เรื่องราวในนิยาย
แม้ในวังหลวงจะมีเรื่องน่ายินดีเกิดขึ้นมากมาย หากแต่ไม่มีเรื่องใดทำให้บุรุษอิ่มเอมใจเท่ากับการได้รู้ว่าตนกำลังจะได้กลายเป็นพ่อ
ฮ่องเต้หลงหนิงยืนตะลึงงันปากสั่นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบก้าวเท้ายาวๆ เข้าไปในห้องบรรทมของพระสนม สตรีใบหน้างดงามชวนมองสะลึมสะลือตื่นขึ้นพลางยันตัวลุกขึ้นช้าๆ ฮ่องเต้ที่เห็นดังนั้นร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจรีบเข้าไปพยุงสนมรักของตนโดยเร็ว
“เจ้าจะรีบขยับตัวไปไหน หากกระทบถึงลูกในท้องจะทำอย่างไร” ฮ่องเต้หลงหนิงตำหนิเสียงดุ สายตาจับจ้องไปที่หน้าท้องของสตรีไม่วางตา “ขอบใจเจ้านะลี่จู เจ้าทำให้ข้ามีความสุขยิ่งนัก”
ฮ่องเต้ฉีกยิ้มกว้าง รู้สึกหางตาของตนเริ่มร้อนผ่าว พยายามสะกดกลั้นน้ำตาแห่งความดีใจไว้
“นับเป็นเกียรติของหม่อมฉันมากเพคะ” สนมลี่กล่าวอย่างนอบน้อม ขณะฝ่ามือสัมผัสที่หน้าท้องของตนอย่างรักใคร่ สายตาก็เหลือบมองฮ่องเต้ด้วยความปลื้มปีติไม่ต่างกัน
เด็กน้อยช่างมีวาสนา ครั้นยังไม่ทันได้ลืมตาดูโลกก็ถือเป็นผู้มียศถาสูงส่ง ได้รับความรักและเมตตาจากองค์จักรพรรดิอย่างเหลือล้น ทั่วฟ้าประชาราษฎร์ต่างตั้งหน้าตั้งตารอวันที่จะได้ยลโฉมองค์ชายหรือองค์หญิงน้อยซึ่งรอวันถือกำเนิด
เวลาผ่านเลยจากวันเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์เป็นหลายเดือน ในที่สุดวันที่ทุกคนเฝ้ารอก็มาถึง ขณะดวงอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้า เสียงร้องแรกของชีวิตแรกเกิดก็ดังขึ้น เป็นเสียงไพเราะดังกังวานราวเสียงพิณบรรเลงจากสวรรค์ก็มิปาน
ฮ่องเต้หลงหนิงที่เดินวนไปมาแทบจะตลอดวันร้องตะโกนด้วยความดีใจ ทรงไม่รอให้สาวใช้หรือหมอหลวงออกมาทูลบอกสิ่งใดทั้งสิ้น ร่างใหญ่ปรี่เข้าไปภายในห้องทำคลอดก่อนนั่งลงข้างเตียงของสนมลี่ กุมมือเล็กที่อ่อนแรงขึ้นแนบอกพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ลูกคลอดแล้ว ลี่จู ลูกของเราคลอดแล้ว”
แต่สตรีไม่ได้เอ่ยตอบแต่อย่างใด ดวงตานั้นปิดสนิท ร่างกายขาวซีดคล้ายไม่มีสีของเลือดเลยสักนิด มือและเท้าเย็นเฉียบไม่มีทีท่าจะขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย
“ลี่จู ลี่จู เจ้าเป็นอะไร ทำไมไม่ตอบข้า”
ความกลัวพลันจู่โจมเข้าใส่ หัวใจของฮ่องเต้หลงหนิงคล้ายกลับจะหยุดเต้นลงทุกขณะ ครั้นจะหันไปถามกับบรรดาหมอหลวงกลับเห็นพวกเขานั่งคุกเข่า ก้มศีรษะลงติดพื้นพร้อมกล่าวถ้อยคำที่เป็นดั่งคมดาบที่พุ่งทะลุผ่านร่างของเขาไป
“ฝ่าบาท... พระสนมจากพวกเราไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หลงหนิงส่ายพระพักตร์ไม่เชื่อกับสิ่งที่หมอหลวงทูลบอก รีบหันกลับมามองร่างของสตรีพลางเขย่าร่างบางไปมาราวคนเสียสติ “ไม่จริง! เจ้ายังไม่ตาย ลี่จู เจ้ายังไม่ตาย เจ้าอย่าทำเช่นนี้กับข้า อย่าทิ้งข้าไป ลี่จู!!”
มือใหญ่โอบร่างหญิงคนรักขึ้นแนบอกพลางแผดเสียงคำรามอย่างไม่ยอมรับความจริง
ความยินดีแปรเปลี่ยนเป็นความเจ็บปวดแสนสาหัส นัยน์ตาเต็มไปด้วยความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว ความทุกข์ระทมแทรกซึมอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก กระทั่งหันไปมองห่อผ้าที่ขยับไปมาอยู่ในอ้อมแขนของสาวใช้นางหนึ่ง หัวใจพลันเจ็บแปลบขึ้นมาในทันใด
บุรุษลุกพรวดขึ้น ก่อนพุ่งตัวเข้าไปบีบคอของทารกน้อยไว้
“ฝ่าบาทโปรดเมตตา! ฝ่าบาทโปรดเมตตา!”
“ฝ่าบาทโปรดเมตตา! ไว้ชีวิตองค์หญิงน้อยด้วยเพคะฝ่าบาท!” เสียงร้องขอความเมตตาดังกึกก้องไปทั่วตำหนักใหญ่ เหล่าบ่าวไพร่รีบคุกเข่าและโขกศีรษะของตนซ้ำๆ ขอร้องให้ฮ่องเต้หลงหนิงโปรดระงับโทสะ
บุรุษเพิ่มแรงที่มือของตนเข้าไปอีก ดวงตาของเขาแดงก่ำด้วยความโกรธอย่างถึงที่สุด
มันพรากสตรีที่เขารักที่สุดไป!! มันต้องชดใช้!!
ทารกน้อยสะดุ้งตัวตื่น ดวงตากลมโตมองมาทางฮ่องเต้หลงหนิงราวกับรู้ว่าเขาคือบิดาของตน ปากเล็กค่อยๆ อ้าออกกว้าง ดวงตาค่อยหรี่เล็กลงจนคล้ายรูปพระจันทร์เสี้ยว
ทารกน้อยกำลังยิ้มให้เขา
ฮ่องเต้หลงหนิงรีบชักมือของตนกลับโดยเร็ว ร่างกายของเขาสั่นเทิ้มจนแทบจะพยุงตัวเองไม่อยู่ สองมือกำหมัดแน่นพลางสูดลมหายใจเข้าออก “เอามันไปให้พ้นหน้าข้าเดี๋ยวนี้!! ข้าไม่อยากเห็นหน้ามัน!!”
ชะตาที่พลิกผันจากจุดที่สูงสุดลงมายังจุดที่ต่ำที่สุด แม้ทารกน้อยจะรอดชีวิตมาได้ แต่ก็ใช่ว่าจะมีชีวิตสุขสบายอย่างที่หลายคนคิด นางถูกเลี้ยงดูอย่างหลบซ่อนอยู่ที่ตำหนักท้ายวัง ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมพิธีการหรือเข้าเฝ้าฮ่องเต้ผู้เป็นบิดาเลยสักครั้ง โชคยังดีที่ก่อนมารดาจะสิ้นใจ นางได้กล่าวสั่งเสียกับสาวใช้คนสนิท ตั้งชื่อทารกน้อยว่า อวี่เยียน
องค์หญิงน้อยเติบโตเป็นเด็กสาวรูปโฉมงดงาม ถอดแบบมาจากพระสนมลี่อย่างไม่มีผิดเพี้ยน กิริยามารยาทอ่อนช้อยงดงาม อีกทั้งสติปัญญายังจัดว่าฉลาดเฉลียวมิน้อย
ทว่าราวกับเคราะห์ซ้ำกรรมซัด แม้จะอยู่อย่างสงบไม่ยุ่งเกี่ยวกับใครมานานหลายปี กลับมีคำทำนายจากนักปราชญ์ผู้หนึ่งกล่าวหาว่าอวี่เยียนจะนำหายนะมาสู่ราชวงศ์ ถึงขนาดดับพระชนม์ชีพและโค่นล้มราชบัลลังก์ของฮ่องเต้หลงหนิง
แต่เดิมก็เกลียดชังบุตรสาวผู้นี้มากอยู่แล้ว พอมีคำทำนายเช่นนี้ออกมาอีกก็ยิ่งทวีความขุ่นเคืองในใจให้มากขึ้นเป็นเท่าตัว ฮ่องเต้หลงหนิงจึงมีราชโองการเนรเทศอวี่เยียนที่ตอนนั้นเพิ่งจะย่างเข้าวัยสิบเอ็ดปีให้ออกไปจากวังหลวง ทั้งยังถอดยศนางออกจากตำแหน่งองค์หญิง สั่งให้ไปใช้ชีวิตอยู่เยี่ยงคนธรรมดาสามัญ และอย่าได้คิดจะเฉียดเข้าใกล้วังหลวงเด็ดขาด มิเช่นนั้นเขาผู้นี้จะเป็นคนสังหารนางด้วยมือของเขาเอง
องค์หญิงผู้อาภัพต้องผจญและใช้ชีวิตอย่างแร้งแค้น หากแต่ด้วยหัวใจที่เข้มแข็งไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา หญิงสาวก็ฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ มาได้
กระทั่งวันหนึ่ง ขณะอวี่เยียนออกไปเดินเก็บของป่าอยู่นั่นเอง นางได้บังเอิญไปพบบุรุษบาดเจ็บนอนสลบอยู่ หลังจากเข้าช่วยและดูแลจนเขาฟื้น ก็พบว่าดวงตาของบุรุษนั้นมืดบอดสนิททั้งสองข้าง
ด้วยความสงสารและเห็นใจในโชคชะตาที่โหดร้ายของชายหนุ่มเฉกเช่นตนเอง อวี่เยียนจึงอาสาดูแลเขา ความใกล้ชิดเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกดีละน้อย อวี่เยียนตกเป็นทาสของความรัก เที่ยวเสาะแสวงหาสมุนไพรหายากมารักษาตาให้ชายคนรัก จนตัวเองถึงกลับยอมเสียกระดูกขาไปหนึ่งข้างเพื่อให้ได้มาซึ่งสมุนไพรวิเศษ
ครั้นดวงตาสามารถกลับมามองเห็นได้เหมือนเดิม บุรุษจึงยอมบอกฐานะที่แท้จริงแก่อวี่เยียน ว่าแท้ที่จริงตนมีนามว่า มู่เหวินจิ้ง หรือตามบรรดาศักดิ์ที่ใครๆ ต่างเรียก ท่านจื่อ ขุนนางลำดับสูง ตำแหน่งเจ้ากรมกลาโหม มีหน้าที่ควบคุมดูแลทหารในกองทัพ หรือบางครั้งก็รับหน้าที่เป็นแม่ทัพใหญ่ จับดาบนำทัพออกรบด้วยตนเอง
ความเก่งกาจและมีอำนาจมากนี้เอง ทำให้ไปขวางหูขวางตาผู้มีอำนาจในราชสำนัก จนนำมาสู่เหตุลอบสังหารโหดที่เกือบพรากลมหายใจสุดท้ายของชายหนุ่มไป
หนี้บุญคุณที่ติดค้าง ทำให้มู่เหวินจิ้งคิดอยากตอบแทนความดีของอวี่เยียน โดยการตบแต่งนางเป็นภรรยาที่ถูกต้องของเขา
จากหญิงสาวชาวบ้านหวนคืนสู่ตำแหน่งฮูหยินสกุลมู่ คล้ายว่าชีวิตจะกลับตาลปัตรอีกครั้ง ทว่าชีวิตหลังแต่งงานหาได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ อวี่เยียนจำต้องรับมือกับสตรีที่หมายจะเข้ามาแทรกแซงชีวิตคู่ของนาง ไหนเลยจะมีแม่สามีจอมบ่งการที่ดูแคลนและไม่ยอมรับนางเป็นสะใภ้
ชีวิตที่เหมือนตกนรกทั้งเป็น ยังไม่เท่ากับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ ความแค้นที่สุ่มอยู่ในอกไม่อาจเลือนหายได้โดยง่าย มู่เหวินจิ้งยังคงวางแผนและหาทางแก้แค้นคนที่คิดสังหารเขา และคนผู้นั้นก็คือฮ่องเต้หลงหนิง บิดาของอวี่เยียนนั่นเอง
ด้วยความที่ตั้งมั่นอยู่ในความดี ไม่เคยคิดริษยาหรือแค้นเคืองผู้ใด ไฉนเลยโชคชะตาถึงกลั่นแกล้งนางไม่เลิกเช่นนี้
อวี่เยียนกลายเป็นคนที่หยิบยื่นความตายให้ฮ่องเต้หลงหนิงโดยมิได้ตั้งใจ หัวใจของนางแตกสลาย และชั่วชีวิตนี้ก็คงไม่อาจให้อภัยตัวเองได้ หากวันนั้นนางไม่ช่วยชีวิตมู่เหวินจิ้ง บิดาก็คงไม่ต้องมาจบชีวิตอย่างอนาถเช่นนี้
ความตาย เป็นทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่ เป็นทางเดียวที่จะทำให้นางหลุดพ้นจากความผิดบาปภายในใจ
และนั่นก็คือบทสรุปแสนเศร้า โศกนาฏกรรมเลวร้ายในนิยาย ซึ่งฮิตติดอันดับขายดีตั้งแต่เดือนแรกที่วางจำหน่าย
อวี่เยียน โฉมสะคราญล่มบัลลังก์
อวี่เยียนช่างเป็นหญิงที่โชคร้ายนัก เป็นความผิดนางหรือที่เกิดมาแล้วทำให้มารดาของตนต้องตาย หากเลือกได้นางคงไม่อยากเป็นกำพร้าเช่นนี้หรอก ความดีที่สู้อุตส่าห์ทำ สุดท้ายก็ไร้ค่าเพราะอย่างไรเสียนางก็เป็นต้นเหตุให้บิดาของตัวเองต้องถูกสังหารจากน้ำมือของชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของนางเอง
ความทรงจำมากมายทำหญิงสาวจำต้องยกมือขึ้นก่ายหน้าผากอย่างเสียไม่ได้ ร่างเล็กเอนตัวนั่งกับเก้าอี้ไม้ไผ่ หางตาเหลือบมองบุรุษที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง อกของเขายังคงกระเพื่อมขึ้นลง เป็นสัญญาณบ่งบอกว่ายังมีชีวิตอยู่
นี่ก็ผ่านมาจะสามวันแล้ว ทว่าพระเอกของเรื่องก็ยังไม่ยอมตื่นเสียที หญิงสาวที่เฝ้าดูแลได้แต่ถอนหายใจอย่างอ่อนแรง รู้สึกปวดเมื่อยตามเนื้อตามตัวไปหมด ในหัวล่องลอยพลางครุ่นคิดว่าจะรับมือกับหนทางข้างหน้าต่อไปอย่างไรดี
จะปล่อยให้ชีวิตของตัวเองโลดแล่นไปตามบทที่ถูกเขียนไว้ หรือจะหาทางเอาตัวรอดและหนีไปใช้ชีวิตอย่างสงบที่ไหนสักแห่งดีหรือไม่
แต่มันก็คงไม่ง่ายขนาดนั้น เพราะเรื่องราวทั้งหมดถูกขับเคลื่อนโดยนางเอกของเรื่อง ซึ่งก็คือตัวของเธอเอง
หญิงสาวนักศึกษาปีสี่ที่เพิ่งจะเรียนจบ แต่ยังไม่ทันจะได้เริ่มทำงานที่ไหน ก็เกิดเป็นลมวูบหมดสติไประหว่างกำลังดำน้ำดูปะการังกับกลุ่มทัวร์นรกแตกที่เกาะสวรรค์แห่งหนึ่ง
ครั้นรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาก็กลายเป็นตัวละครเอกในนิยายเรื่องโปรดของตัวเองซะอย่างนั้น ชีวิตช่างบ้าบอสิ้นดี!!!