ฮือ ฮือ ฮือออออ ณิชาที่ฟื้นขึ้นมาเมื่อวานนี้ สถานที่ที่ไม่รู้จัก คนแปลกหน้า และหมดหนทางกลับบ้าน ทำให้เธอทำได้เพียงแค่ร้องไห้ และขังตัวเองไว้ในห้อง ห้องที่เธออยู่ตั้งแต่คืนแรกจนมาถึงคืนนี้ ซึ่งเป็นอีกคืน
“พ่อจ๋า หนูกลัว...ฮืออออ” !!!
ก็อก ก็อก ก็อก เสียงเคาะประตู ทำให้เธอตกใจอีกครั้ง แต่ก็เป็นแบบนี้หลายครั้งต่อวัน เธอเคยลองเปิดประตูออกไปหลังเสียงเคาะ เธอเจอกับถาดอาหารวางไว้ เขาคนนั้นไม่ได้ขังเธอด้วยซ้ำ เธอเคยลองเปิดออกไปหลายครั้งเธอก็เปิดมันออกได้ทุกครั้ง นอกจากเสียงเคาะที่มาพร้อมกับถาดอาหาร เธอก็ไม่เจอกับการถูกคุกคามใดๆเลย และผู้ชายในชุดยูนีฟอร์มสีขาวเดินไปเดินมาให้เธอได้เห็นหลายครั้ง...ก็เท่านั้น
ผลั๊วะ ประตูถูกเปิดอีกครั้ง และเป็นอย่างที่คาดไว้ ถาดอาหารมื้อเย็น คร่อกกก เสียงท้องร้องดังทันที เธอไม่กินไม่ดื่มมาเกือบสองวันแล้ว ถ้าเธอยังดื้อดึงแบบนี้ต่อไปเธอได้ตายแน่ๆ หมับ! ณิชายกถาดอาหารเข้ามาในห้องนอนและปิดล็อคประตูอย่างรวดเร็ว
อาหารในถาดเป็นเมนูง่ายๆ ข้าวต้มเปล่าๆ เนื้อปลาดอรี่นึ่งราดซีอิ้ว ตกแต่งด้วยผักสดหลายอย่าง ณิชาไม่รีรอตัดสินใจหรือลังเล เธอลงมือจัดการกับอาหารตรงหน้าในที่สุด
ผลั๊วะ ประตูถูกผลักเปิดอีกครั้ง ร่างบอบบาง มอมแมมเล็กน้อยเดินออกมา ในมือถือถาดที่ถ้วยจานว่างเปล่า
“อิ่มแล้วเหรอ” เสียงใครคนหนึ่งที่เธอยังมองไม่เห็นเจ้าของเสียง ทำให้การก้าวย่างหยุดชะงักสายตากวาดมองหาด้วยความหวาดหวั่นอีกครั้ง เสียงทุกอย่างเงียบลงแม้แต่ระบบการหายใจของณิชา
“คุณ…” หมับ! ณิชาหันหลังกลับทันที คราวนี้เป็นผู้ชายในชุดขาวที่เธอเห็นบ่อยๆ “ไม่ต้องกลัวครับ” กฤษยกมือขึ้นทั้งสองข้างเมื่อมองเห็นความหวาดกลัวจากเธอตรงหน้า “ผมแค่อยากช่วยครับ” เขายื่นมือออกไปเพื่อขอถาดในมือที่ตอนนี้ณิชาบีบมันจนข้อนิ้วเกร็งจนเห็นได้ชัดเจน “เถอะครับ” กฤษขออีกครั้งอย่างใจเย็น
ณิชาค่อยๆยื่นถาดในมือส่งให้ชายชุดขาวท่าทางใจดีและใจเย็นตรงหน้าด้วยความสั่นเทา “ขอบคุณครับ” ณิชายิ้มน้อยๆกับความสุภาพของคนตรงหน้า “ถ้าสบายใจขึ้น ผมอยากให้คุณลองไปคุยกับเจ้านายผมที่นั่งตรงนั้นครับ” ณิชามองตามสายตา เธอเห็นแค่ศีรษะที่โผล่พ้นเก้าอี้สูงเล็กน้อย ไม่น่าล่ะ...เธอจึงมองไม่เห็นเขาในตอนแรก
“เขาใจ...ใจดีเหมือนคุณมั้ยคะ” ณิชาเอ่ยถามด้วยเสียงบางเบา กฤษพยักหน้ายืนยันทำให้เด็กสาวสบายใจยิ่งขึ้น และคนตรงหน้าถูก มีอะไรต้องคุยกันถ้าเธอไม่อยากติดอยู่ที่นี่ จากที่มองจากหน้าต่างในห้องที่นี่คงจะเป็นชายหาดทะเลที่ใดที่หนึ่ง
“นั่งสิ” ณิชาเอียงคอมองคนที่ชายชุดขาวบอกว่าเป็นเจ้านาย เขานั่งนิ่ง สวมแว่นตาดำ ข้างกายมีไม้เท้าและถ้าเธอจะสังเกตเธอก็จะเห็น Blind Block ทอดยาวตามเส้นทางพื้นมากมาย
“คุณ มองไม่เห็น”
“ใช่ ฉันแค่เสียประสาทสัมผัสการมองเท่านั้น แต่อย่างอื่นของฉันดีเยี่ยม การรับกลิ่น และการได้ยินของฉันดีมาก มากกว่าคนปกติที่มองเห็นเลยล่ะ” ณิชายิ้มออกมาทันที
“อารมณ์ดีขึ้นแล้วสิ”
“คุณรู้ได้ยังไงกัน?”
“ประสาทสัมผัสอย่างอื่นของฉันดีมาก” ณิชาพยักหน้าแต่ก็ลืมไปว่าเขามองไม่เห็นจึงขานรับสั้นๆ เหลือเชื่อจริงๆว่าชายตาบอดตรงหน้าทำให้เธอสบายใจขึ้นจริงๆ ดวงตากลมโตกวาดตาสำรวจคนตรงหน้า เขาอายุยังไม่เยอะ น่าจะแค่สักยี่สิบต้นๆ เขามีผิวที่ขาวโครงสร้างร่างกายก็ดูแข็งแรง เขาคงจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดีจริงๆ
“ทำไมคุณถึงไม่ผ่าตัดรักษาดวงตาละคะ” เมื่อได้ยินเหนือสมุทรยิ้มออกมาทันที
“เธอช่างใจดีเสียจริงๆ ตอนแรกฉันคิดว่าเธอจะถามว่าที่นี่ที่ไหน และจะกลับบ้านได้ยังไง”
“เรื่องนั้นก็อยากรู้คะ เพราะหนูเป็นห่วงพ่อค่ะ การที่หนูหายมาแบบนี้ พ่อต้องเป็นห่วงมากแน่ๆ”
“ที่นี่คือเกาะของนรารัตน์”
“นรารัตน์ คุ้นๆ แต่นึกไม่ออก”
“แค่คุ้นเหรอ ฉันคิดว่าเธอจะรู้จักมันดีเสียอีก ที่นี่คือเกาะที่ไว้กักกันคนที่ผู้นำตระกูลต้องการกำจัดออกจากโลกภายนอก”
“กำจัด หนูเนี่ยนะคะ ตอนนี้หนูก็ยังคิดไม่ออกว่าเคยได้ยินคำนี้มาจากไหน แล้วทำไมหนูถึงต้องถูกกำจัดด้วยละคะ”
“แปลก” เหนือสมุทรเอ่ยออกมา “อายุเท่าไหร่”
“สิบเจ็ดค่ะ”
“งั้นก็ยังเรียนอยู่...ยิ่งแปลกไปใหญ่ ชื่ออะไร”
“ณิชาค่ะ...แล้วคุณละคะ”
“เหนือสมุทร เรียกฉันว่าเหนือเฉยๆก็ได้”
“เหนือเฉยๆ คุณแก่กว่าหนูแน่นอน หนูเรียกว่าพี่เหนือแล้วกันนะคะ...อ้า! หนูต้องอยู่ที่นี่นานเลยเหรอคะ ที่นี่เป็นบ้านของพี่เหนือเหรอคะ” ไม่มีคำตอบใดๆออกมา นอกจากรอยยิ้มและการพยักหน้า
“ไม่ต้องรีบร้อนณิชา เธอต้องอยู่ที่นี่สักพัก มีเวลาค่อยๆรู้เรื่องราวทุกอย่างเกี่ยวกับนรารัตน์ และสำคัญสุดคนที่ทำให้เธอมาติดอยู่ที่ เขาคือ ภีมะ น้องชายฉันเอง”
!!! ณิชาตกใจอีกครั้ง ครั้งแรกกับชื่อนี้ที่เธอเคยได้ยิน ถ้าคนที่ชื่อภีมะเป็นเจ้าของเกาะ งั้นเขากับเธอก็อยู่กันคนละโลกเลยล่ะ แต่ทำไมเขาจึงส่งเธอมาอยู่ที่นี่ละ
ครื้นนนน เสียงเฮลิคอปเตอร์ดังใกล้เข้ามา กฤษเดินออกจากบ้านไปยังลานจอด ยี่สิบนาทีเขากลับเข้ามาในบ้านพร้อมรถเข็นที่เต็มไปด้วยข้าวของ “ดูท่าแล้วคุณยังต้องอยู่ที่นี่อีกนานเลยครับ” ณิชามองข้าวของในรถเข็น มันไม่ใช่ของของเธอ แต่มันเป็นของใช้สำหรับผู้หญิงรวมถึงเสื้อผ้าอีกหลายชุด
“หนูไม่เข้าใจเลยค่ะ แล้วพ่อหนูจะเป็นยังไงบ้าง” ดวงตาโตค่อยๆ พล่าเลือนด้วยหยาดน้ำที่เกิดขึ้นมา ไร้ซึ่งเสียงสะอื้นมีเพียงหยดน้ำที่ไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง
“ณิชา เธอจะได้ออกจากที่นี่แน่ๆ เพียงแต่มันไม่ใช่ตอนนี้”
“ขอบคุณค่ะ” เหนือสมุทรยิ้มอีกครั้ง เขาอยู่ที่นี่มาเกือบห้าปี ตลอดเวลาบนเกาะนี้มีเพียงสองชีวิต เขาและคนดูแลที่เวียนกันมา ณิชาคงเป็นอะไรที่มากกว่าเด็กผู้หญิงคนหนึ่งแน่ๆ
เอี๊ยดดดด เสียงยางรถบดถนนดังสนั่นไปทั่วอาณาบริเวณ “เดี๋ยวผมลงไปเองครับ” รัสเอ่ยกับภีมะ ที่แค่เบนสายตาไปมองสาเหตุการเบรกกะทันหัน
“เอาลูกสาวฉันคืนมานะ!!!” ณรงค์ทุบกระจกรถด้านหลังด้วยมืออย่างแรง รัสเข้ามาชาร์จตัวณรงค์ออกให้ห่างจากรถ ผลั๊วะ แต่ประตูรถด้านหลังถูกเปิดออก ภีมะก้าวออกมา สองมือล้วงกระเป๋า ดวงตารีเรียวคล้ายกับเหยี่ยวมองมาไปที่ณรงค์ด้วยใบหน้านิ่งสงบ เขาแค่มองณรงค์ที่ร้อนรนทรมาน และมุมปากหยักก็ค่อยๆเผยออกมาด้วยความรู้สึกเบิกบาน
“หลายปีมานี้...วันนี้ผมมีความสุขจริงๆ” ยิ่งได้เห็นณรงค์โศกเศร้าเสียใจมากขึ้นเท่าไหร่เขาก็ยิ่งมีความสุขขึ้นเรื่อยๆ
“ณิชาไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้”
จุ๊จุ๊ “ตรงไหนที่ไม่เกี่ยว เธอเป็นว่าที่ภรรยาของผมนะครับ การที่เธอหายตัวไป ผมก็...เสียใจนะ” ภีมะบอกออกไปด้วยใบหน้าที่กระจ่างใสเต็นไปด้วยรอยยิ้ม
“เธอไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น...”
“คุณควรร้องบอกตัวเองมากกว่านะครับ หรือไม่ก็ให้คิดเสียว่าเธอก็แค่เหยื่ออีกคน...อีกคน...ก็ได้” เสียงคำหลังแววตาและสีหน้าของภีมะเปลี่ยนไปทันที ซึ่งคงมีแต่ณรงค์ที่เข้าใจ
ฮือ ฮือ ณรงค์ทรุดเข่าลงกับพื้น รัสและภีมะกลับเข้าไปในรถและจากไป จากตรงนั้นไม่สนใจสายฝนที่โปรยปรายลงมา ซู่ซู่ สายฝนเทกระหน่ำลงมาตามฤดูกาล ณรงค์ยังไม่อาจมีแรงลุกไปไหน เขาทำได้แค่ร้องไห้ท่ามกลางน้ำจากฟ้าที่เทกระหน่ำอย่างกับต้องการซ้ำเติมเขา หรือย้ำบอกว่าเขาสมควรได้รับสิ่งนี้แล้ว
ฮือ ผมเจ็บ ปล่อยผม ผมไม่ไหวแล้ว....ครับพ่อ