเทียวไปเทียวมาระหว่างบ้านพักกับที่นี่ให้เสียเวลา
ทุกอย่างในห้องยังคงสภาพเดิม...แต่ค่อนข้างมีฝุ่นเกาะตามข้าวของเครื่องใช้เนื่องจากขาดการทำความสะอาด อัศเวทย์คงไม่อาจข้องแวะในห้องนี้สินะ แต่อย่างน้อยก็ยังดีที่เขาไม่รื้อทุกอย่างทิ้ง ความทรงจำดีๆ ระหว่างหล่อนกับพี่สาวต่างสายเลือดจึงยังคงมีกลิ่นอายโอบล้อมอยู่รอบตัว
สภาพร่างกายที่มอมแมมชื้นไปด้วยน้ำและคราบเขม่าควันทำให้หญิงสาวรู้สึกระคายเคืองอย่างยิ่ง และสำนึกตัวได้ว่าควรชำระร่างกายเสียที พื้นที่นอนนุ่มก็พลอยเปรอะเปื้อนไปเสียด้วยเพราะหล่อนถูกโยนลงมาอย่างไม่แยแสจากแรงคนตัวใหญ่ ก็ได้แต่ถอนหายใจและปลอบตัวเองว่าบุญเท่าไหร่แล้วที่เขาอุ้ม ไม่ลากถูมากับพื้นอย่างตอนที่เอาหล่อนไปทิ้งไว้ในท้ายไร่รกร้างนั่นเมื่อเดือนก่อน...
ความเจ็บและความกลัวทำให้หล่อนเผลอลูบไปตามรอยแผลที่ยังไม่หายดีเนื่องจากถูกกิ่งไม้ใบหญ้าขูดและบาดจนยับเยินไปทั้งขา อีกทั้งยังป่วยหนักอยู่หลายวันเนื่องจากร่างกายบอบช้ำอักเสบจากการสูญเสียความสาว หากไม่ได้นายเพิกคอยแอบซื้อยามาให้ ป่านนี้...หล่อนคงกลายเป็นผีเฝ้ากระท่อมไปแล้ว จนถึงวันนี้ก็คงยังไม่มีใครรับรู้...