“ปกติก็เห็นทำเองได้ไม่ใช่หรือไง” อวี่เยียนตอบพลางหันไปสนใจกับการจุดเตาไฟต่อ
“วันนี้ทำไม่ไหว” มู่เหวินจิ้งยังไม่เลิกตื๊อ
“งั้นรอตอนเย็นข้ากลับมาจะเช็ดตัวให้ ตอนนี้ไปนั่งรอกินข้าวก่อนเถิด ข้าต้องเอาเสื้อผ้าไปซักที่ลำธารด้วย”
“ข้าไปด้วย”
อวี่เยียนตวัดสายตามอง นับวันอีตาพระเอกนี่ชักจะทำตัวแปลกๆ แรกพบผลักไสนางแทบเป็นแทบตาย ไฉนมาตอนนี้ถึงเกาะติดนางเป็นปลิงเช่นนี้ได้
“ไม่ต้อง รออยู่ที่เรือนนี่แหละ”
อวี่เยียนไม่สนใจใบหน้าบูดบึ้งของมู่เหวินจิ้ง ตั้งหน้าตั้งตาเตรียมอาหารอย่างเร่งด่วน กระทั่งทั้งคู่อิ่มแล้ว อวี่เยียนจึงจัดการเก็บถ้วยชามแล้วเดินเข้าไปในห้องนอนของตนและมู่เหวินจิ้ง
หญิงสาวกลับออกมาพร้อมตะกร้าใบใหญ่ซึ่งใส่รวมเสื้อผ้าของคนทั้งคู่ไว้
“เอ๊ะ เจ้า! ข้าบอกว่า-“
“ข้าเดินไปเองได้ ไม่เป็นภาระเจ้าแน่นอน”
อวี่เยียนถอนหายใจ เหลือบมองมู่เหวินจิ้งที่ยืนคอยนางอยู่หน้าประตู หน้าตาบุรุษเรียบเฉย มือหนึ่งกำไม้เท้าไว้แน่น
“ตามใจ หากล้มขึ้นมาข้าไม่รู้ด้วยนะ”
ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่เอาเข้าจริงอวี่เยียนก็อดที่จะเหลียวหลังกลับมามองไม่ได้ ทางเดินขรุขระ เต็มไปด้วยก้อนหินดินโคลนเปียกแฉะ ขนาดผู้ที่มองเห็นทุกอย่างแจ่มชัดอย่างนางยังไม่แน่ว่าจะไม่ลื่นล้มหัวทิ่ม
“ระวังนะ ตรงนั้นมันลื่น” อวี่เยียนร้องเตือน
มู่เหวินจิ้งใช้ไม้เท้าจิ่มๆ ไปที่ดิน จากนั้นเลื่อนมาจิ่มทางซ้าย หัวคิ้วขมวดมุ่นเหมือนตัดสินใจไม่ได้ว่าควรจะเดินไปทางไหนดี
อวี่เยียนพ่นลมหายใจอย่างหมดทางเลือก “เจ้าอย่าเพิ่งขยับ ยืนอยู่เฉยๆ”
อวี่เยียนรีบวิ่งเอาตะกร้าไปวางที่ลำธารด้านล่างก่อนรีบวิ่งกลับมาหามู่เหวินจิ้งที่ยืนคอยนิ่งตามคำสั่ง
“จับแขนข้าไว้ ระวังด้วย”
มู่เหวินจิ้งขานรับในลำคอ เขาถูกอวี่เยียนพามานั่งยังโขดหินข้างลำธาร สายลมอ่อนพัดพากลิ่นหอมชวนทำใจให้สั่นไหว ซึ่งปกติแล้วประสาทรับรู้ทุกอย่างของมู่เหวินจิ้งนับว่าล้ำเลิศนักในยุทธภพ อาจเพราะเคยร่วมรบในสงครามมามากมายทำให้ตื่นตัวกับสิ่งโดยรอบได้ง่าย
ถึงคราแรกที่ล้มป่วยทุกอย่างพลันหยุดชะงักนิ่ง แต่เมื่อร่างกายเริ่มกลับมาฟื้นฟู ทุกอย่างก็ดูคล้ายจะเข้ารูปเข้ารอย
“หมู่ตาน”
“หือ เจ้าว่าอะไรนะ”
“กลิ่นตัวเจ้า...คล้ายดอกหมู่ตาน”
ใบหน้างามแดงก่ำ รีบกระโดดย้ายตำแหน่งไปยืนอยู่ทางด้านหลังทันที “นะ...นี่เจ้าแอบดมตัวข้าหรือ ทำไมทำเรื่องไร้มารยาทเช่นนี้”
“แอบดมอะไร กลิ่นมันลอยเข้าจมูกข้าเองตั้งหากเล่า”
อวี่เยียนอ้าปากค้าง เขาพูดอย่างกะเป็นความผิดนางอย่างนั้นแหละ! หญิงสาวทั้งโกรธทั้งอับอายยิ่งนัก สตรีใดจะชอบให้บุรุษมาดอมดมและวิจารณ์กลิ่นตัวของตนกัน
มู่เหวินจิ้ง...เจ้ามันร้ายกาจนัก!
“ข้าชอบนะ เป็นดอกไม้ที่ข้าชื่นชอบมากที่สุด”
อวี่เยียนที่กำลังลากตะกร้าผ้ามานิ่งอึ้ง ชำเลืองมองมู่เหวินจิ้งที่นั่งยืดตัวตรงอย่างกับเป็นเทพเซียน หากมีเครายาวร่วมด้วยนี่คงจะน่าเลื่อมใสโดยแท้ มุมปากคล้ายยกยิ้มเล็กน้อยทำอวี่เยียนทำตัวไม่ถูกไปชั่วครู่
มู่เหวินจิ้งไม่ได้รบกวนการซักผ้าของอวี่เยียน เขาเพียงนั่งเงียบๆ หลับตาลงรับรู้ถึงไอแดด เสียงนกร้อง สายลมและกลิ่นกายหอมหวานของสตรีเท่านั้น
อวี่เยียนบิดผ้าตัวสุดท้าย สะบัดสองสามทีและโยนใส่ตะกร้า นางยืดตัวลุกขึ้นบิดเอวไปมา
“เสร็จแล้วหรือ”
“อืม กลับกันเถิด”
มู่เหวินจิ้งผงกศีรษะ ลุกขึ้นพร้อมแบมือออกทั้งสองข้าง
อวี่เยียนทำหน้างง “อะไร”
“เอาตะกร้ามา ช้าจะถือ เจ้าจะได้จูงข้ากลับเรือน”
อวี่เยียนร้อง อ้อ เข้าใจ นางเดินเข้าไปใกล้พลางยัดตะกร้าผ้าใส่มือบุรุษ แต่ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะได้ก้าวขาเดิน ใครบางคนพร้อมลูกสมุนพลันวิ่งเข้ามาดักหน้าพวกเขาไว้เสียก่อน
ลั่วจินกั่ว!
“แหม่ๆ ไอ้เราก็หลงนึกว่าเยี่ยนเอ๋อร์เป็นสตรีขี้อาย ไม่สนใจเรื่องบุรุษเพศเสียอีก มาเห็นแบบนี้...ไม่เบาเหมือนกันนะ”
“พี่จินโปรดหลีกทาง ข้าจะกลับเรือนแล้ว”
ลั่วจินกั่วหัวเราะ ยื่นมือออกมาหมายจะเชยคางมนขึ้น ทว่าก็ถูกอวี่เยียนปัดมือออกทันที
“ใครหรือ”
มู่เหวินจิ้งกล่าวถาม ลั่วจินกั่วจึงเบนสายตามาทางเขา พิจารณารูปลักษณ์ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เมื่อเห็นว่าท่าทางของชายผู้นี้ดูนิ่งพิลึกจึงยกมือขึ้นโบกไปมาอยู่บริเวณใบหน้า
นิ่งสงบ ไม่แม้แต่จะกะพริบตา
“นี่...เจ้าตาบอดหรือ” ลูกสมุนที่อยู่ทางด้านหลังรีบวิ่งเข้ามาดูเช่นกัน ทุกคนเริ่มหัวเราะ ล้อเลียนดวงตาที่พิการของมู่เหวินจิ้งราวกับเป็นเรื่องสนุกสนาน
“เงียบนะ!” เป็นอวี่เยียนที่ทนไม่ไหว ระเบิดอารมณ์ออกมา นางผลักพวกลูกสมุนของลั่วจินกั่วให้ออกห่าง ขณะก้าวมายืนอยู่เบื้องหน้ามู่เหวินจิ้ง ยกแขนขึ้นไม่ให้พวกอันธพาลเข้าใกล้เขา
“เยี่ยนเอ๋อร์ ทำไมเจ้าต้องปกป้องมันด้วย ชายพิการไม่มีอะไรให้ชื่นชอบเลยสักนิด หรือเพราะเจ้าเห็นมันหล่อหรือไร หลับนอนกับมันแล้วละสิถึงแสดงท่าทางเช่นนี้กับข้า”
“ทำไมความคิดของท่านมันถึงสกปรกนักนะ น่าทุเรศที่สุด!”
“ว่าอย่างไรนะ! นะ...นี่เจ้ากล้าด่าข้าหรือ” ลั่วจินกั่วเค้นเสียงหัวเราะ จ้องมองอวี่เยียนด้วยความขัดเคือง “ถึงข้าจะถูกใจเจ้ามากแค่ไหน แต่ใช่ว่าจะยอมเจ้าไปเสียทุกเรื่อง อย่างไรวันนี้เจ้าก็ต้องมาเป็นเมียข้า”
ลั่วจินกั่วหันไปพยักหน้ากับชายสี่คนทางด้านหลัง ให้พวกเขามาช่วยลากตัวอวี่เยียนกลับไปด้วยกัน
“นี่พวกเจ้าคิดจะลักพาตัวข้าหรือ ลั่วจินกั่วเจ้าคนสารเลว! ออกไปนะ! อย่ามาแตะต้องตัวข้า!!” อวี่เยียนก้าวถอยจนแผ่นหลังปะทะกับอกของคนด้านหลัง และวินาทีนั้นมือแกร่งพลันรวบเอวของนางให้แนบชิดติดกับตัวเขา ตะกร้าผ้าถูกโยนใส่พวกของลั่วจินกั่วพร้อมใช้เท้าเตะเอาไม้เท้าที่วางอยู่บนพื้นขึ้นมา
มู่เหวินจิ้งสะบัดไม้ใส่กลุ่มชายอันธพาล เหวี่ยงไปมาราวกับไม้นั่นเป็นกระบี่ด้ามยาว ฟาดฟันและตีใส่ไม่ยั้ง เอียงตัวหลบหมัดที่สวนมาอย่างง่ายดายก่อนตอบโต้จนลั่วจินกั่วและพรรคพวกจำต้องล่าถอย ทว่าไม่แคล้วหันกลับมาตวาดเสียงดัง
“มันไม่จบง่ายๆ เช่นนี้แน่ ข้าจะต้องเอาเจ้ามาเป็นเมียให้ได้!”
มู่เหวินจิ้งกัดฟันกรอด เขวี้ยงไม้เท้าไปยังต้นเสียง และปึก! กระทบกลางศีรษะพอดี ลั่วจินกั่วสลบหัวทิ่มปักกองขี้เลน ชายสี่คนที่วิ่งตามอยู่ด้านหลังร้องอุทานด้วยความตกใจ รีบหามตัวลูกพี่ของตนหนีโดยไว
“นึกว่าจะแน่” มู่เหวินจิ้งพึมพำ ก่อนจะคลายอ้อมกอดของตนและก้มหน้าถามเสียงแผ่วเบา
“เป็นอะไรหรือไม่”
อวี่เยียนยืนนิ่ง แทบไม่อยากเชื่อสายตาว่ามู่เหวินจิ้งจะจัดการไล่อันธพาลพวกนั้นไปได้ ขนาดว่าตาบอดยังเก่งขนาดนี้ หากหายเป็นปกติ...แค่คิดอวี่เยียนก็ขนลุกไปทั้งตัว
“ข้าไม่เป็นไร ขอบใจนะ”
อวี่เยียนเหล่ตามองกองเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายอยู่ที่พื้น พลางจิปากด้วยความเบื่อหน่าย โธ่...ต้องซักใหม่อีกรอบหรือนี่
มู่เหวินจิ้งนั่งรออวี่เยียนต่ออีกสักพัก ทว่ากลับไม่ได้นั่งสบายใจเหมือนเดิม ท่าทางล่อกแล่กราวกับกำลังนั่งเฝ้าระวังภัยอย่างไรอย่างนั้น
ตะวันคล้อยมาตรงศีรษะแล้ว ทั้งสองพากันเดินกลับมาที่เรือน ทานอาหารกลางวันและหมกตัวอยู่ในแปลงผักจนเย็น
“เจ้าเป็นอะไรหรือไม่”
“เอ๊ะ ปะ...เปล่าเป็นอะไรนี่”
ตั้งแต่กลับมาจากลำธาร มู่เหวินจิ้งก็สัมผัสได้ถึงท่าทางที่เปลี่ยนไปของอวี่เยียน นางระวังตัวและรักษาระยะห่างจากเขา เมื่อถูกสัมผัสตัวก็จะสะดุ้งโหยงตกใจจนเกินเหตุ
“เจ้าเหมือนกลัวข้า ข้าทำอะไรให้เจ้ากลัวงั้นหรือ”
อวี่เยียนอึกอัก นางนึกย้อนไปถึงเรื่องราวในนิยาย มู่เหวินจิ้งเป็นชายชาตินักรบใจคอโหดร้าย เสาะแสวงหาเพียงอำนาจและความรุ่นโรจน์เพื่อตนเอง แม้อวี่เยียนในเรื่องจะพยายามมอบความรักความเอาใจใส่แก่ชายผู้นี้แค่ไหนก็ไม่อาจทลายกำแพงน้ำแข็งในใจได้
ไม่เพียงไม่เคยออกหน้าปกป้องภรรยาของตน แต่ยังกระทำย่ำยีร่างกายและจิตใจนางสารพัด กระทั่งความจริงเรื่องชาติกำเนิดของอวี่เยียนถูกเปิดเผย มู่เหวินจิ้งกลับไม่ล้มเลิกความตั้งใจที่สังหารบิดาของนาง
เมื่อตัดหัวมังกรได้สำเร็จก็ร่วมดื่มฉลองต่อชัยชนะของตนอย่างไม่คิดถึงความรู้สึกของภรรยา กระทั่งนางจบชีวิตของตัวเอง มู่เหวินจิ้งก็หาได้รู้สึกเสียใจไม่
ช่างเป็นชายที่ไร้หัวจิตหัวใจจนไม่อยากเข้าใกล้ ใจดำอำมหิตนัก!
“ข้าวางถังไม้และผ้าเช็ดตัวไว้ตรงนั้น”
“ไหนเจ้าบอกจะเช็ดตัวให้ข้า”
“ข้าเปลี่ยนใจแล้ว”
“ข้าทำอะไรผิดงั้นหรือ”
“...”
“เจ้ายังอยู่หรือไม่”
เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบกลับ มู่เหวินจิ้งก็ก้มหน้าเศร้า แม้จมูกจะยังได้กลิ่นหอมๆ ทำให้รู้ว่าอวี่เยียนไม่ได้เดินออกไปไหนก็ตามที ทว่ากลับรู้สึกว่านางอยู่ห่างเกินมือจะเอื้อมถึง
“ข้าไม่รู้ว่าข้าทำอะไรให้เจ้าไม่พอใจ ข้า...ข้าขอโทษ”
อวี่เยียนตัวแข็งทื่อในทันใด นี่ข้าไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม มู่เหวินจิ้งขอโทษข้าหรือ?
มือใหญ่คว้านหาถังไม้และผ้าเพื่อมาเช็ดชำระกาย เสื้อตัวนอกถูกถอดออก เผยให้เห็นกล้ามอกและหน้าท้องเนื้อแน่น อวี่เยียนลอบกลืนน้ำลาย ใบหน้าขึ้นสีแดงเล็กน้อย
การกระทำของมู่เหวินจิ้งราวกับกำลังยั่วเย้าอวี่เยียนอยู่อย่างไรอย่างนั้น สีหน้าและการถูผ้าไปบนเรือนร่างนั้น มันช่าง...
อ๊าก!!! ทนไม่ไหวแล้ว
อวี่เยียนวิ่งกระโจนออกจากห้องไปอย่างเร็ว มู่เหวินจิ้งหลุดหัวเราะ ฉีกยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดีที่ได้แกล้งหญิงสาว
หัวใจของอวี่เยียนเต้นแรงจนแทบจะกระเด็นออกมานอกอก ยามปกติก็ว่ามีเสน่ห์มากอยู่แล้ว ยิ่งถอดเสื้อและทำท่าทางเช่นนั้น สู้เอามีดมาแทงนางเลยดีกว่า!
ผ่านไปครู่ใหญ่หลังจากปิดประตูหน้าต่างเรียบร้อย อวี่เยียนจึงค่อยย่องมาดูมู่เหวินจิ้งที่ห้อง เห็นคนตัวใหญ่ใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย นอนตะแคงข้างอยู่บนเตียงก็ถอนหายใจเบาๆ
อวี่เยียนเดินเข้ามาตรวจดูหน้าต่างและดับไฟที่ตะเกียง แต่ขณะกำลังจะเดินออก ปลายเท้ากลับสัมผัสถึงความนุ่มนิ่มของอะไรบางอย่าง เมื่อก้มลงหยิบขึ้นมาดูจึงพบว่าเป็นผ้าห่ม
ทำไมผ้าห่มมาอยู่ตรงนี้?
อวี่เยียนชำเลืองมองไปทางมู่เหวินจิ้ง เห็นบุรุษนอนคุดคู้อยู่บนเตียงก็ขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ เมื่อครู่เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเขานอนห่มผ้า แต่แล้วทำไม...
ด้วยเพราะไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นแผนการเจ้าเล่ห์หลอกกินเต้าหู้นางแต่อย่างใด ร่างเล็กที่กำลังห่มผ้าให้บุรุษพลันถูกดึงเข้าไปกอดทันที
“ปล่อยข้านะ! มู่เหวินจิ้ง! ปล่อยสิ!”
มู่เหวินจิ้งยกยิ้ม กระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น ซุกหน้าลงข้างซอกคอของคนตัวเล็ก สูดกลิ่นหอมที่ตนโปรดปราน กระซิบบอกอวี่เยียนเบาๆ “ขอนอนแบบนี้สักคืน แล้วข้าสัญญาจะไม่กวนใจเจ้าอีก”