บทที่ 3
ดังนั้นเรื่องที่หนิงเหมยฆ่าตัวตายจึงถือเป็นเรื่องราวใหญ่โตที่เกิดขึ้นภายในหมู่บ้านหยาง ทำให้หัวหน้าทีมหมู่บ้านรู้สึกหวาดกลัวและกังวลว่าเรื่องดังกล่าวจะทำให้ผู้นำระดับสูงของอำเภอเรียกตนเองไปตำหนิ ดังนั้นเขาจึงต้องการจัดการเรื่องของหนิงเหมย อย่างรอบคอบและรวดเร็วก่อนที่เบื้องบนจะให้ความสนใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในหมู่บ้านหยาง
เพราะหมู่บ้านหยางสงบมีความสงบมานานจนผู้นำทีมหมู่บ้านได้รับคำชมเชยจากเบื้องบนหลายครั้ง ไม่เหมือนทีมผลิตหมู่บ้านอื่นที่คนภายในหมู่บ้านสร้างปัญหาไม่เว้นแต่ละวัน แต่เมื่อเกิดเรื่องของซูหนิงเหมยทำให้หัวหน้าทีมหมู่บ้านรู้สึกปวดหัวเป็นอย่างมาก เพราะถ้าจัดการได้ไม่ดีอาจจะทำให้มีคนนำเรื่องนี้ไปรายงานต่อผู้นำระดับอำเภอ ทำให้ผู้นำทีมผลิตที่ดูแลหมู่บ้านอยู่ถูกเรียกไปตำหนิได้และจะกระทบถึงขั้นเงินเดือนและโบนัสที่ควรจะได้รับด้วย
ซูหนิงเหมยสลบไปหนึ่งคืนกับอีกครึ่งวันกว่าที่จะรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาจากอาการบาดเจ็บ เวลาผ่านไปแค่หนึ่งวันทำให้อาการบาดเจ็บที่ศีรษะของเธอยังคงปวดอยู่จึงจำต้องต้องฝืนตัวลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงด้วยความยากลำบาก
หลังจากที่นั่งทบทวนเหตุการณ์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นทั้งหมดทำให้หนิงเหมยมั่นใจแล้วว่าเวลานี้ตนเองได้ย้อนกลับมาช่วงเวลาที่อายุสิบแปดปีจริง ๆ ในยุคนี้ชาวบ้านต้องทำงานแลกคะแนนเพื่อปันส่วนของอาหารตามนโยบายของผู้นำประเทศ และการซื้อขายเพื่อเก็งกำไรถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายอย่างร้ายแรง ผู้คนที่มีความรู้ถูกนำออกมาวิจารณ์ทางการเมืองนักศึกษาที่มีความรู้จะถูกส่งตัวลงมาใช้แรงงานที่ชนบท
อาหารภายในประเทศขาดแคลนเพราะถูกควบคุมและจัดสรรปันส่วนโดยนโยบายอย่างเคร่งครัด สินค้าต่าง ๆ ถูกจำกัดและจำหน่ายโดยสหกรณ์ชุมชนของรัฐบาล ผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองไม่สามารถซื้อสินค้าหรืออาหารได้ถ้าไม่มีคูปองที่รัฐบาลแจกให้ ชาวบ้านที่เป็นชาวไร่ชาวนาที่ทำการเกษตรในชนบทไม่ได้รับผลกระทบมากเหมือนกับผู้คนที่ทำงานอยู่ในเมือง เพราะอย่างน้อยอยู่ที่ชนบทยังมีภูเขาและแม่น้ำที่พอจะหาอาหารประทังชีวิตได้บ้าง
แต่ชีวิตของหนิงเหมยชาติที่แล้วต้องอดมื้อกินมื้อเพราะเธอเชื่อน้องสาวอย่างหนิงจิน แอบหนีออกจากบ้านสามีหลังจากแต่งงานทำให้กลายเป็นคนไม่มีทะเบียนบ้านถ้าไม่มีทะเบียนบ้านผู้คนจะไม่สามารถทำงานหรือรับส่วนแบ่งของอาหารได้ เมื่อเธอหนีไปกับอี้เฉินอีกฝ่ายพาเธอไปอาศัยอยู่กับครอบครัวของย่าเขาที่อยู่ห่างไกลออกไปหลายร้อยกิโลเมตร ภายในครอบครัวนั้นเหมยหนิงต้องทำงานบ้านทุกอย่างที่สามารถทำได้แถมยังต้องทำงานรับจ้างใช้แรงงานทุกอย่างเพื่อหาเงินเลี้ยงดูครอบครัวของอี้เฉินอีกด้วย
ครอบครัวของย่าอี้เฉินไม่ชอบเธอทำให้หนิงเหมยใช้ชีวิตอยู่อย่างอยากลำบากเธอต้องอดทนต่อความลำบากนานถึงสิบกว่าปีกว่าเหตุการณ์ทุกอย่างจะคลีคลายและดีขึ้น ครั้งนี้ซูหนิงเหมยจะไม่ทำผิดพลาดเหมือนชีวิตที่ผ่านมาอีกเมื่อสวรรค์ให้โอกาสเธอเลือกทางเดินชีวิตอีกครั้งหนิงเหมยจะเลือกคนที่ดีกับเธอที่สุดอนาคตชีวิตของเธอต้องมีความสุข
“พี่สาว พี่สาวฉันเข้าไปนะ?”
เสียงเรียกพร้อมกับเสีเคาะประตูดังอยู่หน้าห้องนอนของเธอเสียงนี้ซูหนิงเหมยจำได้ไม่มีวันลืม มันคือเสียงของหนิงจินน้องสาวต่างแม่ที่เป็นดังดอกบัวขาวในชีวิตก่อนของเธอ เสียงเปิดประตูห้องนอนดังขึ้นอย่างถือวิสาสะโดยไม่รอให้หนิงเหมยผู้เป็นเจ้าของห้องเอ่ยปากอนุญาต
หนิงเหมยมองดูคนที่ก้าวเข้ามาภายในห้องนอนด้วยแววตาที่โกรธแค้น แทบอยากกระโดดลงจากเตียงไปบีบคอของหนิงจินให้ตายไปเสียเดียวนี้แต่ความตายดูเหมือนจะง่ายไปสำหรับผู้หญิงที่ชั่วร้ายเช่นนี้ เธอจะต้องค่อย ๆ แก้แค้นอย่างช้า ๆ ให้ทุกคนที่ติดค้างเธอได้รับรู้ถึงความเจ็บปวดและความอยากลำบากในชีวิตนี้ดูบ้าง
“พี่สาวฉันได้ยินแม่บอกว่าคุณพยายามจะฆ่าตัวตายเพราะไม่อยากแต่งงานกับคนพิการตระกูลจางใช่ไหม?”
ซูหนิงจินเดินเข้ามานั่งบนเตียงก่อนจะจับมือของคนบนเตียงไว้อย่างอ่อนโยน หนิงเหมยจ้องมองท่าทางเสแสร้งที่น่ารังเกียจของอีกฝ่ายอย่างขยะแขยงช่างเป็นน้องสาวที่แสดงได้ดีเสียจริง
“ใช่”
“พี่สาวพี่สาวไม่ต้องเสียใจฉันและพี่อี้เฉิงวางแผนไว้แล้ว พี่สาวเพียงแค่แกล้งทำเป็นยินยอมแต่งงานกับลูกชายคนที่สามของครอบครัวจางไปเท่านั้นอีกสามวันหลังจากงานแต่งงานไปแล้ว เมื่อพี่กลับมาเยี่ยมบ้านเดิมตามธรรมเนียมพี่อี้เฉินจะมารับพี่ที่ทางออกของหมู่บ้านในเวลาดึกและพาพี่สาวหนีไปอำเภอเพื่อขึ้นรถโดยสารไปอยู่หมู่บ้านของคุณย่าของพี่อี้เฉิน พอเวลาผ่านไปพี่อี้เฉิงได้งานที่โรงงานผลิตแล้วเขาจะพาพี่หนิงเหมยย้ายไปอยู่ด้วยกันที่จังหวัดสองคนถึงตอนนั้นพวกพี่สองคนต้องอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขอย่างแน่นอน”
เมื่อได้ฟังคำพูดของหนิงจินที่บอกเธอว่าอี้เฉินจะมาพาเธอหนีไปในคืนวันที่สามเหมือนชาติก่อน ซูหนิงเหมยอดยกยิ้มด้วยความสมเพชตนเองไม่ได้สายตาของเธอมีประกายความโกรธแค้นฉายผ่านออกมาเพียงเสี้ยววินาทีก่อนที่จะกลับมาเรียบนิ่งเหมือนเดิม
หนิงจินที่เห็นแววตาของซูหนิงเหมยที่มองเธอมีแต่ความเย็นชาและเกลียดชังจ้องมองดูเธอก็รูสึกตกใจ แต่พอเธอกะพริบตามองอีกทีแววตาของซูหนิงเหมยก็กลับมาเป็นปรกติเช่นเดิม
“อี้เฉินบอกเธอเช่นนั้น?”
“แน่นอนพี่อี้เฉินฝากฉันมาบอกพี่เช่นนี้ พี่สาวอย่าได้กังวลเลยลูกชายของครอบครัวจางขาพิการเขาไม่สามารถลงจากเตียงได้พี่อย่ากลัวมากเกินไป”
หนิงเหมยรู้สึกไม่พอใจที่หนิงจินพูดถึงผู้ชายของเธอว่าขาพิการ อีกฝ่ายแค่ได้รับบาดเจ็บที่ขาเพียงเล็กน้อยเท่านั้นพักรักษาตัวแค่ไม่กี่เดือนก็หายถึงแม้จะเดินเขยกไปบ้างแต่ก็สามารถเดินได้ไม่ได้พิการเดินไม่ได้อย่างที่ทุกคนพูด
หนิงเหมยคิดถึงท่าเดินที่ดูไม่มั่นคงของพี่ชายคนดีของเธอเมื่อได้พบกันอีกครั้งยามที่เธอป่วยอยู่โรงพยาบาลก่อนที่จะเสียชีวิต ถึงแม้ท่าทางเดินจะเป็นเช่นนั้นแต่อีกฝ่ายก็ยังมีใบหน้าที่น่ามองและบุคลิกสง่างามและน่าเกรงขามเหมือนเดิม
แม้จะไม่พอใจแต่ซูหนิงเหมยต้องอดทนเอาไว้ก่อนเพราะยังมีสิ่งที่ต้องการก่อนที่จะแต่งงานออกไปจากบ้านหลังนี้นั้นก็คือสมบัติส่วนตัวของแม่ผู้ให้กำเนิดเธอ เมื่อชาติก่อนเธอไม่รู้เรื่องสมบัติของมารดาผู้ให้กำเนิดปล่อยให้แม่เลี้ยงที่ไร้ยางอายนำมันไปใช้อย่างมีความสุข ชาตินี้อย่าได้หวังว่าเธอจะยอมปล่อยให้คนพวกนี้ได้สมบัติของแม่เธอไป หนิงเหมยต้องการจะทำลายโอกาสที่คนพวกนี้จะได้ใช้ชีวิตอย่างร่ำรวยด้วยสมบัติส่วนตัวของมารดาเธอ
“ฉันเข้าใจแล้ว น้องสาวออกไปก่อนเถอะฉันรู้สึกปวดหัวอยากจะนอนพัก”
ซูหนิงเหมยไล่หนิงจินผู้เป็นน้องสาวต่างมารดาด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า ในชาติก่อนเธอกับหนิงจินเป็นพี่สาวน้องสาวต่างมารดาที่รักใครกลมเกลียวกันเป็นอย่างมาก แต่ชาตินี้ซูหนิงเหมยได้รู้ความจริงทุกอย่างแล้วว่าทุกสิ่งที่หนิงจินทำกับเธอนั้นเป็นเพียงการเสแสร้งแกล้งทำเท่านั้น เมื่อรู้เช่นนี้แล้วหนิงเหมยจึงรู้สึกรังเกียจซูหนิงจินจนแทบจะอาเจียนจึงไม่มีใจที่จะแสดงละครพี่น้องรักใครกล่อมเกลียวกับซูหนิงจินอีกต่อไป
พวกเขาทุกคนใช้ประโยชน์จากสมบัติของมารดาผู้ให้กำเนิดเธออย่างมีความสุขแต่วางแผนที่จะตีกรอบบังคับหนิงเหมยที่เป็นลูกสาวเจ้าของสมบัติเหล่านั้นแถมยังไช้ประโยชน์จากทรัพย์สินของเธอหลังจากที่หนิงเหมยตายไปอย่างหน้าไม่อาย ชาตินี้อย่าได้หวังซูหนิงเหมยจะเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของเธอคืนมาให้หมด
ยี่สิบกว่าปีก่อนมารดาของซูหนิงเหมยชื่อว่าอี้หลินเป็นหญิงสาวที่เดินทางมาจากสถานที่อื่นไม่มีใครรู้ว่าอี้หลินเป็นใครมาจากไหนเข้ามาขออาศัยอยู่ภายในหมู่บ้านแห่งเพียงลำพัง ย่าของเธอคือหญิงชราซูเกิดถูกใจอยากให้ลูกชายคนที่สามแต่งงานกับมารดาของซูหนิงเหมย แต่ไม่ว่าจะส่งแม่สื่อไปสู่ขอกี่ครั้งอี้หลินก็ไม่ยินยอม สุดท้ายเมื่อรู้ว่าอี้หลินตั้งครรภ์หญิงชราซูจอมเจ้าเล่ห์จึงได้เที่ยวไปป่าวประกาศว่าเด็กในท้องอี้หลินเป็นลูกของซูห่าวซวนลูกชายคนที่สามของเธอ ไม่นานข่าวนี้ก็แพร่ไปเหมือนไฟลามทุ่งสุดท้ายแม่ของเธอจึงต้องจำใจแต่งงานกับซูห่าวซวน เรื่องนี้หนิงเหมยบังเอิญได้รู้หลังจากที่เธอตายไปและกลายเป็นวิญญาณคอยติดตามซูห่าวซวนด้วยความเกลียดชังเมื่อชาติก่อน
หนิงจินเดินออกจากห้องนอนของซูหนิงเหมยด้วยความไม่พอใจที่ถูกพี่สาวที่เคยตามใจเธอไล่ออกมา ปกติถ้าเธอพูดถึงอี้เฉินพี่สาวที่แสนจะโง่เขลาของเธอจะต้องยิ้มอย่างมีความสุขแต่วันนี้ทำไมถึงแตกต่างออกไป หรืออาจจะเป็นเพราะว่าหนิงเหมยไม่เต็มใจจะแต่งงานและศีรษะของหล่อนได้รับบาดเจ็บอยู่แน่ ๆ ปกติพี่สาวคนนี้ก็เป็นคนโง่อยู่แล้วแต่กลับวิ่งเอาหัวโขกกำแพงเช่นนี้ไม่ใช่จะกลายเป็นคนโง่หนักกว่าเดิมอีกหรือ
“หนิงเหมยตื่นหรือยังย่ามาหารีบออกมาเร็ว ๆ”
เสียงเรียกของหลี่เหว่ยดังอยู่ข้างนอกประตูห้องนอนทำให้ซูหนิงเหมยต้องพยุงตัวเองลุกขึ้นอย่างไม่พอใจก่อนที่จะเดินไปที่ประตูเพื่อออกไปหาผู้อาวุโสที่รออยู่ห้องรับแขก
“ปู่ ย่า ลุงหยางผิงพวกคุณต้องให้ความเป็นธรรมกับฉันนะค่ะ”
ซูหนิงเหมยทักทายผู้อาวุโสด้วยน้ำเสียงที่ดูอ่อนแอทำให้หยางผิงที่เป็นผู้นำทีมในหมู่บ้านรู้สึกสงสารและเห็นใจเด็กสาวมากขึ้น
หลังจากมีการปฏิวัติหยางผิงได้รับเลือกจากผู้นำให้ทำหน้าที่หัวหน้าทีมหมู่บ้านหยางเพราะพ่อของหยางผิงเคยเป็นหัวหน้าหมู่บ้านนี้มาก่อน เมื่อสิบแปดปีที่แล้วหยางผิงเป็นผู้ช่วยของบิดาได้รู้เรื่องราวของมารดาซูหนิงเหมยพอสมควรจึงได้แต่สงสารหนิงเหมยที่ตัวคนเดียวไม่มีญาติพี่น้องต้องถูกครอบครัวซูห่าวซวนบีบบังคับให้แต่งงานกับคนพิการ
“หนิงเหมยแกยังเห็นว่ากระดูกเก่า ๆ สองคนนี้เป็นปู่กับย่าของแกอยู่อีกหรือ แกกล้าทำเช่นนี้แกต้องการจะฝั่งครอบครัวซูลงหลุมไปพร้อมกันกับแกใช่ไหม แกยังจะต้องการความเป็นธรรมอะไรอีก”
เมื่อเห็นหนิงเหมยหญิงชราซูขว้างถ้วยชาพร้อมกับตะโกนด่าทอออกมาด้วยความไม่พอใจ ที่หญิงสาวตัวเหม็นคนนี้กล้าทำให้ชื่อเสียงของครอบครัวเสื่อมเสียชื่อเสียงเดินไปทางไหนจะต้องถูกผู้คนในหมู่บ้านนินทาและหัวเราะเยาะ
ซูหนิงเหมยจ้องมองผุ้อาวุโสทั้งสองด้วยดวงตาแดงก่ำก่อนที่จะทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าต่อหน้าคนทุกคนพร้อมกับโขกหัวกับพื้นเสียงดัง ทำให้ยายเฒ่าซูที่กำลังส่งเสียงดังเพื่อด่าทอต้องหยุดปากด้วยความตกใจ
“คุณปู่ คุณย่า หลานสาวคนนี้อกตัญญูยิ่งนักทำให้คุณทั้งสองต้องคอยเป็นห่วง และยังทำให้ชื่อเสียงของครอบครัวต้องหมัวหมองต่อไปในอนาคตลูกพี่ ลูกน้องที่จะแต่งงานออกไปคงจะได้รับความลำบากเพราะข่าวลือนี้”
ชาวบ้านที่ได้ข่าวว่าซูหนิงเหมยฟื้นแล้วต่างแวะมาเยี่ยม และเมื่อเห็นว่าผู้เฒ่าซูและยายเฒ่าซูมาที่บ้านของลูกชายคนที่สามทุกคนต่างมามุงดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ในเมื่อแกรู้อยู่แล้วแกยังจะทำไปทำไม”
หญิงชราซูถามเด็กสาวที่ยังนั่งคุกเข่าอยู่ที่ข้างหน้าตนด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ
“คุณย่าฉันทำไปเพราะน้อยใจพ่อของฉันที่บังคับให้ฉันแต่งงาน ในเวลานี้สังคมได้เปลี่ยนไปสู่สังคมใหม่การบังคับลูกสาวให้แต่งงานภายในครอบครัวถือเป็นเรื่องที่ผิด”
“แกไม่ต้องการแต่งงานอย่างนั้นหรือ?”
หญิงชราซูถามด้วยความไม่พอใจ แต่ไหนแต่ไรมาเรื่องแต่งงานของลูกสาวต้องเชื่อฟังพ่อแม่และแม่สื่อ หญิงสาวตัวเหม็นคนนี้ต้องการขัดคำสั่งพ่อแม่ทำให้หญิงชราซูไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“ย่าฉันเป็นลูกแท้ ๆ ของพ่อทำไมพ่อต้องบังคับให้ฉันแต่งงานออกจากบ้านไป แต่เขาต้องการให้ลูกเลี้ยงอยู่บ้านฉันอยากจะรู้ว่าฉันใช่ลูกแท้ ๆ ของพ่อจริงไหม”
ชาวบ้านที่มามุ่งดูความสนุกของครอบครัวซูร้องอุทานเสียงดัง เมื่อได้ยินว่าหนิงเหมยอาจจะไม่ใช่ลูกสาวแท้ ๆ ของซูห่าวซวน
ยายเฒ่าซูนิ่งอึ้งกับคำถามของซูหนิงเหมย หญิงสาวตัวเหม็นคนนี้กำลังพูดอะไรออกมาถ้าบอกว่าซูหนิงเหมยไม่ใช่ลูกสาวของซูห่าวซวน คนทั้งหมู่บ้านจะต้องรู้ว่าเธอโกหกเรื่องที่อี้หลินแม่ของหนิงเหมยตั้งครรภ์กับลูกคนที่สามนะสิ
“แกพูดจาเหลวไหลอะไรถ้าแกไม่ใช่ลูกของซูห่าวซวนแล้วแกจะเป็นลูกของใครได้อีกนังเด็กบ้าคนนี้พูดเรื่องไร้สาระทำให้คนอื่นเข้าใจผิดกันไปหมดแล้ว”
ยายเฒ่าซูตวาดเสียงดังและด่าทอด้วยน้ำเสียงที่แสดงอาการไม่พอใจเพื่อกลบเกลื่อนความจริงภายในใจ
“ย่าถ้าฉันเป็นลูกของพ่อจริง ๆ ทำไมพวกเขาถึงได้ปฏิบัติกับฉันแตกต่างจากหนิงจินและหวังหย่ง ฉันต้องสวมเสื้อผ้าเก่าที่หนิงจินไม่ต้องการเสมอ งานบ้านในครอบครัวฉันต้องเป็นคนทำทุกอย่างแม้แต่งานในไร่พ่อก็สั่งให้ฉันไปทำในส่วนของหนิงจินหรือว่าแท้จริงแล้วซูหนิงจินต่างหากที่เป็นลูกสาวแท้ ๆ ของพ่อ”