บทที่ 4
ซูหนิงเหมยกล่าวจบก็ส่งเสียงร้องไห้ด้วยความอัดอั้นตันใจ ชาวบ้านที่ได้ยินหนิงเหมยพูดต่างพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของหญิงสาว พวกเขาทุกคนในหมู่บ้านรู้ว่าซูห่าวซวนไม่เคยปล่อยให้หนิงจินไปทำงานใช้แรงงานกลางทุ่งเลย งานที่หัวหน้าทีมมอบหมายให้หนิงจินทำซูห่าวซวนจะออกคำสั่งให้หนิงเหมยทำแทนอีกฝ่ายเสมอ แต่นั่นก็เป็นเรื่องของครอบครัวคนอื่นพวกเขาจะพูดอะไรมากไม่ได้
“ฉันเคยเห็นหนิงเหมยทำงานในส่วนของหนิงจินที่ได้รับมอบหมายจากหัวหน้าทีมเสมอ”
“นั่นสินะแบบนี้มันลำเอียงชัด ๆ”
“หรือว่าหนิงเหมยจะไม่ใช่ลูกสาวแท้ ๆ ของซูห่าวซวนจริง ๆ ”
เสียงชาวบ้านที่มามุ่งดูเรื่องของบ้านคนอื่นต่างวิจารณ์กันด้วยความสงสัยทำให้หญิงชราซูเกิดความกังวล หญิงชราซูรู้อยู่แก่ใจว่าซูหนิงเหมยไม่ใช่ลูกสาวของซูห่าวซวนลูกชายคนที่สามของตนเอง
“พวกแกจะมาพูดเรื่องของบ้านคนอื่นไปทำไม ไม่มีการมีงานทำหรือยังไงกัน”
หญิงชราซูหันมาตวาดเสียงดังใส่ชาวบ้านที่กำลังโต้เถียงกันด้วยความร้อนใจอย่างโมโหและกังวลว่าคนอื่นจะรู้ความจริง
วันนี้มีผู้คนมาดูความวุ่นวายของครอบครัวซูห่าวซวนเป็นจำนวนมากเพราะเพิ่งผ่านฤดูเก็บเกี่ยวไปชาวบ้านจึงได้รับอนุญาตให้หหยุดพักหนึ่งวัน ก่อนที่พรุ่งนี้จะเริ่มไถดินเตรียมเพาะปลูกพืชอีกครั้งทุกคนในหมู่บ้านจึงมารวมตัวที่บ้านของครอบครัวซูกันเป็นจำนวนมาก
หนิงเหมยก้มหน้าทำท่าเช็ดน้ำตาแต่แท้ที่จริงแล้วกำลังรู้สึกพอใจกับผลลัพธ์ที่ได้ ในตอนนี้เสียงของชาวบ้านเข้าข้างเธอเพราะพวกเขาสงสารลูกกำพร้าที่ถูกแม่เลี้ยงรังแก
“แต่ซูห่าวซวนก็ลำเอียงจริง ๆ ทำให้ฉันเกือบจะคิดว่าคนที่เป็นลูกสาวแท้ ๆ ของห่าวซวนเป็นหนิงจินเสียอีก”
คำกล่าวของสะใภ้หลิวทำให้เสียงพูดของชาวบ้านอื้ออึ้งมีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับคำพูดนี้ ชาวบ้านจึงได้แบ่งออกเป็นสองฝ่ายเพื่อโต้เถียงกันด้วยความสงสัย
หญิงชราเห็นว่าชาวบ้านเริ่มพูดเสียงแตกเป็นสองฝ่ายและมีผู้ที่กำลังสงสัยในตัวตนของซูหนิงเหมยว่าใช่บุตรสาวแท้ ๆ ของบุตรชายคนที่สามของนางหรือไม่ ยายเฒ่าซูจึงได้ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นบ้านอย่างแรงและส่งเสียงร้องไห้โหยหวนด้วยความโศกเศร้าเสียใจเป็นอย่างมากเหมือนดังว่าผู้คนที่อยู่ตรงนี้กำลังรังแกหญิงชรา
“สวรรค์ตระกูลซูของข้าทำบาปทำกรรมอะไรไว้ ถึงได้มีหลานสาวอกตัญญูเช่นนี้ครอบครัวซูของเราเลี้ยงให้เติบโตแล้วยังไม่ต้องการรู้จักพ่อผู้ให้กำเนิด และยังต้องการทำลายชื่อเสียงของตระกูลซูของเราจนป่นปี้ไปหมดแล้วข้าไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกแล้ว”
เสียงร้องโหยหวนของหญิงชราทำให้ชาวบ้านที่กำลังโต้เถียงกันอยู่ต้องเงียบเสียงลงทันทีแล้วหันมาดูเรื่องสนุกของครอบครัวซูกันต่อ
หญิงชราร้องไห้ฟูมฟายน้ำตาไหลเต็มหน้าพร้อมกับตีอกชกลมเหมือนดังคนบ้า ทำให้ซูห่าวซวนผู้เป็นบุตรชายทนไม่ไหวต้องหันไปดุด่าหนิงเหมยผู้เป็นลูกสาวด้วยความโกรธเคือง
“แกเป็นพี่สาวคนโตต้องดูแลน้อง ๆ ในครอบครัวมันเป็นสิ่งที่สมควรทำอยู่แล้ว ทำไมแกต้องทำให้ย่าของแกต้องเสียใจด้วย”
ซูห่าวซวนที่นั่งเงียบอยู่บนเก้าอี้ชี้หน้าบุตรสาวคนโตด้วยความไม่พอใจที่ทำให้เรื่องวุ่นวายไปหมดเช่นนี้
“พ่อฉันดูแลน้อง ๆ ตั้งแต่ยังเด็กจนกระทั่งซูหลินจินอายุสิบเจ็ดปี จนถึงทุกวันนี้ป้าหลียังใช้ให้ฉันซักเสื้อผ้าของหลินจินอยู่เลย พ่อต้องการให้ฉันดูแลน้องสาวต่างสายเลือดคนนี้ไปจนตายหรืออย่างไรกัน”
ซูหนิงเหมยโต้เถียงด้วยน้ำเสียงสั่นเครือด้วยความน้อยใจในคำพูดของผู้เป็นบิดา
เสียงชาวบ้านอุทานอย่างไม่อยากจะเชื่อ ภายในหมู่บ้านแห่งนี้มีพี่สาวคนไหนจะต้องซักเสื้อผ้าให้น้องสาวที่มีอายุมากขนาดนี้กัน แค่บุตรสาวอายุห้าหกขวบชาวบ้านในหมู่บ้านก็ต้องสั่งสอนให้เรียนรู้ที่จะซักเสื้อผ้าของตนแล้ว
“พี่สาวฉันขอโทษที่ต้องให้คุณซักเสื้อผ้าให้เสมอ เพราะร่างกายของฉันไม่แข็งแรงจึงไม่สามารถทำงานหนักช่วยพี่สาวได้”
ซูหนิงจินขยับออกมากล่าวขอโทษซูเหมยหลินด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ดวงตาแดงก่ำด้วยความเสียใจเหมือนว่ากำลังถูกหนิงเหมยรังแกทำให้ชาวบ้านที่เห็นเช่นนั้นก็เกิดความรู้สึกสงสาร
“น้องสาวบอกว่าร่างกายไม่แข็งแต่กลับมีร่างกายอ้วนถ้วนสมบูรณ์กว่าฉันเสียอีก ดูแก้มของน้องสาวสิอวบอิ่มจนเป็นสีแดงเวลากินข้าวอาหารดี ๆ ก็ไปอยู่ในชามข้าวของน้องสาวและหวังหย่งจนหมดส่วนฉันที่เป็นลูกสาวคนโตต้องกินแต่ต้มผักป่าน้องสาวเธอสุขภาพไม่แข็งแรงหรือว่าขี้เกียจทำงานกันแน่”
หนิงเหมยโต้ตอบซูหนิงจินด้วยน้ำเสียงเศร้าโศกคิดจะใช้ท่าทางอ่อนแอขี้โรคมาเอาชนะเธอหรือฝันไปเถอะ
ผู้คนที่มุ่งอยู่มองดูซูหนิงจินและซูหนิงเหมยสลับกันไปมาอย่างพิจารณาก่อนที่จะพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของหนิงเหมยคนป่วยอะไรอวบอ้วนเช่นนี้ ในช่วงเวลาที่ยากลำบากหลายครอบครัวไม่สามารถเลี้ยงดูบุตรหลานให้สมบูรณ์ได้อย่างที่ควรจะเป็น ขอแค่ได้กินอิ่มครึ่งท้องก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่สุดแล้วในแต่ละครอบครัว
“พะ พี่สาวข้าป่วยจริง ๆ นะ”
“ป่วยที่ไหนฉันได้ยินซูหนิงจินพูดกับหลิวอี้ว่าขี้เกียจทำงานบ้านจึงได้แกล้งป่วย”
ซูอี้อิงที่เป็นลูกสาวคนที่สามของครอบครัวซูห่าวอู๋พี่ชายคนโตของซูห่าวซวนที่อยู่ยืนอยู่ข้าง ๆ หลี่เจี๋ยผู้เป็นมารดารีบพูดแทรกขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ ซูอี้อิงอิจฉาซูหนิงจินมานานแล้วที่ไม่ต้องทำงานบ้านและงานกลางทุ่งนาเหมือนกับพวกเธอทั้ง ๆ ที่ ซูหนิงจินเป็นเพียงลูกเลี้ยงที่ติดมากับอาสะใภ้สามไม่ใช่สายเลือดแท้ ๆ ของครอบครัวซูของเธอสักหน่อย
หนิงเหมยแอบยกยิ้มมุมปากอย่างยินดีซูอี้อิงลูกสาวของลุงใหญ่ไม่ชอบหน้าซูหลิงจินมานานแล้วทั้งสองคนเจอหน้ากันทีไรจะต้องพูดจากระทบกระเทียบโต้เถียงกันอยู่เสมอ
เมื่อเห็นว่าเรื่องราวกำลังจะกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตหลี่เหว่ยจึงได้ใช้มือสะกิดสีข้างของผู้เป็นสามีอย่างแรง ซูห่าวซวนเมื่อถูกภรรยาที่รักสะกิดจึงได้ส่งเสียงกระแอมเสียงดังเพื่อเรียกร้องความสนใจของผู้คนก่อนที่จะกล่าวว่า
“ซูหนิงเหมยเรื่องแต่งงานของแกกับบุตรชายคนที่สามของครอบครัวจางฉันได้รับปากไปแล้ว พรุ่งนี้แกต้องเตรียมตัวแต่งงานตามสัญญาที่ฉันได้ตกลงไว้อย่าทำให้ฉันต้องอับอายขายหน้าเพราะผิดความพูด”
ซูห่าวซวนพูดด้วยน้ำเสียงดุดันอย่างไม่พอใจที่บุตรสาวคนโตทำให้บ้านสามของตนได้กลายเป็นตัวตลกให้ผู้คนภายในหมู่บ้านนินทาลับหลัง เพราะหญิงสาวตัวเหม็นคนนี้ที่ไม่รู้จักกตัญญูต่อบิดาเช่นเขาถึงแม้เขาจะไม่ใช่บิดาแท้ ๆ ของหนิงเหมยแต่ก็เป็นคนเลี้ยงดูหญิงสาวให้เติบโตมันเป็นเรื่องสมควรที่หนิงเหมยจะกตัญญูต่อเขาให้มาก
“พ่อคุณยังเห็นฉันเป็นลูกสาวของคุณอยู่ไหม?”
หนิงเหมยร้องเสียงดังด้วยน้ำเสียงไม่พอใจและเจือแววสะอื้นด้วยความเสียใจที่ถูกบิดาบังคับให้แต่งงานออกไปอย่างไม่เต็มใจ
“นั้นสิซูห่าวซวนถึงยังไงหนิงเหมยก็เป็นบุตรสาวของแกนะ แกจะบังคับให้ลูกสาวไปแต่งงานกับคนพิการมันโหดร้ายเกินไปหน่อยไหมในสังคมปฏิวัติผู้คนมีความเท่าเทียมกันจะบังคับลูกแต่งงานได้อย่างไรกัน”
ซูห่าวอู๋ผู็เป็นพี่ชายคนโตเตือนสติน้องชายคนเล็กด้วยความหวังดีถึงอย่างไร ซูหนิงเหมยก็เป็นหลานสาวของตระกูลซูเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของน้องชายคนที่สามจะให้เขานิ่งดูดายปล่อยให้หลานสาวไปแต่งงานกับชายพิการโดยที่ไม่พูดอะไรเลยก็ดูจะเป็นการใจร้ายมากเกินไป
ภายในครอบครัวซูมีเพียงหญิงชราซูและซูห่าวซวนลูกชายคนที่สามเท่านั้นที่รู้ว่าซูหนิงเหมยไม่ใช่ลูกสาวแท้ ๆ ของซูห่าวซวน ส่วนคนอื่นนั้นมีความเข้าใจตรงกันว่าเมื่อสิบแปดปีก่อนซูหนิงเหมยเป็นเด็กทารกที่คลอดก่อนกำหนดตามที่หญิงชราซูบอกให้ทุกคนรู้ เพราะเมื่อหลายสิบปีก่อนการแพทย์ไม่มีความก้าวหน้าประกอบกับหมู่บ้านชนบทอยู่ห่างไกลความเจริญหญิงสาวที่คลอดลูกในหมู่บ้านก็มีเพียงหมอตำแยทำคลอดให้เท่านั้น ทุกคนจึงไม่มีใครสงสัยเรื่องชาติกำเนิดของหนิงเหมย
“พี่ใหญ่ไม่ต้องเข้ามายุ่งเรื่องแต่งงานของหนิงเหมย มันเป็นเรื่องภายในครอบครัวของข้าถึงยังไงการแต่งงานของลูกสาวก็ต้องเชื่อฟังพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด ในเมื่อแม่ของหนิงเหมยไม่อยู่แล้วเรื่องแต่งงานข้าซูห่าวซวนผู้เป็นพ่อผู้ให้กำเนิดจะจัดการเรื่องนี้เอง”
เมื่อซู่ห่าวซวนยืนยันเสียงแข็งที่จะให้ลูกสาวคนโตแต่งงานกับครอบครัวจางเช่นเดิมชาวบ้านที่มามุ่งดูความสนุกของบ้านคนอื่นก็ได้แต่ถอนหายใจด้วยความสงสารหนิงเหมยที่จะต้องแต่งงานออกเรือนไปกับชายขาพิการเช่นนี้
ถึงแม้พวกเขาจะโต้แย้งกับซูห่าวซวนได้แต่สุดท้ายแล้วเรื่องภายในครอบครัวของคนอื่นจะยื่นมือเข้าไปยุ่งมากไม่ได้ ถึงจะมีคำกล่าวที่ว่ายุคนี้เป็นยุคเท่าเทียมกันระหว่างชายหญิงและการแต่งงานแบบคลุมถุงชนเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องและผิดกฎหมาย แต่ผู้คนในชนบทที่อยู่ห่างไกลเมืองเช่นนี้ก็ยังยึดธรรมเนียมแบบเก่ากันอยู่ความกตัญญูต่อผู้ให้กำเนิดจึงถือเป็นเรื่องสำคัญ
ถ้าหากบางเรื่องไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายทำร้ายคนจนถึงขั้นเสียชีวิต หัวหน้าทีมหมู่บ้านและชาวบ้านก็ทำได้เพียงหลับตาข้างหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นทุกคนจึงได้แต่พากันส่ายหน้าด้วยความเวทนาสงสารที่หญิงสาวดี ๆ อย่างซูหนิงเหมยจะต้องแต่งงานกับชายหนุ่มที่อายุมากกว่าตั้งห้าหกปีแถมยังขาพิการอีกต่างหาก
“พ่อคุณเป็นพ่อของฉันจริง ๆ ใช่ไหมทำไมถึงต้องบังคับให้ฉันไปแต่งงานกับคนพิการ คนในหมู่บ้านนี้มีใครไม่รู้บ้างว่าลูกชายคนที่สามของครอบครัวจางได้รับบาดเจ็บและมีขาที่พิการ เขาไม่สามารถเดินได้ตลอดชีวิตแต่พ่อกลับยังต้องการให้ฉันแต่งงานกับคนเช่นนั้นอีก”
หมิงเหมยพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ ผู้คนที่มามุ่งดูต่างก็พยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของหญิงสาวแต่งงานกับคนที่เดินไม่ได้ตลอดชีวิตก็เหมือนตกลงไปในหลุมไฟขนาดใหญ่ทั้งชีวิตต้องทำงานหนักเพื่อเลี้ยงดูสามีขาพิการ
“แกจะพูดจะคิดยังไงก็ตามใจแก แต่แกต้องแต่งงานกับลูกชายคนที่สามของครอบครัวจาง”
ซูห่าวซวนตวาดเสียงดังด้วยความไม่พอใจ ภรรยาของเขาหลี่เหว่ยรับเงินค่าเจ้าสาวมาแล้วห้าสิบหยวนและนำเงินที่ได้รับมาไปซื้อข้าวของแล้ว อีกสองวันข้างหน้าครอบครัวจางจะมอบเงินค่าเจ้าสาวให้อีกร้อยห้าสิบหยวนพร้อมกับรับตัวบุตรสาวคนโตไป
ถ้าผิดสัญญาจะต้องหาเงินห้าสิบหยวนมาคืนครอบครัวจางเงินตั้งห้าสิบหยวนจะหามาจากไหน เมื่อเช้าภรรยาของเขากระซิบบอกว่าเงินห้าสิบหยวนที่ได้มาหล่อนได้นำไปซื้อผ้าและใช้จ่ายซื้ออาหารเกือบจะหมดแล้ว ซูห่าวซวนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากบังคับให้หนิงเหมยแต่งงานไปกับคนของครอบครัวจางให้ได้
“ถ้าพ่อยังบังคับให้ฉันแต่งงานกับคนพิการอยู่อีก เมื่อฉันแต่งงานแล้วฉันจะตัดขาดจากตระกูลซู”
หนิงเหมยพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าโศกและเสียใจเหมือนดังว่าเธอพูดคำนั้นออกมาด้วยความจำใจ
“อกตัญญูแล้วนังผู้หญิงเลวครอบครัวซูของเราเลี้ยงดูหมาป่าตาขาวเช่นแกให้เติบโตมาได้อย่างไรกัน”
หญิงชราซูลุกขึ้นยืนชี้หน้าพร้อมตะโกนด่าซูหนิงเหมยด้วยความไม่พอใจ หญิงสาวตัวเหม็นคนนี้ต้องการตัดขาดกับตระกูลซูของนางอย่างนั้นหรือไม่มีทาง
“ถ้าย่าไม่ต้องการให้ฉันตัดขาดจากตระกูลซู ย่าต้องบอกพ่อว่าอย่าให้ฉันแต่งงานกับคนพิการ”
ซูหนิงเหมยมองหญิงชราซูด้วยแววตาขอร้องและมีความหวังเหมือนดังว่าหญิงชราซูเป็นที่พึ่งสุดท้ายในชีวิตของเธอ หญิงชราหันมามองบุตรชายของตนเองทันที
หลีเหว่ยได้ยินว่าถ้าบังคับให้แต่งงานซูหนิงเหมยจะตัดขาดจากครอบครัวซูนางรู้สึกยินดียิ่งนัก ต่อไปไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับซูหนิงเหมยครอบครัวซูของนางก็ไม่ต้องยื่นมือไปช่วยเหลืออีกต่อไป
หลีเหว่ยสะกิดสีข้างของสามีทันทีด้วยความร้อนใจกลัวว่าสามีของตนจะเปลี่ยนใจไม่ให้ลูกสาวคนโตแต่งงาน ถ้าเป็นเช่นนั้นครอบครัวของตนจะต้องค*****นค่าเจ้าสาวห้าสิบหยวนให้กับครอบครัวจางนะสิ
ในเมื่อสมบัติมาส่งถึงประตูบ้านแล้วจะให้หลี่เหว่ยส่งเงินกลับออกไปหล่อนไม่มีมีทางยินยอมอย่างแน่นอนต่อให้ต้องตัดขาดกับซูหนิงเหมยแล้วอย่างไร หลีเหว่ยได้ยินมาว่าครอบครัวจางกำลังจะแยกบ้านกันแล้วต่อไปซูหนิงเหมยต้องทำงานหาเลี้ยงครอบครัวเพียงลำพัง ในอนาคตไม่มีอะไรที่ครอบครัวซูจะได้ประโยชน์จากหนิงเหมยอีกถ้าตัดขาดกันในตอนนี้ต่อไปเมื่อซูหนิงเหมยลำบากในอนาคตหล่อนก็จะไม่สามารถมาใช้ประโยชน์จากครอบครัวซูได้อีกต่อไป
เมื่อเห็นว่าครอบครัวสามีในอนาคตของซูหนิงเหมยไม่มีผลประโยชน์ให้ หลีเหว่ยจึงต้องการให้ซูห่าวซวนผู้เป็นสามีของตนเองตัดขาดความสัมพันธ์กับลูกสาวคนนี้เสีย
“ห่าวซวนแม่ว่าเรื่องงานแต่งงานคิดทบทวนให้ดีเสียก่อนเถอะ”
หญิงชราหันไปบอกกับบุตรชายคนที่สาม แต่ก่อนที่ซูห่าวซวนจะเปลี่ยนใจเขาได้รู้สึกถึงแรงสะกิดที่สีข้างอย่างแรง เมื่อหันไปมองสบตาภรรยาของตนความลังเลใจที่มีเพียงวูบหนึ่งก็ถูกความรักความเสน่หาพัดจางหายไป