บทที่ 1
เสียงจักจั่นหน้าร้อนร้องเสียงดังหนวกหูจนทำให้ซูหนิงเหมยที่กำลังนอนหลับอยู่รู้สึกตัวตื่นขึ้น เธอรู้สึกว่าอากาศร้อนจนเหงื่อไหลแถมเสียงร้องของจักจั่นยังดังหนวกหูเป็นอย่างมาก ทำไมโรงพยาบาลถึงไม่สั่งให้เจ้าหน้าที่ไปจัดการแมลงพวกนี้ปล่อยให้มันมาร้องเสียงดังรบกวนคนป่วยอยู่ได้ ซูหนิงเหมยคิดอย่างโมโหที่ถูกเสียงร้องของจักจั่นรบกวนการนอนพักผ่อนของเธอ
หนิงเหมยหลับตาดึงผ้าห่มคลุมหัวด้วยความรำคาญเสียงร้องของแมลงหน้าร้อนที่กำลังส่งร้องเสียงดังอย่างมีคงามสุขด้วยความไม่ชอบใจ ภายในความคิดของเธอนึกถึงความเจ็บปวดครั้งสุดท้ายก่อนที่ตนเองจะหมดสติไปขึ้นมาได้จึงได้รู้สึกแปลกใจนี้เธอยังไม่ตายอีกหรือ หมอคงจะสามารถช่วยชีวิตของเธอไว้ได้อีกแล้วใช่ไหมหนิงเหมยถอนหายใจอีกครั้งมันจะเป็นโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ที่เธอรอดจากความตายอีกครั้ง
แต่เดี๋ยวก่อนนะเสียงจักจั่นร้องอย่างนั้นหรือ ช่วงนี้มันเป็นฤดูหนาวไม่ใช่หรือทำไมมีเสียงจักจั่นร้องหรือว่าเธอสลบไปนานจนถึงหน้าร้อน หรือว่าเสียงที่ได้ยินจะมีคนเปิดเครื่องเสียงหรือเปิดทีวีไว้แต่ภายในห้องผู้ป่วยของเธอไม่มีทีวีไม่มีเครื่องเสียงแล้วเสียงจักจั่นมันมาจากไหนกัน
ในตอนนั้นซูหนิงเหมยจำได้อย่างแม่นยำว่าวิญญาณของเธอออกจากร่างแล้ว แถมเธอเห็นร่างของตัวเองถูกไฟเผาจนไหม้เหลือแต่ขี้เถ้าไปกับตาแล้วทำไมตอนนี้เธอถึงมานอนอยู่บนเตียงได้หรือว่าเธอกำลังฝันอยู่
เมื่อคิดถึงความเป็นจริงเรื่องที่ตนเองกำลังเผชิญอยู่ ซูหนิงเหมยผุดลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วก่อนจะกวาดสายตามองภายในห้องสี่เหลี่ยมที่ตนเองอาศัยอยู่ สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าแทนที่จะเป็นผนังสีขาวสะอาดตาของห้องพักผู้ป่วยภายในโรงพยาบาล กลับกลายเป็นผนังปูนที่ก่อหยาบ ๆ เธอกวาดสายตามองไปรอบห้องอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
ห้องที่เธอกำลังอยู่ในตอนนี้ตรงปลายเตียงมีตู้เสื้อผ้าเก่า ๆ ที่ทำจากไม้ตั้งอยู่ หน้าต่างมีผ้าม่านสีเขียวแขวนปิดบังไว้ตรงบริเวณข้างหน้าต่างมีโต๊ะตั้งอยู่หนึ่งตัวพร้อมเก้าอี้ตัวเก่า ๆ วางอยู่ด้วยกัน
ซูหนิงเหมยจ้องมองสิ่งที่ตัวเองมองเห็นด้วยความมึนงงและสับสน ทำไมวิญญาณของเธอมาอยู่ที่นี่ได้ไม่ใช่ว่าถ้าคนเราตายครบสี่สิบเก้าวันจะได้ไปปรโลกไม่ใช่หรือยังไง คนเฒ่าคนแก่เคยบอกว่าวิญญาณต้องไปที่สะพานไน่เหอและดื่มน้ำแกงลืมเลือนของยายเมิ่งเพื่อจะได้ไปเกิดใหม่ไม่ใช่หรืออย่างไรแต่ทำไมเธอถึงมาอยู่ในสถานที่ในอดีตของตนเองเช่นนี้
หนิงเหมยจำได้ว่าห้องนี้มันเคยเป็นห้องนอนเก่าของเธอเมื่อหลายสิบปีก่อน เธออาศัยอยู่ห้องนอนนี้มานานก่อนที่จะแต่งงานออกไปและหลบหนีไปกับอี้เฉิน หลังจากที่หนิงเหมยหนีไปเธอก็ไม่เคยได้กลับมาที่ห้องของเธอในบ้านหลังนี้อีกตลอดชีวิต ซูหนิงเหมยจำได้ว่าผ้าม่านสีเขียวผืนนั้นมันเป็นผ้าม่านที่แม่เลี้ยงของเธอนำมาแขวนไว้ในห้องนอนของเธอเมื่อเธออายุครบสิบเจ็ดปี
มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ซูหนิงเหมยจำได้ว่าตัวเองตายไปแล้วเธอยังจำช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตได้เป็นอย่างดี ความเจ็บปวดทรมานจากยาพิษที่ร่างกายของเธอได้รับมาตลอดหลายปี มันทั้งเจ็บปวดและอึดอัดเหมือนร่างกายของเธอถูกเผาไหม้ด้วยไฟ
เมื่อซูหนิงเหมยตายไปแล้ววิญญาณยังคอยเฝ้าติดตามเฝ้าร่างของตัวเองอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งร่างของเธอถูกนำไปเผาและขี้เถ้ากระดูกของเธอถูกนำไปฝั่งที่สุสาน ความตายของเธอมีเพียงพี่ชายที่แสนดีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่แสดงความเสียใจอย่างแท้จริงส่วนคนพวกนั้นกลับมีความสุขในทรัพย์สินเงินทองที่เธอหามาอย่างยากลำบาก
ซูหนิงเหมยจำได้ว่าเมื่อเธอตายไปวิญญาณของเธอเฝ้าวนเวียนตามคนพวกนั้นด้วยความโกรธแค้น เมื่อได้รู้ว่าพวกนั้นทำอะไรกับเธอไว้บ้างวิญญาณของเธอร้องไห้ด้วยความเสียใจและโกรธตัวเองที่มีแต่ความโง่เขลาหลงเชื่อใจคนเลวพวกนั้นจนทำให้ตนเองต้องตายอย่างทรมาน ตลอดหลายสิบปีที่เธอเลอะเลือนคิดว่าคนพวกนั้นเป็นครอบครัวของตนเองอย่างจริงใจแต่พวกมันกลับเห็นเธอเป็นเพียงแรงงานทาสที่ต้องหาเงินไว้ให้พวกมันใช้จ่ายกันอย่างมีความสุข
เธอมองดูคนพวกนั้นใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินเงินทองของตนเองที่หามาจากการทำงานหนักตลอดชีวิตของเธอด้วยความโกรธแค้น แม้กระทั่งซูหนิงเหมยเสียชีวิตคนพวกนั้นยังสามารถได้ประโยชน์จากการตายของเธอเมื่อพวกมันเข้าครอบครองทรัพย์สินของเธออย่างหน้าไม่อาย
“หนิงเหมย หนิงเหมย ตื่นหรือยัง?”
เสียงเคาะประตูอยู่หน้าห้องนอนทำให้ซูหนิงเหมยได้สติขึ้นมาและหลุดออกจากภวังค์ความคิดของตัวเอง ทำไมถึงมีคนมาเคาะที่ประตูหน้าห้องไม่ใช่ว่าตอนนี้เธอกำลังอยู่ในความฝันของโลกหลังความตายไม่ใช่หรือ หรือภาพเหล่านี้มันเป็นภาพที่คนตายจะต้องเห็นเรื่องราวของตนเองในอดีตเสียก่อนแล้วค่อยเดินทางไปเกิดใหม่
เสียงเคาะประตูดังไม่หยุดอยู่หน้าห้องนอนทำให้ซูหนิงเหมยต้องลุกจากเตียงเดินไปเปิดประตู แต่คนที่อยู่หน้าประตูห้องนอนทำเธอต้องจ้องมองอีกฝ่ายอย่างตกตะลึง หนิงเหมยไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองกำลังเห็นคนที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าของเธอในเวลานี้คือหลีเหว่ยแม่เลี้ยงหน้าซื่อแต่ใจคดของเธอนั้นเอง
“ลูกสาวคนนี้ ทำไมทำหน้าเหมือนกำลังเห็นผีเช่นนั้นเป็นเพราะแกนอนมากเกินไปหรืออย่างไรกัน”
เสียงของคนที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าทำให้ซูหนิงเหมยรู้สึกถึงความผิดปกติ นี้ไม่ใช่ความฝันหรือแต่ทำไมมันเหมือนจริงมากเลย หรือว่าวิญญาณของเธอจะย้อนกลับมาในอดีตได้หนิงเหมยสับสนกับสิ่งที่กำลังเห็นอยู่ในตอนนี้
หนิงเหมยกวาดสายตามองไปทั่วอย่างรวดเร็วภายในบ้านมีสภาพเหมือนภาพในอดีตที่หนิงเหมยเคยจำได้อย่างรางเลือนในความทรงจำของเธอ ก่อนที่สายตาจะไปสะดุดอยู่ที่กระดาษปฏิทินแขวนไว้อยู่ข้างผนังบ้านที่มันบอกว่าวันนี้เป็นวันที่สิบแปดเดือนเจ็ดปีหนึ่งเก้าหกแปด ปีหนึ่งเก้าหกแปดมันเป็นปีหนึ่งเก้าหกแปดจริง ๆ หรือ
“หนิงเหมยพ่อของแกมีเรื่องสำคัญต้องการคุยด้วยรีบไปพบเร็วเข้า”
“อืม”
ซูหนิงเหมยส่งเสียงตอบรับอย่างเหม่อลอยเพราะกำลังตกใจกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้ เธอไม่มั่นใจว่าได้ย้อนเวลากลับมาอดีตจริงหรือเปล่าหรือเป็นเพียงภาพลวงตาที่เกิดขึ้นจากความเพ้อฝันของตัวเอง เธอเดินไปหาคนที่ตัวเองเรียกว่าพ่อที่กำลังนั่งรอเธออยู่โต๊ะใต้ต้นไม้ภายในลานบ้าน ถ้าจำไม่ผิดวันนี้จะเป็นวันที่พ่อพูดเรื่องที่ต้องการให้เธอแต่งงานกับครอบครัวจาง เพราะครอบครัวจางมาสู่ขอเธอด้วยจำนวนเงินสินสอดสองร้อยหยวน ด้วยราคาเจ้าสาวที่แสนแพงเช่นนี้ทำให้ครอบครัวสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้อีกหลายปี
“หนิงเหมยนั่งลงสิ”
หนิงเหมยทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้ที่อยู่ตรงข้ามกับคนที่ตนเองเรียกว่าพ่อ เมื่อสิบกว่าปีก่อนพ่อของเธอแต่งงานใหม่กับหลี่เหว่ยเมื่อแม่ผู้ให้กำเนิดหนิงเหมยตายไปเพียงหนึ่งเดือน เขาอดใจไม่ไหวที่จะพาหลีเหว่ยที่เป็นรักแรกของเขาเข้ามาอยู่ภายในบ้านแห่งนี้ทันทีหลังจากที่แม่ของเธอเสียชีวิต ในเวลานั้นหนิงเหมยอายุได้เพียงสามหรือสี่ขวบยังเป็นเด็กที่ไม่รู้ประสีประสาอะไร
มีคนเคยกล่าวไว้ว่าเมื่อคุณมีแม่เลี้ยงคุณจะได้พ่อเลี้ยงเป็นคำพูดที่ไม่เกินจริง นับตั้งแต่หลีเหว่ยเข้ามาอยู่บ้านหลังนี้พ่อของเธอไม่เคยสนใจเธอเลย เรื่องทุกอย่างภายในครอบครัวพ่อจะปล่อยให้หลีเหว่ยภรรยาคนใหม่เป็นคนจัดการตามความต้องการของหล่อนเสมอ
“ฉันเรียกแกมาจะพูดกับแกเรื่องแต่งงานกับตระกูลจาง”
“ฉันไม่อยากแต่งงาน”
“แกต้องแต่งงานเพราะฉันได้รับปากคนของตระกูลจางไว้แล้ว”
“ทำไมพ่อต้องให้ลูกสาวตัวเองแต่งงานแล้วเลี้ยงดูลูกสาวคนอื่นไว้ที่บ้านด้วย?”
ซูหนิงเหมยถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เธออยากจะถามพ่อมากที่สุดในชีวิตก่อนทำไมพ่อต้องยอมขายลูกสาวแท้ ๆ แล้วเลี้ยงดูลูกสาวของคนอื่นที่บ้าน
เพี๊ยะ!!!
แต่แทนที่เธอจะได้รับคำตอบที่ต้องการกลับเป็นฝ่ามือของคนเป็นพ่อที่ตบลงบนใบหน้าแทน ความเจ็บปวดบนแก้มข้างซ้ายที่โดนตบทำให้ซูหนิงเหมยได้สติว่านี้ไม่ใช่ความฝันอีกต่อไป สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้คือเรื่องจริงเธอได้ย้อนเวลากลับมาเมื่อตอนที่เธออายุได้สิบเจ็ดปีอีกครั้ง
“ฉันเป็นพ่อของแกฉันสั่งให้แกทำอะไรแกก็ต้องทำตามเข้าใจไหม?”
ซูห่าวซวนตวาดเสียงดังด้วยความโมโหเมื่อก่อนบุตรสาวคนโตของเขาเป็นคนว่านอนสอนง่ายไม่ว่าจะสั่งให้ทำอะไรหก็ตอบรับเสมอ วันนี้เป็นครั้งแรกที่บุตรสาวคนโตกล้าขึ้นเสียงกับตนทำให้ซูห่าวซวนไม่พอใจเป็นอย่างมากจึงได้ลงไม้ลงมือกับบุตรสาวด้วยความโกรธ
ชีวิตก่อนเป็นเพราะซูหนิงเหมยยอมให้คนพวกนี้มากเกินไปพวกมันถึงรังแกเธอจนตาย ถ้าชาตินี้ยอมให้พวกมันรังแกอีกเธอก็คงจะมีจุดจบเช่นเดิมเธอต้องทำอะไรสักอย่างจะไม่ยอมให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นอีกครั้ง
ซูหนิงเหมยยกมือปิดแก้มข้างที่โดนตบจนบวมผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่แล้ววิ่งออกจากประตูบ้านไปนอกบ้านอย่างรวดเร็วพร้อมกับส่งเสียงร้องไห้อย่างโหยหวนและเจ็บปวด เสียงร้องไห้ของเธอทำให้ชาวบ้านที่กำลังเดินจับกลุ่มกันกลับมาจากทุ่งนามองดูด้วยความสนใจ
ซูห่าวซวนมองดูหนิงเหมยวิ่งร้องไห้ออกไปด้วยใบหน้าดำคล้ำด้วยความโกรธและโมโห เพราะลูกสาววิ่งออกไปอย่างรวดเร็วทำให้ซูห่าวซวนห้ามไว้ไม่ทัน จึงได้แต่ด่าทอตามหลังของหนิงเหมยทำไมเด็กสาวตัวเหม็นคนนี้ต้องวิ่งออกไปนอกบ้านด้วยทำไมหล่อนไม่วิ่งเข้าไปร้องไห้ในห้องนอนเหมือนเมื่อก่อนเกิดอะไรขึ้นกับเด็กคนนี้ในวันนี้
“หนิงเหมยเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
เมื่อซูหนิงเหมยได้ยินเสียงร้องทักของผู้หญิงวัยกลางคนที่ถามเธอด้วยความเป็นห่วง เธอยิ่งส่งเสียงร้องไห้ด้วยความเสียใจดังขึ้นมากกว่าเดิม หนิงเหมยจำได้ว่าผู้หญิงคนนี้คือป้าลู่ที่อยู่ข้างบ้านของเธอ และยังมีคนในหมู่บ้านอีกจำนวนมากที่กำลังเดินกลับบ้านหลังจากทำงานในทุ่งทั้งวัน ทุกคนต่างเข้ามามุ่งดูด้วยความอยากรู้อยากเห็นเพราะได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กสาวดังมาก
“สะใภ้ลู่ใครเป็นอะไรทำไมถึงร้องไห้เหมือนกับมีคนตายเช่นนี้”
สะใภ้จางที่บ้านอยู่ถัดไปอีกสามหลังเดินผ่านมาจึงร้องถามป้าลู่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเมื่อเห็นว่าป้าลู่กำลังยืนอยู่กับเด็กสาวคนที่กำลังร้องไห้ก็ถามทันที
“เป็นหนิงเหมยลูกสาวคนโตของห่าวซวน ฉันก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไรเห็นวิ่งร้องไห้ออกมาจากในบ้าน”
“หนิงเหมยหยุดร้องไห้แล้วบอกป้ามาว่าแกร้องไห้ทำไม เกิดอะไรขึ้นที่บ้าน?”
ซูหนิงเหมยรอคำถามนี้อยู่แล้วจึงหยุดร้องไห้ เธอใช้หลังมือเช็ดน้ำตาก่อนที่จะตอบด้วยเสียงที่เจือไปด้วยเสียงสะอื้นอย่างน้อยใจว่า
“ป้าลู่พ่อของฉันต้องการให้ฉันแต่งงานกับตระกูลจาง เขาต้องการให้ฉันแต่งงานกับคนพิการ”
ซูหนิงเหมยพูดด้วยน้ำเสียงเศร้า ๆ ก่อนที่จะเอามือที่ข้างที่ปิดแก้มลงทำให้ทุกคนเห็นว่าใบหน้าของเด็กสาวบวมแดงเป็นรอยฝ่ามือ ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็ถอนหายใจด้วยความสงสารซูหนิงเหมย
“โอ้ ทำไมชายคนนั้นถึงตีคนที่ใบหน้า”
“นั้นสิ เขาตั้งใจจะทำให้ใบหน้าของหญิงสาวเป็นรอยแผลหรืออย่างไรกัน”
“อย่างที่มีคนพูดไว้ เมื่อคุณมีแม่เลี้ยงพ่อแท้ ๆ ของคุณก็จะกลายเป็ นพ่อเลี้ยงด้วยเหมือนกัน”
เสียงวิจารณ์ของชาวบ้านดังขึ้น ซูหนิงเหมยแอบซ่อนรอยยิ้มไว้อย่างสมใจนี้คือสิ่งที่เธอต้องการดูสิหลีเหยว่จะทำยังไงกับคำพูด คำนินทาของชาวบ้านที่มองหล่อนกลายเป็นแม่เลี้ยงใจร้ายไปแล้ว