“แม่ขา....พิมพ์ร้อยมาลัยมากราบแม่ค่ะ พิมพ์ร้อยเองเลยนะคะเมื่อวานอาจารย์สอนในชม.คหกรรม อาจารย์ชมว่าพิมพ์ร้อยมาลัยสวยด้วยค่ะแม่” เด็กหญิงวัย12ปีหน้าตาน่ารักแรกแย้มวัยสาวประคองพวงมาลัยในมือมาคุกเข่าลงตรงหน้าตักมารดา พวงแก้มแดงปลั่งปากอิ่มยิ้มแย้มภุมิใจอวดฝีมือเสียงใส
“งั้นเหรอจ๊ะลูก เอาไปแอบไว้ที่ไหนเนี่ยแม่ไม่เห็นเลย อื้ม....สวยจริงๆ ซะด้วย” สุรีย์มารดายิ้มชื่นชมลูกสาว
เด็กสาวแรกรุ่นยิ้มแป้นภูมิใจนักหนาที่ได้รับคำชม พิมพ์กานต์คุกเข่าลงตรงหน้ามารดาที่เธอรักและเคารพ
“วันนี้วันแม่ พิมพ์ขอกราบขอบพระคุณแม่ที่เลี้ยงดูพิมพ์มา ขอบพระคุณที่แม่รักและดูแลเอาใจใส่พิมพ์เสมอ พิมพ์ขอให้แม่มีสุขภาพแข็งแรง มีความสุขกายสุขใจและอยู่กับพิมพ์ไปนานๆ นะคะ พิมพ์กราบแม่ค่ะ” เด็กหญิงพิมพ์กานต์วางพวงมาลัยฝีมือตัวเองลงบนอุ้งมือมารดาที่เอื้อมมารับแล้วก้มลงกราบแทบเท้าด้วยความรักและเคารพ
“ขอบใจจ๊ะลูก แม่ขอให้พรที่ลูกให้แม่กลับคืนสู่ลูกเช่นกันจ๊ะ ขอเพียงลูกเป็นลูกที่น่ารักของแม่ เป็นคนดีคิดดีทำดีอยู่อย่างมีความสุขแม่ก็เป็นสุขที่สุดแล้วจ๊ะ ลุกขึ้นเถอะ” สุรีย์ลูบศีรษะลูกสาวด้วยความเอ็นดู
“พิมพ์รักแม่ค่ะ” เด็กน้อยกอดซุกอกแม่
“แม่ก็รักหนูจ๊ะ” สุรีย์โอบกอดลูกสาวแนบแน่นด้วยความรักสุดหัวใจ หวนนึกถึงความหลังที่ผ่านมา....
สุรีย์เป็นเด็กกำพร้าที่เติบโตมาในบ้านสงเคราะห์เด็ก แต่ด้วยความที่เธอเป็นเด็กเรียนเก่งเธอจึงสอบติดรร.มัธยมดังได้อย่างไม่ยากเย็นนัก และที่โรงเรียนแห่งนี้เธอได้พบกับนักเรียนชายรูปหล่อที่ขยันเรียนเช่นเดียวกันกับเธอ เขาชื่อ การัณ ทั้งสองสนิทกันในเวลาไม่นานเพราะทั้งเธอและเขาสนใจสิ่งเดียวกันคือ การเรียน โดยที่เด็กหนุ่มไม่ได้รังเกียจว่าเธอเป็นเด็กกำพร้าเลยสักนิด
การัณเรียนเก่งกว่าเธอ เขามักจะติววิชาต่างๆ ให้เธอเสมอ ทั้งสองใช้เวลาว่างส่วนใหญ่อยู่ด้วยกัน..กินข้าวด้วยกัน...อ่านหนังสือด้วยกัน...คุยกันเรื่องวิชาต่างๆ อย่างสนุกสนาน เธอและเขาเรียนด้วยกันจนจบม.6 การัณชวนเธอไปสอบชิงทุนเรียนต่อต่างประเทศเพราะพ่อแม่ของเขาอยากให้เขาไปเรียนต่อเมืองนอกแต่ครอบครัวไม่มีเงินขนาดนั้นเขาจึงต้องสอบชิงทุนเพื่อให้พ่อแม่สมหวัง เธอไปสอบกับเขาด้วยตามคำชวนแต่คนที่สอบได้มีแค่การัณคนเดียว ทุนการศึกษาต่อของหน่วยงานนี้ให้เพียงแค่ 2 ทุนต่อปี สุรีย์คะแนนได้เป็นอันดับ 3 จึงไม่ได้รับทุน หากเธออยากได้ทุนต้องกลับมาสอบใหม่ปีหน้า แต่เธอก็ท้อซะแล้วเพราะการัณคงไปอยู่ต่างประเทศแล้ว ส่วนเธอแม้ไม่ได้ทุนไปเรียนต่อเมืองนอกแต่เธอก็สอบได้ทุนเรียนต่อมหาวิทยาลัยในประเทศเรียบร้อยแล้ว เธอไม่สามารถเรื่องมากไม่เรียนโน่นนี่ได้เพราะแม่ครูผอ.บ้านสงเคราะห์ส่งเสียให้เธอเล่าเรียนด้วยเงินของแม่ครูเองด้วยความรักและเอ็นดูที่เธอขยันเรียนเป็นพิเศษ ถึงจะไม่ต้องยุ่งยากเรื่องค่าเล่าเรียนแต่เงินทุกบาททุกสตางค์ที่เธอใช้จ่ายก็เป็นเงินที่แม่ครูส่งเสียเธอ เธอไม่อยากให้แม่ครูต้องเสียเงินทองไปมากกว่านี้ เธอต้องรีบเรียนให้จบเพื่อตอบแทนบุญคุณแม่ครูบ้าง
“สุ...ฉันจะกลับมาหาเธอนะ เธอต้องขยันเรียนล่ะ ฉันเองก็จะขยันรีบเรียนจบเร็วๆ ” การัณในวัยหนุ่มรูปหล่อจับมือสุรีย์ที่เป็นกำลังจะเป็นสาวสวยสะพรั่งบีบแน่นด้วยความอาลัย
“รัณ.. รัณขยันเรียนนะ ฉันก็จะขยันเรียนเหมือนกันไม่ต้องห่วง รีบกลับมานะ ส่งจม.มาบ้างโปสการ์ดก็ได้ ฉันจะคิดถึงรัณนะ” สุรีย์น้ำตาคลอเบ้าเมื่อชายหนุ่มกำลังจะจากไปเธอเหมือนจะขาดใจ การัณกับเธอไม่เคยบอกรักหรือเป็นแฟนกันแต่เธอและเขาผูกพันกันยิ่งกว่านั้น เขาเป็นทั้งเพื่อน..เป็นเสมือนพี่ที่คอยดูแล เป็นคู่คิดที่เข้าขากันห่วงใยกัน.. หากเธอขาดเขาเธอก็รู้สึกประหนึ่งแทบขาดใจ การัณก็เช่นกัน...
“ฉันจะกลับมาหาเธอ ฉันสัญญา” การัณบอกเธอแล้วรีบวิ่งเข้าเกทไปเมื่อได้ยินเสียงประกาศเรียกผู้โดยสารของสนามบิน
“รัณ! ....ฉันจะรอเธอนะ!” สุรีย์ตะโกนกลับไปพร้อมน้ำตาแห่งความอาลัย
แต่นั่นก็เป็นวันสุดท้ายที่เธอได้พบการัณคนเดิม เขาไม่ได้กลับมาเมื่อเรียนจบอย่างที่เขาสัญญา เขากลับมาหลังจากนั้นอีก 3 ปีแล้วก็ได้ข่าวว่าเขาแต่งงานกับลูกสาวเจ้าสัวโรงสีทันทีที่มาถึงเมืองไทย สุรีย์รับรู้ข่าวนั้นด้วยใจที่เคว้งคว้างเพราะจิตใจแน่วแน่รอการัณมาตลอดหลายปีทั้งๆ ที่เขาไม่เคยส่งข่าวมาหาเธอเลย เธอรู้สึกเศร้าใจและว้าเหว่ เธอไม่ได้เจ็บปวดมากนักเพราะเธอโตขึ้นมากแล้วเพียงแต่เขาเป็นสิ่งที่เธอเฝ้ารอมาตลอด พอเขากลับมาก็หลุดลอยไปเธอก็รู้สึกโดดเดี่ยวตัวคนเดียวขึ้นมาอีกครั้ง
จนกระทั่งเธอพบกับชายผู้มีตัวตนจริงๆ ปรากฏต่อหน้าเธอ เขาคือพ่อของลูกสาวที่น่ารักของเธอ เธอมีครอบครัวที่อบอุ่นในที่สุด มีสามีมีลูกสาวน่ารัก แต่แล้ว...ความสุขของเธอก็อยู่กับเธอได้ไม่นาน พ่อของพิมพ์กานต์ประสบอุบัติเหตุรถคว่ำระหว่างไปประชุมกับเจ้านายที่ต่างจังหวัดเมื่อตอนลูกสาวอายุได้เพียง 3 ขวบ หัวใจเธอแตกสลายเสียใจแทบสิ้นสติ แต่เมื่อหันไปเห็นลูกสาวก็รู้สึกว่ายังมีสิ่งที่เป็นยิ่งกว่าชีวิตตนเองเหลืออยู่ เธอยังต้องอยู่ต่อไปเพื่อลูก เธอยังต้องสู้ต่อไป
สุรีย์ลาออกจากงานเพราะต้องการดูแลลูกสาวอย่างใกล้ชิด เธอหันมายึดอาชีพแก้เสื้อผ้าตามที่เคยได้ฝึกฝนมาตอนอยู่บ้านสงเคราะห์ แรกๆ ก็ยังไม่ค่อยเข้าที่เท่าไหร่โดนลูกค้าบ่นว่ามากมายว่าฝีมือไม่ดี แต่เธอก็อดทนฝึกฝนจนชำนาญมีลูกค้าประจำมาอุดหนุนสม่ำเสมอจนเธอมีรายได้พอเลี้ยงลูกสาวคนเดียวได้อย่างไม่เดือดร้อน สองแม่ลูกเช่าบ้านไม้สองชั้นหลังเล็กๆ อยู่กันในซอยไม่ไกลจากถนนใหญ่มากนัก เจ้าของบ้านใจดีเห็นอยู่กันสองแม่ลูกก็ให้เช่าถูกๆ จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่ยอมขึ้นค่าเช่า สุรีย์ซาบซึ้งและสำนึกในน้ำใจเจ้าของบ้านยิ่งนัก เธอดูแลรักษาบ้านช่องอย่างดีเป็นการตอบแทน บ้านเช่าหลังน้อยของเธอจึงสะอาดสะอ้านถึงแม้จะเก่าแต่ก็น่ารักน่าอยู่ รอบบ้านเป็นกระถางต้นไม้ดอกไม้ที่เธอปลูกไว้ดูสดชื่นสบายตา เธออยากให้ลูกสาวจิตใจแจ่มใสสดชื่นแม้บ้านจะไม่กว้างขวางใหญ่โตแต่ก็น่าอยู่และอบอุ่นไปด้วยความรัก
“แม่ขา วันนี้มีเสื้อตัวไหนให้พิมพ์ช่วยเย็บมั้ยคะ” เสียงใสๆ ปลุกสุรีย์ให้ตื่นจากอดีต
“หือ? ..วันนี้เหรอ? ...วันนี้ไม่มีหรอกจ๊ะ” แม่ลูบหัวลูกสาวด้วยความเอ็นดูในน้ำใจของลูก ซึ่งตั้งแต่เริ่มโตพอที่จะหยิบจับเข็มกับด้ายได้แล้วพิมพ์กานต์ก็ช่วยงานแม่เล็กๆ น้อยๆ เสมอมา
“อ้าว..เหรอคะ? พิมพ์เห็นเสื้อผ้ายังกองอยู่เยอะเลยค่ะ ให้พิมพ์ช่วยเถอะนะคะแม่จะได้ไม่เหนื่อย”
“แม่ไม่เหนื่อยหรอกจ้า วันนี้แม่กะจะพักสักหน่อย ก็วันนี้วันแม่นี่” สุรีย์ยิ้ม
“จริงด้วย วันแม่แม่ต้องพักให้สบายๆ เลยค่ะ เราทำอะไรพิเศษกินกันตอนเย็นดีมั้ยคะแม่เดี๋ยวพิมพ์ช่วย” พิมพ์กานต์ยิ้มแป้นดีอกดีใจเพราะน้อยครั้งนักที่มารดาจะยอมหยุดงาน นางกลัวจะไม่มีรายได้ลูกสาวจะไม่มีเงินไปโรงเรียน ถึงแม้พิมพ์กานต์จะพร่ำบอกว่าให้พักบ้างเพราะเงินที่แม่ให้นั้นเธอประหยัดอดออมไม่เคยใช้หมดเลยสักวัน หากมารดาไม่มีเงินให้เธอไปโรงเรียนเธอยังสามารถเอาเงินออมนั้นออกมาใช้ไปได้เป็นเดือนเลยทีเดียว แต่แม่ก็ไม่เคยยอมหยุดงานจนเธอเป็นห่วงกลัวว่ามารดาจะป่วยไข้ไม่สบายไป
“ไม่เอาดีกว่า วันนี้วันพิเศษของแม่ แม่พาลูกสาวคนสวยของแม่ไปเปิดหูเปิดตาข้างนอกมั่งดีกว่า”
“หือ? ...แม่จะไปไหนเหรอคะ” สาวน้อยแปลกใจเพราะทั้งมารดาและเธอเองไม่ค่อยได้ไปไหนมาไหนบ่อยนักด้วยความที่เจียมตัวว่าอยู่ในสถานะที่ไม่พร้อมจะเที่ยวเตร่ได้เหมือนคนอื่นๆ หากเธอไปเที่ยวดูหนังเดินห้างเหมือนเพื่อนๆ นั่นหมายความว่าแม่ต้องนั่งเย็บผ้าเพิ่มมากขึ้นอีกเพื่อหาเงินมาให้เธอใช้ซึ่งเธอไม่ต้องการ พิมพ์กานต์ยินดีกลับบ้านมาช่วยแม่นั่งเย็บผ้ามากกว่าแค่นี้เธอก็มีความสุขแล้ว
“อืมม....แม่ว่าไปเดินห้างกินข้าวกันเหมือนเพื่อนๆ หนูดีมั้ย หนูไม่เคยไปเลยนี่”
“กินข้าวในห้างมันแพงต้องใช้เงินเยอะเลยนี่คะแม่” พิมพ์กานต์เสียดายเงินที่แม่หามาได้อย่างยากลำบากเหลือเกิน สงสารที่แม่เหนื่อยเพียงลำพังจนเธอไม่สามารถใช้จ่ายในสิ่งที่ไม่จำเป็นได้
“ก็ไม่เป็นไรนี่นานานทีปีหน วันแม่แม่ก็อยากจะมีอะไรพิเศษๆ กับลูกบ้างคงไม่หมดเปลืองอะไรเท่าไหร่หรอกมั้ง แม่มีเงินเก็บอยู่จ๊ะ”
“ถ้าแม่อยากไปพิมพ์ก็ไปค่ะ พิมพ์กลัวว่าแม่จะลำบากต้องนั่งเย็บผ้าเพิ่มขึ้นอีกถ้าพาพิมพ์ไปเที่ยวไปกินสิ้นเปลืองแบบนั้นน่ะค่ะ”
“โถ..ลูก แม่ไม่ลำบากหรอกจ๊ะ มีลูกน่ารักอย่างหนูแม่ชื่นใจมีความสุขที่ได้ทำงานเพื่ออนาคตของหนู แม่ไม่เหนื่อยเลยจ๊ะ” สุรีย์คว้าตัวลูกสาวมากอดแนบอกซาบซึ้งในความกตัญญูของเด็กน้อย
“ถ้าหนูไม่อยากไปเที่ยวห้าง หนูอยากไปไหนละจ๊ะลองบอกแม่ซิ”
“อืมม...เราไปวัดทำบุญไหว้พระกันดีมั้ยคะ แล้วขากลับเราก็ซื้ออาหารมากินกันที่บ้านก็ได้ค่ะ”
“เอางั้นเหรอลูก อืม..แบบนั้นก็ดีเหมือนกันนะแม่ก็ว่านั่งกินอยู่บ้านสบายกว่า แม่ไม่เคยกินอาหารนอกบ้านนานแล้วเดี๋ยวไปเปิ่นข้างนอกอายเค้าแย่เลยเนอะ ว่าแต่หนูอยากกินอะไรละจ๊ะ” สุรีย์ยิ้มเขินๆ พลางถามลูกสาว
“เป็ดย่าง!” พิมพ์กานต์บอกเสียงใส
“ได้เลยจ้า แม่จะซื้อทั้งตัวเลยเชียว จะแบ่งไว้ครึ่งตัวเอาไว้แกงเผ็ดเป็ดย่างที่หนูชอบให้กินวันหลังด้วยนะ”
“เย้ๆๆๆ ”
“งั้นไปอาบน้ำแต่งตัวสวยๆ เถอะจ๊ะ เดี๋ยวเราไปกันเถอะสายมากแดดจะร้อน”
“ค่ะแม่” สาวน้อยวิ่งขึ้นห้องไปเตรียมอาบน้ำแต่งตัวใหม่อย่างรื่นเริง
สุรีย์มองตามแก้วตาดวงใจด้วยความรักอย่างหาที่สุดมิได้ พิมพ์กานต์เป็นเด็กดีเป็นลูกที่น่ารักเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของนาง นางนึกไม่ออกเลยว่าถ้าชีวิตไม่มีลูกอยู่ข้างกายนางจะอยู่ยังไง นางคงขาดใจเป็นแน่แท้