“ขอตัวก่อนนะคะ”
“ครับ” เขารับคำ เธออมยิ้มเดินตัวปลิวออกมาอย่างเขินๆ
“อาจารย์เรียกแกไปทำอะไรยายไหม” เพื่อนๆ ต่างเอ่ยถามกันอย่างสนใจ
“อ้อ... อาเดช เอ๊ย! อาจารย์เดชเรียกให้ไปเอาข้าวกล่องน่ะ”
“หือ... ไปเอาข้าวกล่อง” ทุกคนมองหน้ากัน ใยไหมลืมตัวไปจึงรีบอธิบายเสียงระรัว
“หมายถึงบ้านของอาจารย์เดชอยู่ใกล้ไหมน่ะ เมื่อเช้ามาด้วยกันเพราะรถยางรั่วเลยลืมข้าวกล่องเอาไว้ในรถ” เธอโกหกคำโต แก้ตัวเป็นพัลวัน
“อ้อ... แบบนี้นี่เอง งั้นไปกินข้าวเที่ยงกันดีกว่า ฉันหิวแล้ว” เพื่อนๆ เอ่ยชวน
“ฉันก็หิวแล้วเหมือนกัน” อรสาเองก็หิวเลยเอ่ยชวนด้วยเหมือนกัน ใยไหมแอบผ่อนลมหายใจ เดินตามเพื่อนไปรับประทานอาหารที่ศูนย์อาหาร
“โหย... นี่ข้าวกล่องเธอทำมากินเองเหรอยายไหม ทำไมน่ารักมุ้งมิ้งแบบนี้ล่ะ นี่ถ้าไม่บอกว่าเธอทำเองนึกว่าอาจารย์เดชทำให้เพื่อจะจีบเธอเสียอีก”
“แค่กๆๆๆ” ใยไหมสำลักน้ำหวานที่กำลังดูด มองข้าวกล่องหน้าตาน่ารักแล้วตาโต ด้านในมีข้าวปั้น ผัก ผลไม้ กับข้าว ไข่ดาว
โหย... อาเดชคิดว่าเธอเป็นเด็กอนุบาลหรือไงถึงได้ทำข้าวกล่องน่ารักแบบนี้มาให้
ไข่ดาวรูปหัวใจ เกลียดนักมาทำตัวน่ารักแบบนี้
แถม... ปิ่นโตก็สีชมพูหวานแหววเสียอีก
คนบ้าทำอะไรแบบนี้กัน!!!
“อาเดชคะ ทำไมอาเดชต้องนำอาหารกล่องมาให้ไหมด้วยคะ” รถของเธอยังซ่อมไม่เสร็จ จากที่ยางแบนเฉยๆ ก็ต้องเช็กอย่างอื่นไปด้วย ดนุเดชให้ความเห็นว่าเธอควรจะเช็กสภาพเครื่องยนต์เพื่อประสิทธิภาพและความปลอดภัย ซึ่งเธอก็ปฏิเสธเพราะว่ารถยังดีอยู่แต่เขาให้เหตุผลว่าไม่ควรประมาท เธอขี้เกียจเถียงกับคนทฤษฎีเยอะแบบเขาก็เลยต้องเออออห่อหมก
“อาอยากทำข้าวกล่องให้แฟนกิน เราเป็นแฟนกันแล้วนี่นา” คนหน้ามึนหันมาตอบเธอเล็กน้อยก่อนหันไปสนใจกับการขับรถต่อ
“แล้วทำไมข้าวกล่องของอาเดชถึงได้มุ้งมิ้งนักล่ะคะ” คำถามนี้มาพร้อมกับใบหน้าขัดเขินอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“แล้วอร่อยไหมล่ะ” คนหน้าขรึมเอ่ยถาม ลอบยิ้มในหน้า
“ก็อร่อยดีหรอกค่ะ” ใครบอกกันล่ะ อร่อยจะตายไป แต่เธอเหรอจะพูดให้เขาดีใจ เชอะ!
“ดีแล้ว พรุ่งนี้จะทำให้กินอีก”
“เดี๋ยวคนอื่นก็เข้าใจผิดหรอกค่ะ”
“ช่างเขาสิครับ เราจะสนใจคนอื่นทำไม เราทำแล้วมีความสุข ไม่ทำให้ใครเดือดร้อนก็ทำไปเถอะครับ” คนมาดขรึมแบบเขาดูผ่อนคลายมากกว่าเธอเสียอีก
นักศึกษาหลายคนบอกว่าดนุเดชสอนหนังสือสนุก ทุกครั้งจะสอดแทรกแง่คิดและปรัชญาชีวิตเข้าไปด้วย นักศึกษาจึงมีความสุขที่เรียนกับเขา แม้แต่ตัวเธอเอง คิดว่าต้องเรียนเครียดๆ กับคนหน้าดุเสียอีก ที่ไหนได้เขาสอนหนังสือสนุกมาก ฟังเพลินจดเพลิน แถมยังอธิบายเก่งเข้าใจเนื้อหาได้เห็นภาพ ดนุเดชไม่รำคาญหากนักศึกษาจะซักถาม เขาตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มๆ ใส่ใจทุกคำถาม เขาถือว่าเป็นอาจารย์ที่สอนหนังสือได้ดีเยี่ยมคนหนึ่งในความคิดของเธอ ดนุเดชส่งลูกศิษย์สาวหน้าบ้านของเธอเช่นเดิม
“เดี๋ยวไปหาอาที่บ้านด้วยนะ”
“ไปทำไมคะ”
“ไปช่วยจัดเอกสารหน่อย”
“อ้อ... ได้ค่ะ” เธอรับคำก่อนจะยกมือไหว้เดินเข้าบ้าน ดนุเดชรับไหว้ก่อนจะยิ้มเล็กน้อย คนหน้าขรึมเวลายิ้มน่ามองเหลือเกิน แต่เด็กสาวเดินเข้าบ้านไปแล้วเลยไม่มีโอกาสได้เห็น
“สวัสดีค่ะคุณพ่อคุณแม่” ใยไหมไหว้บิดามารดา พวกท่านกำลังเตรียมตัวจะออกไปข้างนอกพอดิบพอดี
“สวัสดีจ้ะคนสวย วันนี้แม่กับพ่อจะออกไปธุระข้างนอกนะจ๊ะ”
“กลับดึกไหมคะ” บางทีบิดามารดาของเธอก็มีนัดคุยกับลูกค้า หรือไม่ก็ไปงานเลี้ยง เธอเลยต้องอยู่บ้านคนเดียวเพราะไม่ค่อยชอบงานอะไรแบบนั้น
“อาจจะดึกจ้ะ แม่สั่งให้ป้าน้อยทำของโปรดของหนูเอาไว้แล้วนะจ๊ะ”
“ขอบคุณค่ะ” เธอกล่าวขอบคุณเดินมาส่งบุพการีทั้งสองขึ้นรถก่อนจะรีบวิ่งขึ้นชั้นบนอาบน้ำอาบท่าเพราะนัดกับดนุเดชเอาไว้
“คุณหนูจะไปไหนคะ ให้ป้าตั้งโต๊ะก่อนไหม กลับมาคงจะหิว” น้อยเอ่ยถามเจ้านายสาวเมื่อเห็นอีกฝ่ายวิ่งลงมาจากบันไดทำท่าจะออกจากบ้าน
“ไปบ้านอาเดชค่ะ ไปช่วยจัดเอกสาร ยังไม่ต้องตั้งโต๊ะนะคะ” เธอตอบแม่บ้านด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเดินไปกดกริ่งบ้านข้างๆ ดนุเดชเดินมาเปิดประตูให้เด็กสาว
“เข้ามาก่อนสิ” เขากล่าวเชิญอย่างสุภาพก่อนจะปิดประตูหน้าบ้านเดินนำเด็กสาวเข้าไปในบ้าน
“อาทำขนมเอาไว้ ลองชิมดูสิ” เขาผายมือไปยังขนมหลายชนิดที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ
“โหย... น่ากินจังเลย อาเดชนี่ทำกับข้าวทำขนมเก่งจังเลยนะคะ ใครได้เป็นแฟนโชคดีตายเลย” พูดออกไปแล้วรีบปิดปากตัวเอง เพราะเพิ่งสำนึกว่าเธอกำลังเป็นแฟนกับเขาอยู่นี่นา
“อิจฉาตัวเองทำไม” เขาเอ่ยถามก่อนจะหอมแก้มเธอฟอดใหญ่ ใยไหมตาโตลูบแก้มไปมาหน้าแดงก่ำ
“อาเดชทำอะไรคะ”
“หอมแก้ม”
“รู้แล้วว่าหอมแก้ม แต่หอมแก้มไหมทำไม” เธอเดินไปถามเขา ขณะที่เขากำลังเดินไปหยิบน้ำสมุนไพรให้เธอ
“เป็นแฟนกันหอมแก้มกันไม่ได้เหรอ น่าน้อยใจจัง”
“แน้...” เขายื่นน้ำดื่มสมุนไพรให้เธอ คนร้องอุทานว่า แน้ ตาโตรับมาดื่มแล้วอมยิ้ม
“อร่อยจังค่ะ”
“อะไรที่เราใส่ใจมันก็จะออกมาดี อาใส่ใจอยากทำให้แฟนก็เลยออกมากดี”
“เบื่อคนปากหวาน”
“หอมแก้มแล้วจับมือพร้อมกอดด้วยได้ไหม” เขาเอ่ยถาม เธอหันไปมองเขาก็มายืนอยู่ใกล้ๆ เสียแล้ว
“ไม่ได้ค่ะ”
“ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เด็กแถวนี้คงรังเกียจคนแก่”
“ไม่ใช่แบบนั้นนะคะ” เธอเหลือบมองเขาก่อนจะดึงมือเขามากุมเอาไว้เบาๆ เธอสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นของอุ้งมือใหญ่ เหมือนต้องมนตร์สะกดเมื่อได้สบตากับเขา ดนุเดชขยับเข้าใกล้เขาดึงเธอมากอดแนบอกก่อนจะจุมพิตกลุ่มผมนุ่มสลวย
“ไหมให้อาได้แค่ไหน อาก็เอาแค่นั้น จะไม่รังแกให้เสียหายถ้าไหมไม่ยินยอมพร้อมใจ” เขาลูบแขนเล็กๆ ของเธอเบาๆ อย่างอ่อนโยน สัมผัสทะนุถนอมนั้นทำให้เธออบอุ่นหัวใจไม่น้อย
ใยไหมค่อยๆ โอบกอดเอวหนาของเขา หัวใจของเธอเต้นแรงไม่เป็นส่ำ มันไม่เคยเกิดขึ้นกับผู้ชายคนไหนมาก่อน แม้แต่กับวิษณุก็ไม่เคย
“อาเดชเคยจูบผู้หญิงไหมคะ” เธอผละออกห่างก่อนจะเอ่ยถาม เขาดูเคร่งขรึมหวงเนื้อหวงตัวกับนักศึกษาผู้หญิงเหลือเกิน แต่กับเธอไม่ยักกะหวงตัว อยากให้แตะให้กอด ถ้านักศึกษาในมหาวิทยาลัยที่มองดนุเดชเหมือนจะกลืนกินได้แตะเขาแม้แต่ปลายก้อยเขาคงโดนรุมทึ้งจนไม่เหลือเสื้อผ้าเป็นแน่แท้
คนคิดแอบขำในใจ ก่อนจะยิ้มกว้างอย่างขบขัน
“ถามทำไม” เขาถามเสียงขรึม
“ก็เห็นอาเดชหวงตัวกับสาวๆ เลยอยากรู้ว่าจะหวงตัวกับคนเป็นแฟนหรือเปล่า” เธอถามเล่นๆ แต่เขาดันเอาจริงนี่สิ
ใยไหมตาโตเมื่อเขาจับท้ายทอยของเธอเอาไว้ก่อนจะประทับจุมพิตลงมาหา ยอมรับเลยว่าเป็นแฟนกับวิษณุเธอยังไม่เคยให้เขาจูบมาก่อน คนจูบไม่เป็นได้แต่ยืนอ้ำอึ้ง เขาใช้อุ้งมืออบอุ่นโอบกอดเธอเอาไว้ ขบเม้มริมฝีปากบนล่าง ก่อนจะสอดแทรกลิ้นร้อนเข้าไปภายในอุ้งปากนุ่มละมุนของเธอ
ปลายลิ้นที่สัมผัสเข้าหากันก่อเกิดความรู้สึกวูบวาบหวามไหว เธอจิกมือกับคอเสื้อของเขาเอาไว้ ความซาบซ่านที่ส่งผ่านมาทางปลายลิ้นทำให้เธอถึงกับเซ
เขาถอนจูบออกแต่ขบเม้มเบาๆ ที่ริมฝีปากล่างเบาๆ อย่างหยอกเอิน เธอจิกมือกับเสื้อของเขาแน่น กะพริบตาปริบๆ ก่อนจะหน้าแดงซ่านลามไปถึงใบหู ร่างกายร้อนผ่าวเหมือนโดนไฟเผา
“ได้คำตอบหรือยัง รู้สึกยังไง”
“หัวใจเต้นแรงไปหมดแล้วค่ะ” คนแสนซื่อตอบแล้วก้มงุด
“กินขนมก่อน” เขากดให้เธอนั่งลงบนโซฟาตัวยาว เธอขยับมือหนีจากเสื้อผ้าอาภรณ์ของเขาที่กำจิกเอาไว้ แต่เขารั้งเอาไว้ไม่ยอมให้เธอละห่าง