บทที่ 2
หลี่เหยว่พยายามรักษาชื่อเสียงที่ดีงามของเธอในฐานะแม่เลี้ยงที่มีความเมตตาต่อลูกเลี้ยงมานานหลายปี เพื่อที่ลูกสาวของเธอซูหนิงจินจะสามารถแต่งงานไปอยู่กับครอบครัวที่ดีได้ ดังนั้นหลีเหว่ยเป็นคนให้ความสำคัญกับชื่อเสียงเป็นอย่างมาก เธอพยายามสร้างภาพลักษณ์ให้ชาวบ้านในหมู่บ้านหยางได้เห็นว่าเธอนั้นใจดีกับซูหนิงเหมยที่เป็นลูกเลี้ยงมากแค่ไหน แต่ในความเป็นจริงแล้วเธอมีวิธีการที่ทรมานหนิงเหมยลับหลังคนอื่นมากมาย
“หนิงเหมยอย่าโกรธพ่อของแกเลยพ่อของแกทำไปเพราะหวังดีกับแกนะ ไม่ว่าแกจะไม่พอใจพ่อของแกเรื่องอะไรพวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันกลับเข้าไปข้างในบ้านแล้วค่อยคุยกันเถอะ”
หลีเหว่ยรีบเดินออกมาตามซูหนิงเหมยด้วยใบหน้าที่แลดูเหมือนกังวลและห่วงใยลูกเลี้ยงของเธอเป็นอย่างมากพร้อมกับพูดกับหนิงเหมยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่ภายในใจของเธอกำลังสาปแช่งด่าหนิงเหมยด้วยความโกรธแค้น ทำไมหญิงสาวหน้าตายคนนี้ถึงต้องวิ่งร้องไห้ออกมานอกบ้านให้ชาวบ้านได้พบเห็นด้วยเช่นนี้ผู้คนในหมู่บ้านก็จะต้องนินทาว่าหล่อนเป็นแม่เลี้ยงรังแกลูกเลี้ยงนะสิ หลีเหว่ยจะไม่ยอมให้ชื่อเสียงที่ดีของเธอที่รักษาไว้มานานหลายปีถูกเด็กสาวตัวเหม็นคนนี้ทำลายได้เด็ดขาด
“ป้าหลีคุณก็พูดได้เพราะคุณต้องการให้พ่อขายฉันเพื่อส่งเสริมครอบคุณและลูกสาวของคุณ”
คำพูดของหนิงเหมยทำให้ผู้คนที่กำลังมุ่งอยู่เกิดความสงสัยอะไรคือขายลูกสาว ในยุคสังคมเท่าเทียมการขายลูกสาวเป็นเรื่องผิดกฎหมายไม่ใช่หรือถ้าหากมีคนไปร้องเรียนครอบครัวของซูห่าวซวนจะต้องได้รับการวิพากษ์วิจารณ์และลงโทษอย่างแน่นอน
หลีเหว่ยกำมือที่อยู่ในแขนเสื้อของเธอไว้แน่นด้วยความไม่พอใจเด็กผู้หญิงตัวเหม็นคนนี้กำลังพูดให้เธอกลายเป็นแม่เลี้ยงที่กำลังขายลูกเลี้ยงเพื่อส่งเสริมลูกตัวเองอย่างนั้นหรือ ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เด็กสาวที่โง่เขลาเช่นนี้กล้าต่อต้านเธอ
“หนิงเหมยคุณกำลังเข้าใจผิด ฉันจะปรึกษากับพ่อของคุณเรื่องงานแต่งงานของคุณอีกครั้งดีหรือไม่”
หลีเหว่ยพยายามมพูดจาเกลี้ยกล่อมหนิงเหมยเสียงอ่อนโยนเพื่อให้ทุกคนว่าเธอเป็นแม่เลี้ยงที่ตามใจลูกเลี้ยงมากแค่ไหน
“ป้าหลีคุณจะให้หนิงจินแต่งงานแทนฉันใช่ไหม?”
“ระ เรื่องนี้จะเป็นไปได้อย่างไรกันหนิงจินอายุน้อยกว่าเธอนะ”
หลีเหว่ยถลึงตามองซูหนิงเหมยด้วยความไม่พอใจที่่เด็กสาวตัวเหม็นไม่ยอมเชื่อฟังเธอเหมือนก่อน
“ฉันจำได้ว่าฉันเกิดก่อนหนิงจินแค่สามเดือนเองนะ”
ซูหนิงเหมยพูดอย่างไม่ยอมแพ้เธอจะไม่ยอมให้คนพวกนี้กำหนดอนาคตให้เธออีกต่อไป ถ้าเป็นเมื่อก่อนหลีเหว่ยพูดเช่นนี้ซูหนิงเหมยจะต้องตอบตกลงอย่างแน่นอน
“นั่นสิหลีเหว่ย ทุกวันนี้เป็นสังคมเท่าเทียมทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน ถึงแม้คุณจะเป็นแม่เลี้ยงของหนิงเหมยแต่ยังไงการบังคับให้ลูกสาวแต่งงานก็ถือเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายนะ”
สะใภ้จางหันมาพูดพร้อมกับจ้องมองหลีเหว่ยด้วยความอิจฉาครอบครัวของหลีเหว่ยเป็นครอบครัวที่มีความเป็นอยู่ดีกว่าทุกครอบครัวภายในหมู่บ้านหยางแห่งนี้ หลีเหว่ยถึงแม้จะต้องทำงานร่วมกับทุกคนในไร่นาแต่ก็ไม่ต้องรับผิดชอบทำงานในส่วนที่หนักเพื่อจะได้คะแนนงานจำนวนมากเพราะซูห่าวซานเป็นเจ้าหน้าที่ในโรงงานในอำเภอมีเงินเดือนหลายสิบหยวนประจำ หลี่เหว่ยที่เป็นภรรยาของเขาจึงไม่ต้องกังวลเรื่องความหิวของปากท้อง
“สะใภ้จางฉันไม่ได้ต้องการให้หนิงเหมยแต่งงานนะ แต่ห่าวซวนนะสิไม่ยอมฟังฉันเลย”
หลี่เหว่ยแสดงสีหน้าลำบากใจให้ทุกคนได้เห็นใจ
ครอบครัวซูเป็นครอบครัวใหญ่มีลูกหลายคนแต่ได้แยกบ้านกันเมื่อสองสามปีก่อน ซูห่าวอู๋ลูกชายคนโตแต่งงานกับหลี่เจียและอาศัยอยู่ที่บ้านหลังเก่ากับพ่อเฒ่าซูและแม่เฒ่าซู มีลูกด้วยกันสองคนคือหลิวหยางอายุยี่สิบสามปีแต่งงานแล้วและลูกสาวคนที่สองอี้อิงอายุสิบเจ็ดปี
ลูกชายคนที่สองซูหวังได้แยกออกไปสร้างบ้านอยู่เองกับภรรยาของเขาบนที่ดินที่ผู้นำทีมหมู่บ้านแบ่งให้มีบุตรสาวอายุยี่สิบปีแต่งงานแล้วและลูกชายคนเล็กคืออู๋ทงที่มีอายุสิบห้าปี ซูห่าวซวนเป็นลูกชายคนที่สามได้แยกออกมาสร้างบ้านอีกหลังเมื่อแต่งงานกับมารดาของหนิงเหมย
บ้านของซูห่าวซวนเป็นบ้านหลังค่ามุงกระเบื้องสี่ห้องซึ่งเป็นบ้านที่หลังใหญ่และดีที่สุดในหมู่บ้านในตอนนั้น แต่ผ่านมาสิบแปดปีบ้านก็เก่าไปตามกาลเวลาถึงแม้ในตอนนี้จะไม่ใช่บ้านที่ดีที่สุดแต่ก็ดีกว่าบ้านของชาวบ้านคนอื่น ๆ หลายครอบครัวในหมู่บ้าน
ถึงแม้จะแยกบ้านออกมาแล้วครอบครัวซูยังมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันและซู่ห่าวซวนลูกชายคนที่สามเคยเรียนหนังสือจึงได้เป็นลูกจ้างโรงงานที่อยู่ในเขตอำเภอทำให้พวกเขาได้รับเงินเดือนสิบห้าหยวนทุกเดือน
“ป้าหลีถ้าป้าไม่ต้องการให้ฉันแต่งงานแล้วป้าไปรับเงินสินสอดเจ้าสาวจากตระกูลกู้ทำไมตั้งสองร้อยหยวน”
สะใภ้จางและคนอื่น ๆ ที่ยืนดูความสนุกของบ้านคนอื่น เมื่อได้ยินว่าค่าสินสอดเจ้าสาวของซูหนิงเหมยมีจำนวนมากถึงสองร้อยหยวนก็พากันร้องอุทานด้วยความตกใจ ในยุคสมัยนี้มีครอบครัวไหนที่ได้ค่าสินสอดเจ้าสาวถึงสองร้อยหยวนบ้างราคานี้มันเป็นการขายลูกสาวชัด ๆ
ลูกสาวของผู้นำทีมหมู่บ้านที่เพิ่งจัดงานแต่งงานไปเมื่อปีก่อนค่าสินสอดเจ้าสาวที่บ้านสามีมอบให้คือสามสิบหยวนแต่นั่นก็ถือว่ามากที่สุดแล้วสำหรับผู้คนในหมู่บ้านชนบทแห่งนี้ที่มีรายได้เดือนหนึ่งไม่ถึงห้าหยวน
“ระ เรื่องนี้ฉันไม่รู้เรื่องกับพ่อของคุณ พ่อของคุณเป็นคนตกลงกับตระกูลจางเองฉันเป็นแค่แม่เลี้ยงจะกล้าไปขัดใจพ่อของคุณได้ยังไงกัน”
หลี่เหว่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงอัดอั้นและน้อยอกน้อยใจ ทำให้ผู้หญิงที่มามุ่งดูต่างก็เบือนหน้าหนีเพราะไม่ชอบท่าทางเสแสร้งของหลี่เหว่ย
“ป้าหลี ป้าบอกว่าไม่รู้เรื่องแต่เมื่อหลายวันก่อนป้ากลับพาลูกทั้งสองคนของป้าเข้าไปในเมืองและนำเงินสินสอดเจ้าสาวของฉันไปซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้หนิงจิงและหวังหย่งส่วนฉันกลับได้ชุดเก่าของหนิงจิน”
ซูหนิงเหมยพูดด้วยน้ำเสียงสั่นไหวและดวงตาแดงก่ำสุดท้ายก็ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาด้วยความเสียใจและอัดอั้นตันใจกับการกระทำที่ไม่ได้รับความยุติธรรมจากแม่เลี้ยง เมื่อชาติก่อนเมื่อเธอรู้ว่าแม่เลี้ยงได้นำเงินสินสอดเจ้าสาวของเธอไปซื้อเสื้อผ้าให้หนิงจินเธอก็ไม่ไม่ได้ต่อต้านจึงทำให้เรื่องนี้เงียบไป แต่ซูหนิงเหมยได้เรียนรู้แล้วว่าเด็กที่ไม่ร้องไห้จะไม่ได้กินขนมดังนั้นชาตินี้เธอจะต้องแสดงให้ทุกคนเห็นถึงความยากลำบากของเธอ
สะใภ้ลู่และชาวบ้านทุกคนมองดูเสื้อผ้าของหนิงเหมยที่ทั้งเก่าและมีรอยขาดและรอยปะหลายแห่ง แถมร่างกายของหญิงสาวแลดูผอมแห้งกว่าหญิงสาวที่มีอายุเท่ากันเมื่อเทียบกับเด็กสาวของครอบครัวอื่น ทุกคนหันกลับไปมองดูเสื้อผ้าของหลี่เหว่ยที่เป็นชุดที่ตัดด้วยผ้าที่ใหม่ไม่มีรอยปะเหมือนกับเสื้อผ้าของพวกตนหลายคนที่อยู่ตรงนี้เลย
เรื่องเช่นนี้ถ้าหากไม่มีใครพูดก็แล้วไปเถอะแต่เมื่อทุกคนที่มุงดูอยู่ถูกคำพูดของหนิงเหมยกระตุ้นพวกเขาจึงได้มองเห็นความแตกต่างระหว่างเสื้อผ้าของตนเองและหลี่เหว่ย เมื่อทุกคนมองดูด้วยความแตกต่างระหว่างเสื้อผ้าของหนิงเหมยและแม่เลี้ยงก็เข้าใจเรื่องทุกอย่างในทันที
ช่างเป็นแม่เลี้ยงที่ใจร้ายยิ่งนักดูเหมือนว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมาหนิงเหมยคงจะถูกแม่เลี้ยงคนนี้ทรมานอย่างเงียบ ๆ มานานแล้ว
หลี่เหว่ยได้แต่กำมือแน่นไม่กล้าพูดอะไรออกไปเพราะตอนนี้ชาวบ้านที่มามุงดูเรื่องสนุกของครอบครัวคนอื่นกำลังให้ความสนใจเรื่องนี้อยู่
“หนิงเหมยเรื่องนี้คุณไปถามพ่อของคุณเองก็แล้วกัน”
หลี่เหว่ยจนปัญญาที่จะพูดเพราะเธอไม่ต้องการให้ชื่อเสียงของเธอที่สร้างมาด้วยความอยากลำบากต้องถูกทำลายในเวลานี้ เธออดทนเล่นบทแม่เลี้ยงที่แสนอ่อนโยนต่อหน้าพวกชาวบ้านมานานหลายปีจะให้ชื่อเสียงที่รักษาไว้ถูกทำลายไม่ได้
สิ่งที่หลี่เหว่ยทำทั้งหมดก็เพื่อให้หนิงจินผู้เป็นลูกสาวสามารถมองหาครอบครัวที่ดีในเมืองแต่งงานด้วย และหวังหย่งลูกชายคนเล็กของเธอในอนาคตต้องหาภรรยาที่มีครอบครัวที่ดีมาแต่งงานด้วย ในเวลานี้ถ้ามีข่าวลือออกไปว่าหลีเหว่ยเป็นแม่เลี้ยงที่รังแกลูกเลี้ยงจะมีครอบครัวไหนยอมให้บุตรสาวของพวกเขามาแต่งงานกับบุตรชายของเธออีก ถึงแม้จะบอกว่าเป็นสังคมเท่าเทียมแต่ก็ยังมีหลายครอบครัวที่พิจารณาถึงหน้าตาและชื่อเสียงของตระกูลประกอบด้วย
“ชีวิตของฉันตั้งแต่แม่ของฉันตายไปก็ไม่เคยได้กินอิ่มนอนหลับแม้แต่งานแต่งงานก็ถูกบังคับ ฉันจะมีชีวิตอยู่ไปทำไมสู้ฉันตายตามแม่ของฉันไปดีกว่า”
หนิงเหมยตะโกนร้องไห้โหยหวนด้วยน้ำเสียงที่เศร้าโศกด้วยความเสียใจก่อนที่จะแสร้งทำเป็นวิ่งพุ่งชนกำแพงรั้วบ้านเพื่อฆ่าตัวตาย แต่ความจริงแล้วซูหนิงเหมยไม่ได้ต้องการจะชนกำแพงจริง ๆ เธอแค่ต้องการเอาหัวโขกกำแพงพอเป็นพิธีให้ชาวบ้านเห็นว่าเธอต้องการตายจริง ๆ เพราะไม่ได้รับความยุติธรรม
แต่ดูเหมือนว่าสวรรค์จะไม่เข้าข้างเธอ เมื่อเท้าของหนิงเหมยที่กำลังวิ่งอยู่ได้เหยียบก้อนหินก้อนเล็ก ๆ เท้าของเธอลื่นไถลไปอย่างเร็วทำให้หนิงเหมยควบคุมตัวเองไม่ได้ ความเร็วที่พุ่งไปข้างหน้าทำให้หน้าผากของซูหนิงเหมยกระแทกเข้ากับกำแพงรั่วบ้านอย่างแรงเสียงดังขนาดที่ให้สะดุ้งด้วยความตกใจ
ชาวบ้านที่มุงอยู่ไม่สามารถคว้าตัวของหนิงเหมยไว้ได้ทันเพราะหญิงสาววิ่งเร็วเกินไป ด้วยความตกใจพวกเขาจึงได้แต่ยืนดูร่างของหนิงเหมยที่พุ่งเข้าหากำแพงรั้วบ้านด้วยความตกใจ
ตุบ!!!
แรงกระแทกทำให้หน้าผากของซูหนิงเหมยเจ็บจนชาไปหมดสมองของเธอคิดอะไรไม่ออกชั่วคราว ภายในหูได้ยินแต่เสียงวิง ๆ หนิงเหมยยืนมึนงงอยู่สักพักก่อนที่จะรู้สึกเหมือนมีน้ำเหนียว ๆ ไหลเข้าตา เธอยกมือข้างขวาขึ้นเช็ดก่อนที่จะก้มมองดูสีแดงสดของเลือดที่เปรอะเปื้อนอยู่บนฝ่ามือทำให้หนิงเหมยยืนตัวแข็ง
ดวงตาของหนิงเหมยจ้องมองดูเลือดที่อยู่บนฝ่ามือด้วยความตกใจ ในเวลาถัดมาอาการปวดและเจ็บที่ศีรษะทำให้หนิงเหมยรู้ว่าตอนนี้หน้าผากของเธอแตกเสียแล้ว หนิงเหมยเกิดอาการวิงเวียนศีรษะขึ้นแบบปัจจุบันทันด่วนเมื่อรู้ว่าแรงกระแทกทำให้หน้าผากแตกจนเลือดไหลออกเสียแล้ว
“ตายแล้วฆ่าคนตายแล้ว!!”
“มีคนตาย!! มีคนตายแล้ว!!”
ก่อนที่จะหมดสติภายในหูของซูหนิงเหมยได้ยินเสียงกรีดร้องของชาวบ้านกันดังระงม และรู้สึกเหมือนมีใครมารับตัวของเธอไว้ก่อนที่สติของซูหนิงเหมยจะดับลง
เกิดเหตุการณ์วุ่นวายขึ้นทันทีเมื่อซูหนิงเหมยเอาหัวโขกกำแพงเพื่อฆ่าตัวตาย เดือดร้อนถึงผู้อาวุโสของบ้านอย่างพ่อเฒ่าซูและแม่เฒ่าซูพวกเขาต้องมาดูแลหลานสาวที่ถูกพ่อแท้ ๆ และแม่เลี้ยงบีบบังคับจนต้องเอาหัวโขกกำแพงเพื่อหวังฆ่าตัวตายหนีความคับข้องใจ
ถึงแม้เรื่องงานแต่งงานของลูกหลานจะได้รับการจัดการจากพ่อแม่และความเห็นของผู้อาวุโสภายในบ้าน แต่ก็ไม่มีครอบครัวไหนที่บีบคั้นลูกหลานภายในครอบครัวของตนจนต้องฆ่าตัวตายเช่นนี้มาก่อน
ทำให้เรื่องราวของซูหนิงเหมยถูกพูดถึงไปทั่วทั้งหมู่บ้าน ทุกคนต่างจับกลุ่มวิจารณ์ครอบครัวของซูห่าวซวนที่บีบคั้นหญิงสาวดี ๆ อย่างซูหนิงเหมยให้ถึงทางตันของชีวิตจนต้องตัดสินใจฆ่าตัวตายเช่นนี้
เรื่องนี้ทำให้หลายครอบครัวในหมู่บ้านหยางรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมากกับการกระทำของครอบครัวซูห่าวซวน เพราะภายในครอบครัวของพวกเขายังมีลูกหลานอีกหลายคนที่ไม่ได้แต่งงานออกเรือน เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นภายในหมู่บ้านหากข่าวลือแพร่ไปถึงหมู่บ้านอื่น ๆ ต่อไปในอนาคตจะมีหมู่บ้านไหนยินยอมให้ลูกหลานของพวกเขาแต่งงานออกเรือนกับผู้ชายในหมู่บ้านหยางอีก
เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ทำให้หัวหน้าทีมหมู่บ้านร้อนใจเป็นอันมากจนต้องเดินทางมาเยี่ยมอาการบาดเจ็บของหนิงเหมยจนถึงบ้านของซูห่าวซวน และสั่งให้คนในหมู่บ้านไปตามหมอประจำสถานีสุขภาพมารักษาอาการบาดเจ็บของซูหนิงเหมยอย่างเร่งด่วน
เรื่องที่ซูหนิงเหมยถูกบีบคั้นจนวิ่งเอาหัวโขกกำแพงรั้วบ้านเพื่อฆ่าตัวตายถูกพูดไปทั่วทั้งหมู่บ้าน เมื่อทุกคนได้ฟังเรื่องนี้คนในหมู่บ้านล้วนส่ายหน้าถอนหายใจด้วยความสงสารหญิงสาว และต่างก็พูดกันว่าเมื่อไหร่ที่คุณมีแม่เลี้ยงพ่อแท้ ๆ ของคุณก็จะกลายเป็นพ่อเลี้ยงไปด้วยเช่นกัน ชีวิตของหนิงเหมยไม่ง่ายเลยที่จะมีชีวิตรอดมาได้ถึงวันนี้
ภายในหมู่บ้านห่างไกลจากในเมืองวิถีชีวิตของชาวบ้านจึงเรียบง่ายถึงแม้จะทำงานเป็นส่วนรวมแต่ทุกคนก็ช่วยกันอย่างขยันขันแข็งแม้จะมีเรื่องที่ต้องขัดแย้งกันบ้างแต่เรื่องราวก็จบลงด้วยการพูดคุยเพื่อเห็นแก่ความสัมพันธ์ หมู่บ้านหยางแห่งนี้ถือว่าเป็นหมู่บ้านที่สงบเรียบร้อยที่สุดทำให้ผู้นำทีมยินดีเป็นอย่างมาก