“…เฮ้อ”
เสียงถอนหายใจยาวพรืดดังขึ้นจากคนตัวเล็กที่อยู่ในชุดนอนตัวบาง หลังเหลือบตาไปมองเวลาที่ปรากฏตรงมุมขวาล่างของหน้าจอโน๊ตบุ๊ค
’05.48’
มือเล็กเอื้อมไปพับหน้าจอลงพร้อมกับเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทีอ่อนแรง อาการปวดบริเวณกระบอกตาร้าวไปถึงขมับทั้งสองข้างฉายชัดขึ้นเรื่อย ๆ เพราะผู้เป็นเจ้าของเอาแต่เพ่งมองไปยังหน้าจอสีฟ้านานข้ามวันข้ามคืนจนตอนนี้ดวงตาคู่สวยแดงก่ำไปหมด
เพิร์ลเรียนจบสถาปนิกจากมหาวิทยาลัยชื่อดังของประเทศ เหตุเพราะพ่อเป็นวิศวกร เห็นแบบแปลนโครงสร้างนั่นนี่มาตั้งแต่เด็กจึงวาดฝันเอาไว้ว่าอยากเป็นสถาปนิกที่ได้เงินเป็นกอบเป็นกำ
ทว่ารายได้มันก็ดีอยู่หรอกแต่ก็แลกมาด้วยสุขภาพและการอดหลับอดนอนไม่แพ้กัน ใครจะคิดว่าต้องมานั่งโหมงานหนักข้ามวันข้ามคืนแบบนี้กัน ความคิดที่ว่าจะเป็นเจ้าของบริษัทนั่งสวย ๆ อยู่ในออฟฟิศพับเก็บไปได้เลย!
…ทำงานหนักเหมือนเป็นหนี้ เกาะพ่อเกาะแม่กินแต่แรกก็สิ้นเรื่อง!
ร่างบางนั่งหลับตาอยู่หลายนาทีพร้อมกับยกนิ้วเรียวขึ้นมาบีบนวดบริเวณระหว่างคิ้วและขมับตึงเพื่อบรรเทาอาการปวด กระนั้นความปวดตึงก็ไม่ได้ลดลงไปสักนิด จึงตัดสินใจคว้ายาแก้ปวดขึ้นมาสองเม็ดโยนเข้าปากก่อนจะรีบกลืนน้ำตามทันที
ทุกครั้งที่เธอต้องปิดจ็อบงานจนถึงรุ่งเช้าแบบนี้จะต้องหอบหิ้วผ้าห่มและหมอนเน่าคู่ใจลงไปนอนที่โซฟากลางบ้าน ไม่ใช่อะไร…จากหลับเป็นตายกลัวว่าจะได้ตายจริง!
อย่างน้อยลงไปนอนข้างล่างก็มีแม่และป้าแม่บ้านคอยแวะเวียนมาเรียกมาปลุกให้หายกังวลใจ เกิดนอนคนเดียวอยู่ในห้องไหลตายขึ้นมาไม่มีใครรู้ด้วยนะ ไม่ได้…ความโสดซิงที่เก็บมาอย่างดีตลอดยี่สิบเจ็ดปีที่ผ่านมาต้องได้ใช้ก่อนตาย!
“ไงคะลูก…ขอบตาดำแบบนี้โต้รุ่งอีกแล้วใช่ไหม”
เสียงของปัณล์ยดาเอ่ยขึ้นยามเมื่อเห็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของตนเองเดินอุ้มผ้าห่มเน่าลงมาจากชั้นสองของบ้าน หญิงวัยกลางคนส่ายหน้ายิ้ม ๆ อาการติดหมอนและต้องดมผ้าห่มก่อนนอนแก้ยังไงก็ไม่หายสักที
“แม่คะ…ช่วงเที่ยงปลุกเพิร์ลหน่อยนะคะ”
เพิร์ลลดาที่ภาพแทบจะตัดอยู่ร่อมร่อเลือกที่จะทรุดตัวลงนอนยังโซฟาก่อนจะยกผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปง ไม่คิดจะรอฟังคำตอบของผู้เป็นแม่เลยสักคำ กระนั้นก่อนที่สติจะดับวูบไปได้ยินเสียงอื้ออึงของมารดาเล็ดลอดเข้ามา ทว่าก็ไม่สามารถรับรู้เนื้อความได้เลยสักนิด ก่อนที่จะฝืนความง่วงงุนไม่ไหวค่อย ๆ จมเข้าสู่ห้วงนิทราในทันที
“เพิร์ล…เดี๋ยวพี่ปะ—เฮ้อ นอนกลางวันอีกแล้วเด็กคนนี้”
ปัณล์ยดาพูดพลางถอนหายใจออกมา อย่างเหนื่อยหน่าย กระนั้นบนใบหน้ายังคงประดับด้วยรอยยิ้มบาง ๆ อย่างนึกเอ็นดูลูกสาววัยยี่สิบเจ็ดปีที่มองอย่างไรก็เหมือนเด็กน้อยอายุสามขวบ
ถ้ารู้ว่าพี่ชายข้างบ้านกลับมาจากต่างป ระเทศแล้วต้องดีใจกรี๊ดลั่นบ้านแน่ ๆ นี่พี่เขาอุตส่าห์แวะเวียนมาทักทายกันเมื่อหลายวันก่อนแต่เจ้าลูกคนนี้ก็เอาแต่ทำงานหมกตัวอยู่แต่ในห้องนอนชวดไม่เจอหน้ากันสักทีตั้งหลายครั้งหลายครา
…วันนี้พี่เขาตั้งใจมาหาอีกก็ดันมาฟุบหลับอยู่กลางบ้าน เห็นทีคงจะไม่ได้เจออีกล่ะมั้ง!
.
.
.
“…ขอบคุณนะจ้ะ อุตส่าห์แวะมาหาแต่น้องเอาแต่นอนทุกที”
“ไม่เป็นไรครับ”
เสียงทุ้มตอบกลับผู้ใหญ่ด้วยท่าทีสุภาพ ใบหน้าเรียบนิ่งผุดรอยยิ้มขึ้นมาอย่างจริงใจ ทว่านัยน์ตาคมกริบภายใต้กรอบแว่นสีเงินเอาแต่จับจ้องไปยังร่างบางที่นอนขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนาไม่วางตา
ไม่เป็นไร...เพราะเดี๋ยวก็ได้เจอ
เสียงบทสนทนาของผู้เป็นแม่กับ…บุคคลที่ไม่คุ้นเคยเล็ดลอดให้คนที่นอนกึ่งกลับกึ่งตื่นได้ยินเป็นระยะ ความสงสัยว่าเสียงนั้นเป็นเสียงของใครปลุกร่างบางให้ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น
“…อือ”
เสียงเล็กครางในลำคอก่อนจะดึงผ้าห่มที่คลุมหน้าลง ทว่ากลับถูกแสงสว่างจ้ากระแทกหน้าไปหนึ่งทีจนต้องปิดตาลงไปอีกครั้ง
“น้องตื่นพอดีเลยค่ะ เวลาโต้รุ่งก็ตื่นบ่ายแบบนี้ทุกที”
หญิงวัยกลางคนพูดพลางผินหน้าไปมองลูกสาวตนเองที่ยังสะลึมสะลือเมาขี้ตาไม่เลิก พี่ชายข้างบ้านคนโปรดกลับมาทั้งทีขอแม่ฟ้องหน่อยได้ไหมล่ะ อย่างน้อยลูกไม่ฟังแม่ก็ฟังพี่หมอเขาหน่อยก็ดี!
“น้องทำงานดึกบ่อยเหรอครับ”
ชายหนุ่มถามขึ้นกระนั้นก็เผลอขมวดคิ้วน้อย ๆ เข้าหากันอย่างไม่ชอบใจ ทว่าเพียงเสี้ยววินาทีก็แปรเปลี่ยนกลับมาเรียบนิ่งดังเดิม
“บ่อยเลยค่ะ แม่ห้ามเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง”
พรึ่บ!
พลันคนนอนหลับอยู่กลางวงสนทนาลุกขึ้นนั่งอย่างไม่ทันตั้งตัว ทว่าเปลือกตายังคงปิดสนิทคล้ายคนตื่นไม่ดี กระนั้นความสงสัยที่มีมากกว่าจำต้องฝืนสังขารลุกขึ้นมาถามแม่ตนเอง
“ค…ใครคะแม่” ว่าจบก็ยกมือเกาแก้มตนเองไปหนึ่งที
ดวงตาคู่สวยพยายามปรือสู้แสง กว่าจะตื่นเต็มตาก็ทิ้งห่างเวลาให้คนแปลกหน้าแอบสำรวจส่วนประกอบบนใบหน้าอย่างเงียบเชียบ อยากหันไปมองผู้เป็นแม่อยู่หรอก ถ้าไม่คิดว่าถูกดวงตาคู่คมของคนตรงหน้าตรึงเอาไว้เสียก่อน
“หมอ!”