แผนร้ายทำลายชีวิต

2725 Words
“แม่....แม่ครับ....แม่! ...แม่! ตรงนั้นไม่มีสะพาน! แม่ครับอย่าไป!!!” การินสะดุ้งเฮือกตกใจตื่นจากฝันร้าย กลับจากโรงพยาบาลมาเขาก็ได้แต่จมจ่อมอยู่ในห้องเหม่อมองเพดานอย่างเลื่อนลอยจนผล็อยหลับไป แต่ก็ยังฝันร้ายจนต้องตกใจตื่นมารับรู้ความเป็นจริงในชีวิตอีกจนได้ “ฮวู่! .....” ชายหนุ่มพ่นลมหายใจออกจากปากด้วยความโล่งใจที่สิ่งที่เห็นนั้นเป็นเพียงแค่ความฝัน ในฝันนั้นแม่กำลังเดินตามพ่อไปแล้วอยู่ๆ พ่อก็หายลับไปจากสายตาเฉยๆ เหลือเพียงแม่ที่ยังเดินตรงไปข้างหน้าซึ่งเป็นเหวลึกและไม่มีสะพานข้ามไปอีกฝั่ง เขาตะโกนเรียกให้แม่หยุดจนเสียงแหบแห้งแต่แม่ก็ไม่หยุดเดิน จนเกือบจะถึงขอบเหวเขาก็ตกใจตื่น “เข้มแข็งไว้ไอ้ริน....แกยังมีแม่ที่ยังต้องดูแลอยู่นะ” การินบอกกับตัวเอง เขาสะบัดหัวแรงๆ ไล่ความงัวเงียแล้วลุกไปเปิดม่านดูก็เห็นว่าน่าจะบ่ายมากแล้วรู้สึกหิวนิดๆ กำลังจะโทรลงไปบอกแม่บ้านให้เตรียมอาหารให้แต่แล้วเขาก็เปลี่ยนใจ ‘ออกไปข้างนอกมั่งดีกว่า เผื่อจะดีขึ้น’ ชายหนุ่มอยากจะหนีจากเรื่องร้ายๆ ที่ถาโถมเข้ามาอย่างรุนแรงไปชั่วคราว เขายังไม่พร้อมที่จะเจอใครๆ แม้แต่เพื่อนๆ เขาอยากอยู่คนเดียวสักพัก การินลุกไปอาบน้ำอุ่นจัดอยู่นานจนรู้สึกสดชื่นขึ้น แต่งตัวง่ายๆ ด้วยเสื้อยืดกางเกงยีนส์แต่ก็ดูหล่อเหลามีเสน่ห์ราวกับไม่ได้มีเรื่องทุกข์ร้อนอะไรเลย เขายืนดูตัวเองหน้ากระจกด้วยสายตาเฉยเมย “เออ...ดีขึ้นนิดนึงว่ะไอ้ริน ออกไปข้างนอกชาวบ้านเค้าจะได้ไม่ตกใจ” การินพูดกับเงาในกระจก แล้วก็คิดได้ว่าถ้ายังทำใจไม่ได้ไม่พยายามใช้ชีวิตแบบปกติอีกไม่นานเขาคงบ้าไปอีกคนแน่ๆ “เฮ้อ...” การินถอนใจแล้วคว้ากุญแจรถเดินออกจากห้องไป ภายในสถานปฎิบัติธรรมเสถียรธรรมสถานร่มรื่นและสงบเงียบ สองแม่ลูกเดินจูงมือกันไปรอบๆ ผ่านลานปฎิบัติธรรมที่มีเด็กวัยรุ่นอายุราว15-16 ปีนั่งฟังคุณแม่ชีเทศนาธรรมอย่างสงบอยู่เกือบ 20 คน สุรีย์พาพิมพ์กานต์ไปทำบุญที่วัดใกล้ๆ บ้านเสร็จเรียบร้อยแล้วก็นึกถึงที่นี่ขึ้นมาได้โดยที่ไม่ได้คิดมาก่อน นางเคยมาที่นี่เพื่อดับทุกข์กับคุณแม่ชีหลายๆ ท่านตอนที่พ่อของพิมพ์กานต์เพิ่งเสียกะทันหันเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งคำสอนของแม่ชีทุกๆ ท่านที่เมตตาต่อนางทำให้นางมีกำลังใจที่จะต่อสู้และดูแลลูกสาวคนเดียวต่อไปได้อย่างเข้มแข็ง วันนี้นางจึงอยากพาลูกสาวมาซึมซับกับความอบอุ่นอบอวลด้วยธรรมมะและเมตตาดังเช่นที่นางเคยรู้สึกมาก่อน ซึ่งสุรีย์เองก็รู้สึกแปลกๆ ว่าทำไมถึงนึกถึงที่นี่ขึ้นมาได้อีก นางเองใช้หลักธรรมในการดำเนินชีวิตกันสองคนแม่ลูกอย่างเรียบง่าย มัธยัสถ์อดออมไม่ประมาทต่อชีวิตอบรมสั่งสอนลูกให้เป็นคนดีอยู่เสมอ วันนี้นางได้ออกมาเที่ยวกับลูกสาวแทนที่จะรู้สึกมีความสุขแต่กลับรู้สึกโหวงเหวงในใจพิกลทำให้นึกถึงสถานที่แห่งนี้ขึ้นมาได้แบบไม่ได้ตั้งใจ “เย็นสบายมากเลยค่ะแม่ ที่นี่ต้นไม้เยอะมากๆ ถ้าให้นั่งอ่านหนังสือ พิมพ์คงอ่านได้ทั้งวันไม่เบื่อ” “จริงเหรอจ๊ะ งั้นถ้าจะสอบสงสัยต้องเอาเด็กมาทิ้งไว้ที่นี่ท่าจะดี เกรดจะได้สวยๆ ” สุรีย์ยีหัวลูกสาวด้วยความเอ็นดู “พิมพ์มาได้นะคะแม่ อยู่ได้ทั้งวันจริงๆ ” สาวแรกรุ่นยืนยัน ซึ่งสุรีย์ก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันเพราะรู้ดีว่าพิมพ์กานต์ขยันเรียนขยันอ่านหนังสือและรักการอ่านเป็นที่สุด ถ้าเธอได้มานั่งอ่านหนังสือที่นีได้บ่อยๆ คงจะสมาธิดีขึ้นเรียนได้เก่งขึ้นไม่น้อยทีเดียว แต่นางก็กลับตอบว่า “ยังไม่ได้หรอกจ๊า ที่นี่ไม่ได้ไกลจากบ้านเรามากเท่าไหร่แต่ก็ต้องนั่งรถเมล์มา หนูยังไม่ถึงวัยที่จะไปไกลจากบ้านนานๆ ได้นะจ๊ะ เอาไว้โตกว่านี้ให้หนูดูแลตัวเองได้ไปไหนมาไหนเองได้ก่อน ถ้าหนูยังอยากจะมาที่นี่หนูก็มาได้จ๊ะ” “ว๊า! ....นึกว่าแม่จะให้มาซะอีก” พิมพ์กานต์ปากยื่นบ่นเสียดาย “เอาไว้โตกว่านี้ก่อนนะ ฮะฮะ.... ไปกันดีกว่าจ๊ะบ่ายมากแล้ว เราไปซื้อเป็ดย่างกันเถอะ แม่เห็นมีร้านขายข้าวหน้าเป็ดอยู่ฝั่งตรงข้ามแน่ะคนกินเยอะเชียวน่าจะอร่อย” มารดาชวน “ดีเหมือนกันค่ะ พิมพ์ชักจะหิวแล้วเหมือนกันค่ะแม่” สองแม่ลูกจูงมือกันข้ามถนนไปยืนสั่งเป็ดย่างของโปรดลูกสาวอยู่หน้าร้านซึ่งคนยังเต็มร้านทั้งๆ ที่บ่ายมากแล้ว สุรีย์กับพิมพ์กานต์ถูกเด็กในร้านเชิญให้นั่งรอที่โต๊ะก่อนเนื่องจากมีอีกหลายคิว ทางร้านยังใจดีบริการน้ำชาเย็นๆ ระหว่างรออีกด้วย หญิงต่างวัยทั้งสองจึงนั่งจิบน้ำชารอไปพลางๆ ภายในรถเก๋งคันหรูเปิดแอร์เย็นฉ่ำแต่คนขับกลับมีแต่อารมณ์ห่อเหี่ยว การินเอื้อมมือไปปิดวิทยุในรถหลังจากฟังมานานแต่ไมได้เข้าหูเลยสักเพลง เขาขับรถออกจากบ้านมาเรื่อยเปื่อยไปเรื่อยๆ จนตอนนี้ร่างกายเริ่มประท้วงไม่ว่าจะทุกข์ระทมยังไงท้องก็ยังหิวได้ เขาขับผ่านมาจนถึงแนวตึกแถวที่มีร้านอาหารให้เลือกมากมายจึงตัดสินใจจอดรถเพราะเขาแค่จะหาอะไรกินให้ท้องอิ่มเท่านั้นไม่ต้องเลือกอะไรมาก การินจอดรถได้ตรงหน้าร้านข้าวหน้าเป็ดพอดีเขาก็เลยกินร้านนี้เลยจะได้อิ่มไปมื้อนึง “เฮ่อ! ..ค่อยยังชั่ว” การินรวบช้อนหลังจากกินข้าวหน้าเป็ดกับเกี๊ยวน้ำหมดเกลี้ยง แล้วก็นึกสะท้อนใจ..คนเรานี่แปลกนะจะทุกข์แสนสาหัสแค่ไหนร่างกายก็ไม่รับรู้ อวัยวะทุกส่วนยังทำงานของมันอย่างเต็มประสิทธิภาพไม่มีบกพร่อง ทุกข์ให้ตายร่างกายก็ยังหิว “เพราะมันต้องอยู่เผชิญความทุกข์ต่อไปใช่มั้ยล่ะ” การินพึมพำพูดกับตัวเอง เขากวักมือเรียกเด็กให้มาเก็บเงินสายตาก็ตวัดไปเห็นผู้หญิงต่างวัยสองคนนั่งอยู่หน้าร้าน ใจเขาเต้นแรงควักเงินวางไว้บนโต๊ะจนเกินค่าอาหารแล้วรีบเดินไปหยุดใกล้ๆ กับเธอสองคนนั้น พนักงานกำลังส่งถุงเป็ดย่างให้พอดี สองแม่ลูกรับของแล้วเดินออกไปเรียกรถแท็กซี่หน้าร้าน การินรีบเดินไปสตาร์ทรถรอจนสองคนนั่นขึ้นรถแท็กซี่แล้วขับตามไปห่างๆ เขาขับตามมาจนรถแท็กซี่จอดที่หน้าบ้านไม้เก่าๆ หลังนึง การินจอดรถแอบไว้ตรงหัวมุมทางเลี้ยวเยื้องๆ กับบ้านไม้หลังนั้น เขาดับเครื่องรถแล้วนั่งดูสองคนแม่ลูกไขกุญแจเข้าบ้าน เอาอาหารออกมาจัดใส่จาน จัดโต๊ะกินข้าวด้วยดอกไม้สดสวยงามที่ดูแล้วน่าจะมาจากกระถางต้นไม้ในบ้านนั่นเอง เด็กหญิงวัยแรกรุ่นยิ้มแย้มเทน้ำหวานสีแดงใสให้มารดาอย่างเอาอกเอาใจ แม่เลยตอบแทนด้วยการหอมแก้มแดงๆ ของเด็กสาวฟอดใหญ่ ภาพความชื่นมื่นระหว่างแม่ลูกที่การินเห็นอยู่ตรงหน้ามันทำให้ความทุกข์ระคนแค้นที่กำลังจะทุเลาเบาบางลงกลับประทุขึ้นมาอีก มือที่จับพวงมาลัยรถกำแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน น้ำตาคลอเต็มสองตา ‘พวกแกมีความสุขกันเหลือเกินนะ แม่เลวแย่งผัวชาวบ้านทำให้ครอบครัวคนอื่นพังพินาศย่อยยับยังมีหน้ามาแสดงความรักกันหน้าตาเฉย ไม่รู้สึกรู้สมถึงความเลวทรามของตัวเองมั่งเลยรึไง! วันแม่..วันที่ฉันจะต้องได้กราบตักแม่เหมือนทุกๆ ปีแต่วันนี้ฉันกลับต้องวิ่งหนีแม่ตัวเองออกมาจากโรงพยาบาลบ้า! ทั้งหมดเพราะพวกแก! เพราะแม่ชั่วๆ ของแกนังเด็กปีศาจ!’ การินปาดน้ำตาที่ไหลรินออกมาด้วยความแค้นแสนสาหัส เขากดโทรศัพท์โทรหาจรัสพงษ์ทนายประจำตระกูล “อาพงษ์” การินทักห้วนๆ เมื่ออีกฝ่ายรับสาย “อ้าว! ริน เป็นยังไงมั่งล่ะ กลับบ้านไปได้นอนพักมั่งรึเปล่า” จรัสพงษ์ทักทายห่วงใยหลานชายแต่ก็รู้สึกว่าเสียงเขาแปร่งๆ ผิดปกติ “ผมต้องการให้อาจัดการแยกนังสองแม่ลูกนี่ออกจากกันเดี๋ยวนี้” การินบอกสิ่งที่เขาต้องการโดยไม่ฟังใดๆ ทั้งนั้น “อะไรนะ!? สองแม่ลูกอะไรที่ไหนริน ค่อยๆ พูดสิ” ทนายรุ่นพ่อตกใจกับน้ำเสียงของชายหนุ่มแต่ก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ถามกลับไปซื่อๆ เพื่อให้อีกฝ่ายใจเย็นลง “นังสองแม่ลูกที่ฆ่าพ่อผม! นังสองคนที่ทำให้แม่ผมเป็นบ้าไงอาพงษ์!” การินแทบจะตะโกนด้วยความโมโหสุดขีด “โอเคๆ ริน ใจเย็นๆ ใจเย็นๆ นะ รินอธิบายสิว่ามันเรื่องอะไรกัน รินไปเจอเค้าสองคนที่ไหน” จรัสพงษ์เห็นว่าการเบี่ยงเบนความสนใจไม่ได้ผลก็ต้องเอาน้ำเย็นเข้าลูบ “ผมอยู่หน้าบ้านพวกมัน นั่งดูพวกมันระริกระรี้กอดกันหอมแก้มกันเบิกบานใจในวันแม่ ในขณะที่วันนี้ผมต้องนั่งดูแม่ผมเป็นบ้าเพราะพวกมัน!!” “ริน....” จรัสพงษ์จับหางเสียงสะอื้นของชายหนุ่มได้ ทนายวัยกลางคนรู้ดีว่าตอนนี้พูดอะไรไปการินก็คงไม่ฟัง “ผมไม่ต้องการให้มันมีวันนี้อีกต่อไป พวกมันแม่ลูกต้องไม่มีวันแบบนี้เกิดขึ้นอีก!” “ริน...จะทำแบบนั้นไปทำไม มันบาปนะ” “ผมไม่สน! บาปแค่ไหนผมก็จะรับไว้เองแต่พวกมันจะต้องไม่ได้พบหน้ากันอีก! ถ้าอาพงษ์ไม่จัดการให้ผม ผมก็จะจัดการเอง ผมจะส่งนังลูกสาวไปอยู่โรงงานนรก ส่วนนังแม่ไปเป็นคนใช้ในประเทศคอมมิวนิสต์ไม่ให้มีวันได้เจอกันอีกเลย!” การินสบถสาบาน “ริน! ...อย่าทำแบบนั้นนะ!” จรัสพงษ์ตกใจ ไม่แน่ใจว่าการินแค่ขู่หรือไม่แต่ถ้าเขาจะทำเขาทำอย่างที่บอกได้แน่ จรัสพงษ์รู้ดี “ถ้าอาไม่จัดการให้ ผมทำแน่” การินยืนยันเสียงเย็นเยือก “ตกลงๆ ริน อาจะจัดการเรื่องนี้เอง อาขอร้องรินอย่าเพิ่งทำอะไร ขอเวลาอาสักนิดอาจะจัดการให้เค้าสองคนแยกกันเท่านั้นพอนะริน อาไม่อยากให้รินทำบาปมากไปกว่านี้พ่อรินจะไม่เป็นสุขนะ” ทนายประจำตระกูลเตือนสติชายหนุ่มประวิงเวลาให้เขาใจเย็นลง สมองก็พลางคิดหาทางออกอย่างรีบด่วน “บาปใดๆ อันเกิดจากการนี้ผมขอรับไว้เองทั้งหมด ขอให้อาพงษ์รักษาคำพูดก็พอ” “ก็ได้ริน อารับปากริน อาจะทำให้เค้าแยกกันตามที่รินต้องการ แต่จะทำยังไงแบบไหนอาขอเป็นคนจัดการเรื่องรายละเอียดทั้งหมดจะได้มั้ย” จรัสพงษ์ต่อรองอีกเพราะตั้งสติได้และคิดหาทางแก้ไขได้แล้ว ด้วยความเจนจบและประสบการณ์จากการเป็นทนายมาหลายสิบปีทำให้ชายคนนี้แพรวพราวไปด้วยเล่ห์กลซึ่งไม่คิดว่าจะต้องงัดมาใช้กับคนที่เปรียบเสมือนลูกชายคนนึง “ขอเพียงพวกมันไม่ได้อยู่ด้วยกันอีก จะด้วยวิธีไหนก็ช่าง” ด้วยวัยที่ยังน้อยและด้อยประสบการณ์จึงตกหลุมที่ทนายฝีมือฉกาจดักล่อไว้ “งั้นอาคงต้องใช้เงินของรินเพื่อจัดการเรื่องต่างๆ ด้วยเพราะมันคงไม่ใช่เรื่องเล็กๆ” “ผมจะเซ็นเช็คไว้ให้อาเอาไปกรอกตัวเลขเองเลย อาจะต้องใช้เท่าไหร่อาใส่ตัวเลขไปได้เต็มที่” การินไว้เนื้อเชื่อใจจรัสพงษ์อย่างมากว่าไม่มีวันโกงเขาแน่นอน ทนายประจำตระกูลคนนี้ความซื่อสัตย์มาเป็นที่หนึ่ง “งั้นก็ตกลงตามนี้ รินก็ใจเย็นๆ กลับบ้านไปพักผ่อนได้แล้ว ที่เหลืออาจะจัดการตามที่รินต้องการทุกอย่าง” “ขอบคุณอาพงษ์มากครับที่ยินดีทำเพื่อผมถึงแม้มันจะไม่ถูกต้อง” “อาก็ไม่ได้เห็นด้วยกับสิ่งที่รินขอ แต่ในเมื่ออารับปากแล้วอาก็จะจัดการให้ และอาก็ขอเตือนเป็นครั้งสุดท้ายว่าทำแบบนี้มันบาปนะ” “ผมรู้ครับ แต่ผมก็ยังขอร้องให้อาทำอยู่ดี” แววตาเคืองแค้นของการินไม่ได้อ่อนลงเหมือนน้ำเสียงเลยแม้แต่นิด “เฮ้อ! ....เอาเถอะ ค่ำมืดแล้วรินกลับจากตรงนั้นสักทีเถอะ ถือว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้วนะ” “ก็ได้ครับอา ผมจะกลับแล้ว ขอบคุณอีกครั้งครับ” การินรับคำเงียบๆ แล้ววางสาย เขาปรายตามองบ้านไม้เก่าหลังนั้นอีกครั้ง สองแม่ลูกไม่ได้นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารอีกแล้ว ไฟชั้นสองถูกเปิดทั้งสองห้องซึ่งเขามองไม่เห็นใครอีกเลย ‘พวกแกจะได้รับความทุกข์ทรมานเช่นเดียวกับฉัน!’ การินเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ขับรถออกจากตรงนั้นไปอย่างเงียบเชียบหายไปในความมืด หลังจากฟังคำสั่งเอาแต่ใจของการิน จรัสพงษ์ก็หัวหมุนติ้วเพราะแผนการต่างๆ ผุดขึ้นในหัวอย่างปัจจุบันทันด่วน เขารู้ดีว่าชายหนุ่มต้องรอดูผลสำเร็จของคำสั่งก่อนกลับไปญี่ปุ่นแน่นอน เขาไม่มีทางเลยที่จะหลีกเลี่ยงคำสั่งจัดการกับสองแม่ลูกนั่น ยังไงเสียการินก็จะทำเองถ้าเขาไม่ทำนั่นจะยิ่งทำให้ผู้หญิงต่างวัยสองคนต้องเผชิญชะตากรรมอันทุกข์ยากและคนที่เปรียบเสมือนลูกชายของเขาเองก็จะมีบาปติดตัว จรัสพงษ์ตัดสินใจกดโทรศัพท์ต่อสายถึงใครคนหนึ่งที่น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในยามคับขันนี้ “ขวัญเหรอลูก ทำงานอยู่รึเปล่าสะดวกคุยมั้ยลูก” “คุยได้ค่ะพ่อพักพอดีค่ะ เอ..แต่ปกติพ่อจะโทรตอนขวัญกลับไปที่อพาร์ทเม้นท์แล้วทุกทีนี่ วันนี้มีอะไรพิเศษรึเปล่าคะถึงโทรมาตอนนี้” ครองขวัญลูกสาวคนโตของจรัสพงษ์ทีกำลังทำงานและเรียนปริญญาโทอยู่ที่อังกฤษทักทายบิดาอย่างแปลกใจเล็กน้อย “มีลูก จริงๆ แล้วพ่อยังไม่อยากบอกขวัญเพราะกลัวว่าขวัญจะตกใจ และมันก็เกิดขึ้นเร็วมากทุกอย่างต้องดำเนินการอย่างรีบเร่งจนพ่อคิดอะไรแทบไม่ทัน มันร้ายแรงจนพ่อรับแทบไม่ไหวเลยทีเดียว พ่อว่าจะบอกขวัญหลังจากเรื่องราวต่างๆ มันเรียบร้อยและบรรเทาความโศกเศร้าลงบ้างแล้ว แต่มันมีเหตุที่ทำให้พ่อต้องหาทางแก้ไขเพิ่มขึ้นมาแบบกะทันหันพ่อเลยต้องขอให้ขวัญช่วยพ่อแล้วละ” “ตายจริง! เกิดเรื่องอะไรขึ้นคะ? ร้ายแรงขนาดไหนคะพ่อเล่าให้ขวัญฟังเถอะค่ะ ถ้าขวัญช่วยอะไรได้ขวัญยินดีนะคะ” ครองขวัญทราบดีว่าเรื่องที่บิดากำลังจะเล่าให้เธอฟังจะต้องร้ายแรงทีเดียวเพราะรู้นิสัยพ่อตนเองดีว่าเป็นคนหนักแน่นแค่ไหน ถ้าพูดออกจากปากว่า รับแทบไม่ไหว แสดงว่าต้องหนักหนาสาหัสมาก เธอตั้งสติเตรียมรับคำบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากบิดา “งั้นพ่อจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับครอบครัวคุณการัณให้ฟังก่อน เรื่องที่จะขอร้องขวัญให้ช่วยพ่อจะบอกทีหลัง” “ได้ค่ะพ่อ พ่อเล่าให้ขวัญฟังได้เลยค่ะขวัญพร้อมแล้ว”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD